พิธา กางโรดแม็ป ก้าวไกล ปี 67 แย้ม ซักฟอกรัฐบาล เม.ย. เล็งขยี้ 3 เรื่องหลัก เตรียมชิงเก้าอี้อบจ.ทั่วประเทศ ยันไม่สะดุด ไม่ว่าคำวินิจฉัยคดี 112 จะเป็นอย่างไร

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 ม.ค.2567 ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงแผนทำงานพรรคก้าวไกลปี 2567 หรือ MFP’s Strategic Roadmap ว่า เป้าหมายสำคัญ 6 เป้าหมาย ได้แก่ การทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ผ่านการปฏิรูปทหาร การแก้รัฐธรรมนูญ

การยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ผ่านการยกระดับสวัสดิการ และขนส่งสาธารณะ, การหยุดแช่แข็งชนบทไทย ผ่านการสนับสนุนทางการเกษตร, การปฏิรูปรัฐครั้งใหญ่ ผ่านการกระจายอำนาจ ปฏิรูประบบราชการ, การเรียนรู้ทันโลก ผ่านการตัดอำนาจนิยมในสถานศึกษา เสริมสร้างทักษะผู้เรียน และการเติบโตแบบมีคุณภาพ ผ่านการสร้างงาน และสนับสนุน SMEs

โดยวิธีการดำเนินการสู่เป้าหมายนั้น จะดำเนินการผ่านการเสนอแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค และเสนอร่างกฎหมายเพิ่มเติม รวมจำนวนทั้งสิ้น 47 ฉบับ สนับสนุนงบประมาณให้เพียงพอกับการดำเนินงาน และกำหนดแผนปฏิบัติการ รวมถึงพิจารณาความพร้อมของบุคลากร เพื่อให้เป้าหมายสัมฤทธิผล

ส่วนหมุดหมายสำคัญของการทำงานในปี 2567 จะมีการกำหนด KPI และตัวชี้วัด เพื่อประเมินประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ในสัดส่วนของพรรค และ สส.ของพรรค ช่วงเดือนก.พ. จากนั้นเดือนเม.ย. พรรคจะพิจารณาการเปิดอภิปรายรัฐบาลว่า จะเป็นในรูปแบบการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรืออภิปรายทั่วไป ก่อนจะมีการประชุมใหญ่ของพรรคในเดือนเดียวกัน เพื่อพิจารณาปรับโครงสร้างองค์กร

จากนั้นช่วงกลางปี จะทำให้การเมืองเป็นเรื่องสนุก ทำเรื่องนโยบายให้มันๆ ย่อยให้คนเข้าใจง่าย คือ Move Forward Party’s Policy Festival และจะมีการเตรียมการเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 และปลายปี 2567 นี้ พรรคจะพิจารณาการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งท้องถิ่น

นายพิธา กล่าวถึงจุดยืนการทำงานของฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาล ว่า การจะเป็นสถาบันพรรคการเมือง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ทุกองค์กรมีแผนดำเนินงานประจำปีของตัวเองอยู่แล้ว แต่เราคงต้องเอามารวมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่น เพื่อดูว่าจะสามารถทำงานอะไรร่วมกัน และแจกจ่ายงานในส่วนไหนให้กันได้บ้าง

ส่วนภาพที่รัฐบาลจะต้องเจอภายหลังจากนายพิธากลับมานั้น ในทุกสัปดาห์ เราจะมีคณะกรรมาธิการคอยเก็บข้อมูล และลงพื้นที่ไปรับฟังพี่น้องประชาชน มีทีมงานเบื้องหลัง ก็มีการเรียบเรียงข้อมูลให้เห็นว่าภาพที่รัฐบาลทำมีอะไรบ้าง และมีอะไรบ้างที่ควรจะต้องปรับปรุง ตามกลไกของรัฐสภา ตั้งแต่เดือนเม.ย.เป็นต้นไป น่าจะพอเห็นภาพ








Advertisement

อย่างไรก็ตาม ถ้ามีเหตุการณ์สำคัญที่เราคิดว่ารอไม่ได้ถึง เม.ย. ก็จะใช้กลไกสภา อาทิ การตั้งกระทู้ รวมไปถึงการทำงานกับสื่อมวลชนในการแถลงข่าว เพื่อให้ทิศทางการบริหารราชการแผ่นดินเป็นประโยชน์ และเป็นธรรมต่อประชาชน

เมื่อถามถึงการเตรียมหัวข้อการอภิปราย นายพิธา กล่าวว่า เน้นไปที่ 3 หัวข้อใหญ่ คือ 1.ความล้มเหลวในการบริหาร 2.การประพฤติมิชอบ คอร์รัปชั่น และ 3.การทำงานช้า น้อย หรือสายเกินไป ไม่ตรงกับความท้าทายของศักยภาพประเทศ

ตอนนี้อาจจะไม่มีโอกาสได้พูด แต่ทีมงานหลังบ้านกำลังทำข้อมูลเพิ่มขึ้นทุกอาทิตย์ ในส่วนกรรมาธิการก็สามารถเรียกข้อมูลเพิ่มเติมได้ สัญญากับพี่น้องประชาชน ว่าจะไม่ทำให้ผิดหวัง

เมื่อถามว่ากลัวจะเป็นการสกัดดาวรุ่งของตัวเองหรือไม่ เนื่องจากได้เปิดเผยความต้องการในการทำงานไปแล้ว นายพิธา กล่าวว่า การทำงานไม่ได้มีแค่ตนและรัฐบาล แต่มีฝ่ายประชาชน ฝ่ายข้าราชการ เอ็นจีโอ องค์การระหว่างประเทศ ร่วมด้วย ถ้าตนไม่พูดว่าต้องการอะไร ก็จะสะเปะสะปะ ภาคส่วนอื่นก็ไม่รู้ว่าจะเข้าร่วมตรงไหน อย่างไร กับใคร และมองไม่เห็นการเมืองแห่งความเป็นไปได้ ต้องหาดุลภาพให้เจอ

เมื่อถามว่าฝ่ายค้านของพรรคก้าวไกลจะไม่เหมือนกับฝ่ายค้านชุดที่ผ่านๆ มา ใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า เราอยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติ การทำกฎหมายที่ก้าวหน้าเป็นหน้าที่ของเรา แน่นอนว่าต้องตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาเต็มที่อยู่แล้ว แต่การตรวจสอบยังไม่พอ ต้องมีการแนะนำ ขณะเดียวกันต้องเรียนรู้ในกระบวนการ

“เมื่อเราเป็นรัฐบาลด้วยตัวเอง เราจะได้ไม่มีข้อติดขัดต่างๆ ทำงานได้เลย เป็นการเรียนรู้ไปในตัว” นายพิธา กล่าว

เมื่อถามว่าได้คิดฉากทัศน์ภายหลังศาลธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในคดีนโยบายหาเสียงเกี่ยวกับมาตรา 112 ไว้แล้วใช่หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า มีการคิดไว้แล้ว ถึงแม้จะเป็นฉากทัศน์ที่แย่ที่สุด พรรคก้าวไกลก็ยังบริหารจัดการได้ ไม่ได้ทำให้ภาพรวมใหญ่ทั้งปีต้องสะดุดลง ตนคิดว่าสามารถบริหารจัดการได้ แต่ยังลงรายละเอียดไม่ได้

เมื่อถามถึงนโยบายที่มีตรงกันกับพรรคร่วมรัฐบาล มั่นใจแค่ไหนว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะผลักดันนโยบายให้ผ่าน นายพิธา กล่าวว่า เท่าที่ดูจากสถิติ มี 2 กฎหมายที่เราสามารถผ่านสภาได้ ทั้งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สมรสเท่าเทียม และพ.ร.บ.อากาศสะอาด ที่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ว่าไปกันคนละทาง แต่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และมีกฎหมายที่ดีที่ตอบโจทย์กับพี่น้องประชาชน

ตนคิดว่าบางเรื่องก็มีทิศทางไปในทางเดียวกัน ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง อาทิ นโยบายเปลี่ยนโฉนดที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร ก็เป็นนโยบายเดียวที่เหมือนกับพรรคพลังประชารัฐ แต่ยังมีรายละเอียดที่แตกต่างกันในทางปฏิบัติ

นายพิธา กล่าวต่อว่า เมื่อฟังการแถลงข่าวแล้วก็ค่อนข้างที่จะชัดเจนว่า ในเมื่อมีทิศทางไปในทางเดียวกันก็ไม่เห็นข้อจำกัดคือข้ออ้างใดๆ ที่จะปัดตก ถ้าผ่านได้ก็คิดว่าเป็นผลงานของสภาร่วมกัน และพี่น้องประชาชนจะได้ประโยชน์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน