ผบ.เหล่าทัพ ตบเท้าเข้าสภา แจง กมธ.งบ ชี้ งบกำลังพลเพิ่ม 3,800 ล้านบาท รวมวงเงินเลื่อนเงินเดือน-ปรับวุฒิข้าราชการ ต่างจากกระทรวงอื่นที่ใช้งบกลาง

เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2565 ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 เพื่อพิจารณางบของกระทรวงกลาโหม วงเงิน 198,562.9 ล้านบาท

โดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้แก่ พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ) พล.ร.อ.อดุง พันธุ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) และพล.อ.อ. พันธุ์ภักดีพัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) เข้าชี้แจงภาพรวมงบประมาณของหน่วยงานภายใต้กำกับดูแล และงบของเหล่าทัพต่างๆ อย่างพร้อมเพรียง

โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานกมธ.วิสามัญฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุม สำหรับปีนี้ต้องจับตาในส่วนของงบประมาณด้านกำลังพล ที่เพิ่มขึ้น 3,800 ล้านบาท ซึ่งสวนทางกับแผนการปฏิรูปกองทัพ เรื่องการลดกำลังพล

พล.อ.สนิธชนก กล่าวชี้แจงว่า เพื่อให้การดำเนินกิจการภายใต้แผนปฏิบัติงบประมาณประจำปี 2567 ที่ได้กำหนดวิสัยทัศน์ว่า มีศักยภาพทางทหารทัดเทียมกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี 2570 แม้ว่าในงบประมาณปีนี้กระทรวงกลาโหมจะได้รับงบเพิ่มขึ้น หากเทียบกับสัดส่วน GDP ถือว่าลดลง และกระทรวงกลาโหมอยู่ในอันดับที่ 5 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองลงมาจากเมียนมา สิงคโปร์ บรูไน กัมพูชา

สำหรับงบในส่วนของกำลังพลที่เพิ่มขึ้น กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานเดียวได้รวมวงเงินงบประมาณในการเลื่อนชั้นเงินเดือนประจำปีตามสิทธิข้าราชการ และการปรับวุฒิข้าราชการไว้ด้วย ซึ่งกระทรวงกลาโหมได้ตั้งงบประมาณแตกต่างกับข้าราชการพลเรือน ที่จะตั้งงบประมาณในการเลื่อนชั้นเงินเดือน เพื่อเป็นบำเหน็จประจำปีไว้ที่งบกลาง ในรายการเลื่อนเงินเดือนและปรับวุฒิข้าราชการ โดยเพิ่ม 10% ภายใน 2 ปี โดยคุณวุฒิปริญญาตรีปรับ จาก 15,000 บาท เป็น 18,000 บาท

พล.อ.สนิธชนก กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์ด้านความมั่นคงไม่แน่นอน ความขัดแย้งภูมิภาคเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างประเทศมหาอำนาจในชาติพันธมิตรของแต่ละฝ่าย นอกจากนั้น ปัญหาในทะเลจีนใต้ที่เกิดจากพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลและข้อพิพาทต่างๆ รวมถึงการแสดงกำลังของแต่ละประเทศ

ซึ่งประเทศไทยไม่อาจปฏิเสธผลกระทบทางตรงและทางอ้อมได้ จึงมีการจัดเตรียมกำลังกองทัพให้เตรียมพร้อมสามารถรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ตลอดจนปฏิบัติภารกิจงานตามหน้าที่อย่างดีที่สุด มุ่งเน้นการซ่อมบำรุงการปรับปรุงยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่เพื่อยืดอายุการใช้งานต่อไป ทำให้ลดงบประมาณ หากไม่สามารถซ่อมบำรุงเนื่องจากไม่คุ้มค่า จึงจะจัดหาใหม่เพื่อทดแทน








Advertisement

พล.อ.สนิธชนก กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมยังต้องสนองนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้กองทัพเป็นกำลังหลักทางด้านความมั่นคงของรัฐ และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ทุกโอกาส

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน