กมธ.พัฒนาการเมืองฯ หาช่องป้องกันรัฐประหาร “อ.ปริญญา” แนะ ออกกฎหมายเลิกคำสั่งคณะปฏิวัติ ที่รธน.60ไม่รองรับ ชี้ช่องให้นำคดีปว.ขึ้นศาล สร้างบรรทัดฐานใหม่

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภา ว่า ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นประธานคณะกรรมาธิการ เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ที่ผ่านมา ได้พิจารณาศึกษาแนวทางป้องกันการรัฐประหารที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

โดยเชิญ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล นักวิชาการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคณะ ในฐานะผู้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับแนวทางป้องกันการรัฐประหารเข้าชี้แจง

นายปริญญา นำเสนอผลงานวิจัยตอนหนึ่งว่า ต้องถอนพิษรัฐประหาร ผ่านการรวบรวมคำสั่ง หรือประกาศจากคณะปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามี 62 ฉบับที่ไม่ถูกรับรองตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ดังนั้น สามารถรวบรวมและเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ต่อสภาฯ เพื่อยกเลิกทั้งหมด

นายปริญญา กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ มีตัวอย่างจากการประกาศคณะปฏิวัติ เมื่อปี 2519 ที่แก้ไขโทษประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งถูกแก้ไขในเรื่องโทษโดยคณะปฏิวัติ 2519 จากเดิมกำหนดโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี แต่ไม่กำหนดขั้นต่ำ ซึ่งศาลสามารถพิพากษาโทษขั้นต่ำได้ 1 สัปดาห์ เป็นต้น

นายปริญญา กล่าวว่า เหตุผลที่ต้องเพิ่มโทษดังกล่าว เพราะเป็นการใช้ข้อมูลที่บิดเบือนจากการทำกิจกรรมของนักศึกษาเมื่อ 6 ต.ค.19 ที่ถูกมองว่าพาดพิงสถาบันเบื้องสูง ทั้งที่ข้อเท็จจริงไม่เป็นเช่นนั้น

ดังนั้น กรณีดังกล่าวการใช้อำนาจของคณะปฏิวัติจึงเป็นการกระทำข้างเดียว ไม่ผ่านการรับฟังความเห็นใดๆ และมาจากการบิดเบือน หากแก้ไขดังกล่าวจะทำให้คืนบทลงโทษเป็นเหมือนเดิมคือ จำคุกสูงสุด 7 ปี ไม่มีกำหนดขั้นต่ำ ซึ่งอยู่ที่ศาลจะพิจารณา

นายปริญญา กล่าวว่า จากการศึกษาวิจัยพบว่าบรรดาคำสั่งหรือประกาศของคณะปฏิวัติรัฐประหาร ตั้งแต่ปี 2514, 2519, 2520, 2534 และ 2549 ไม่ถูกรับรองความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ 2560 เพราะมาตรา 279 ที่รับรองการกระทำของคสช.นั้น คุ้มครองเฉพาะที่เกิดขึ้นในปี 2557 เท่านั้น แต่ไม่ครอบคลุมย้อนหลัง ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือ ต้องทำให้ศาลเปลี่ยนบรรทัดฐาน และต้องทำก่อนจะเกิดการรัฐประหารครั้งถัดไป








Advertisement

นายปริญญา กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นต้องใช้กลไกของสัญญาประชาคมเข้าร่วม คือ ให้ทหารเข้าร่วมทำสัญญาประชาคมว่าจะไม่ปฏิวัติ รวมถึงให้ฟื้นคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนของผู้นำเหล่าทัพที่ต้องรักษาไว้ และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ ซึ่งไม่เฉพาะอดีตนายกฯ จะไม่กล่าวถ้อยคำดังกล่าวเท่านั้น แต่ผู้นำเหล่าทัพไม่กล่าวประโยคดังกล่าวมาระยะหนึ่งแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการพิจารณาของกมธ.นั้น นายพริษฐ์ ได้ตั้งคำถามถึงวิธีปฏิบัติที่จะนำไปสู่การยกเลิกคำสั่งหรือประกาศของคณะปฏิวัติที่ไม่ถูกรับรองตามรัฐธรรมนูญ จะทำได้อย่างไร และกรณีการใช้กลไกของสภาฯ จะทำได้หรือไม่

นายปริญญา กล่าวว่า ในการปฏิบัติต้องมีคนที่นำคดีขึ้นสู่ศาล เพื่อเปลี่ยนบรรทัดฐานของศาลที่คำสั่งหรือประกาศของคณะปฏิวัติที่ไม่ถูกรับรองตามกฎหมาย และส่งสัญญาณถึงกองทัพว่าศาลเปลี่ยนบรรทัดฐานแล้ว จะยึดอำนาจไม่ได้แล้ว

โดยใช้ประเด็นประกาศต่างๆ ที่ไม่ถูกรับรองเป็นกฎหมายขัดกับมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ในฐานะกฎหมายสูงสุด ทั้งนี้ ตนมองว่าเป็นจังหวะที่ดีที่จะทำ เพราะลูกตุ้มทางการเมืองอยู่ทางฝั่งประชาธิปไตย

“ต้นตอของการรัฐประหารที่ผ่านมา เพราะสถานการณ์การเมืองพาไปสู่ทางตัน จากการนำพาไปสู่จุดดังกล่าว ผมมองว่าก่อนจะถึงจุดที่นำไปสู่ทางตันเราสามารถรับทราบได้ก่อน จึงเป็นประเด็นที่จะป้องกันไม่ให้เกิดรัฐประหารได้

ฝ่ายตุลาการคือหัวใจสำคัญ ส่วนอื่นๆ เป็นส่วนเสริม แม้จะเปลี่ยนใจทุกคนไม่ได้ แต่ขอสักคดีเพื่อให้เกิดบรรทัดฐานใหม่ ซึ่งในแนวทางที่จะเป็นทางออก คือ เข้าพบประธานศาลฎีกา หรือ ผบ.ทบ. เพื่อพูดคุยในทางปิดเพื่อหาทางออกร่วมกัน” นายปริญญา กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงท้ายของการประชุม นายพริษฐ์ กล่าวว่า ต้องเตรียมข้อมูลกับคดีที่ค้างอยู่ เพื่อนำเรื่องขึ้นไปสู่ศาล รวมถึงการแก้ไขมาตรา 279 ของรัฐธรรมนูญ และเสนอร่างพ.ร.บ.เพื่อยกเลิกคำสั่งหรือประกาศของคณะปฏิวัติ

นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า หากจะเสนอกฎหมายเพื่อยกเลิกคำสั่งคณะปฏิวัติ หรือการแก้รัฐธรรมนูญ นอกจากให้ประชาชนเข้าชื่อกันแล้ว มีทางที่เป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้กองทัพเข้าชื่อ เพื่อให้เขาประกาศว่าพร้อมเป็นกองทัพที่ไม่เข้ามาแทรกแซงการเมือง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน