นายกฯ เผยต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนหลายด้าน ย้ำจุดเด่นรองรับพลังงานสะอาด เดือนหน้าประกาศยกระดับอุตสาหกรรมในประเทศ ชี้ทุบค่าไฟโดยไม่สนใจการตลาด กลายเป็นรัฐประหารทางเศรษฐกิจ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 14 ก.พ.2567 ที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เป็นประธานเปิดงาน Thailand Energy Executive Forum และปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “จุดเปลี่ยนพลังงานไทยสู่ความยั่งยืน”

นายกฯ กล่าวตอนหนึ่งว่า พลังงานถือเป็นเรื่องสำคัญในอนาคต ต้องยอมรับว่าพลังงานเป็นต้นทุน และองค์ประกอบใหญ่อย่างหนึ่งของการทำเกษตร พลังงานโซล่าเซลล์ ถือเป็นพลังงานที่ถูกที่สุด ซึ่งรัฐบาลสนับสนุนการทำตามหมู่บ้านต่างๆทำให้ค่าไฟถูกลงและเกษตรกรใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกันพลังงานและอุตสาหกรรมก็มีความสำคัญ ซึ่งต่างชาติสนใจลงทุนด้านพลังงานสะอาด โดยเฉพาะรายงานการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทยอยู่อันดับที่ 30 กว่าของโลก อยู่สูงที่สุดของอาเซียน ดังนั้น ไทยมีดีกว่าหลายประเทศ

หลังจากนี้ตนจะเดินทางไปพูดคุยกับประเทศในแถบยุโรป โดยเดือนหน้าจะไปเยอรมนี เพื่อดึงดูดนักลงทุนเข้ามา ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกถามถึงพลังงานสะอาด โดยเฉพาะสหรัฐและจีน เชื่อว่าผู้ที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานจะให้ความสำคัญและตระหนักดีในเรื่องนี้ที่จะดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศมาได้

นายเศรษฐา กล่าวถึงการหารือกับนายกฯกัมพูชาที่ผ่านมาว่า นายกฯกัมพูชา ขอให้ไทยดูแลค่าแรงให้เหมาะสม ซึ่งเรื่องนี้ตนไปทุกเวที ก็ขอร้องวิงวอนทุกท่านว่าขึ้นไม่ได้ หากฐานรากของสังคมไม่ถูกยกขึ้นมา ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทเมื่อ 10 ปีที่แล้ววันนี้อยู่ที่ 340 บาทขึ้นมา 12% ในช่วง 10 ปี หลายคนส่งลูกไปเรียนเมืองนอก 10 ปีที่แล้วเงินเดือน 30,000 บาท วันนี้เงินเดือน 34,000 ท่านรู้สึกอย่างไร

นายกฯ กล่าวว่า การเจรจาอีกเรื่องที่สำคัญ คือ OCA หรือพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล แต่เราก็มีปัญหาเรื่องชายแดน เรื่องเขตแดนเป็นเรื่องอ่อนไหวและหลายภาคส่วนให้ความสนใจ ขอแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ พื้นที่ทับซ้อนกับเรื่องขุมทรัพย์ที่อยู่ใต้ทะเล เรื่องนี้จะต้องพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งให้ความสำคัญสูงสุด และจะพยายามนำสินทรัพย์เช่นนี้ออกไปใช้ได้เร็วที่สุดในการเปลี่ยนผ่าน Brown Energy ไปสู่ Green Energy

ขอให้สบายใจว่าเราจะเดินหน้ากันต่อไป โดยแยกแยะระหว่างปัญหาพื้นที่ทับซ้อนและปัญหาเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ แต่เรื่องนี้ต้องโปร่งใสและตรวจสอบได้ เนื่องจากจะส่งผลต่อเรื่องราคาพลังงาน

นายกฯ กล่าวว่า ประเทศไทยได้เปรียบประเทศเพื่อนบ้านเรื่องพลังงาน ส่วนค่าไฟยังคงเป็นปัญหาอยู่ รัฐบาลนี้ได้เจรจาอย่างต่อเนื่อง เช่น ด้านความพร้อมหรือด้าน black up “การทุบ” โดยไม่ต้องสนใจกลไกของการตลาด จะทำให้เกิดรัฐประหารทางเศรษฐกิจ อาจจะได้ค่าไฟถูกไม่กี่วัน ก่อนจะต้องควักเอาของประชาชนมาจ่าย

การลงทุน การส่งออก การจ้างงาน ผลทางเศรษฐกิจ อยู่ในใจของคนทั้งโลกไปนานนับปี ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยกัน ไม่ใช่มีกลไกสนับสนุนทางด้านภาษีที่ดีแล้วหรือมีมาตรการต่าง ๆ ให้คนมาอยู่ในประเทศไทยอย่างมีความสุขแล้ว แต่ค่าพลังงานก็มีความสำคัญ

“หากมองระยะยาว เชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูง มีเสถียรภาพทางด้านการเงินที่มั่นคง พร้อมดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกมาตั้งฐานผลิตในไทย มีโครงสร้างพื้นฐานในการสนับสนุนให้นักลงทุน ไม่ใช่แค่พลังงานสะอาดอย่างเดียว ซึ่งในเดือนหน้าประกาศยกระดับด้านอุตสาหกรรมทั้งหมดในประเทศไทย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตั้งฐานผลิต หากการตั้งฐานผลิตแล้วไม่สามารถส่งออกไปได้อย่างสะดวกสบาย อาจะมีปัญหา” นายกฯ กล่าว

ดังนั้น ท่าเรือน้ำลึกเฟส 3 ที่มีความล่าช้าต้องพัฒนาให้ดีขึ้น ขณะที่รถไฟความเร็วสูงก็มีความจำเป็น บางสายจำเป็นต้องทำรถไฟรางคู่ไปก่อน เพื่อการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น” นายกรัฐมนตรี กล่าว

“การทุบค่าไฟโดยไม่ต้องสนใจกลไกการตลาด จะทำให้เกิดรัฐประหารทางเศรษฐกิจ เราอาจได้ค่าไฟถูกอยู่ไม่กี่วัน ก่อนจะควักเอาเงินของประชาชนมาจ่าย เรื่องราคาพลังงานก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ หากมองในระยะยาวเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูง มีเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคง พร้อมที่จะดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลกเพื่อมาตั้งฐานการผลิต” นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวถึงโครงการแลนด์บริดจ์ว่า มีความสำคัญในด้านการขนส่ง รองรับหลังจากช่องแคบมะละกาคับแคบ ดังนั้นการขนถ่ายสินค้าจะเพิ่มขึ้นอย่างมโหฬาร ไทยจึงต้องจำเป็นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพี่ใหญ่พี่ใหญ่ รองรับการขนถ่ายสินค้าทั่วโลก ทำให้การค้าระหว่างประเทศดีขึ้น โดยรัฐบาลจะเร่งเจรจาต่อไป

หลังจากไปเจรจานักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจ มองภาพรวมของโลกว่าการขนถ่ายสินค้าทั่วโลกเป็นเรื่องที่สำคัญ อะไรทำได้ทำก่อน รวมถึงอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน

“รัฐบาลมีแผนด้านพลังงาน ในระยะยาวที่ชัดเจน โดยจะต้องควบคู่กับการทำโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ จะต้องวางรากฐาน ไม่จบในรัฐบาลนี้ ก็ต้องดำเนินการในรัฐบาลต่อไป และต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้” นายกฯ กล่าว

นายเศรษฐา กล่าวว่า มีผู้สื่อข่าวถามตนว่า สิ่งที่ประหลาดใจในการรับตำแหน่งนายกฯ มากที่สุดคือเรื่องใด ตนตอบไปว่ามีกลไกในการบริหารจัดการแผ่นดิน ซึ่งเป็นกลไกที่ต้องการความสมัครสมานสามัคคี เป็นกลไกที่เราต้องการความร่วมมือของทุกฝ่าย และเป็นกลไกที่เราต้องสร้างบรรยากาศที่ดีในการสำหรับการพูดคุยกันเรื่องที่เห็นต่าง เชื่อว่านักธุรกิจที่มาร่วมงานในวันนี้จะทราบถึงความหวังดีของตนและรัฐบาลที่จะผลักดันกลไกอุตสาหกรรมไปข้างหน้าควบคู่เรื่องของพลังงาน

นายกฯ กล่าวว่า ในปี 2040 เราคาดการณ์ว่าจะมีสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนคือ เป็นพลังงานสะอาด มากกว่า 50% ของไฟฟ้าทั้งหมด เราจึงต้องคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลักคือ 1.แหล่งพลังงาน รัฐบาลต้องเร่งเจรจาพัฒนาแหล่งพลังงานในอ่าวเพิ่ม

2.ความพร้อม ซึ่งเรามีศักยภาพที่ได้เปรียบกว่าเพราะมีพื้นที่สำหรับการผลิต Clean and Green Energy แต่ต้องมีการอัพเกรด Energy Storage เพื่อเสริมความพร้อมระยะยาวด้วย 3.ราคาพลังงาน ต้องเป็นราคาที่เหมาะสมและเข้าถึงได้ จะช่วยประชาชนและภาคเอกชนไปพร้อมกันผ่านกลไกตลาดที่ถูกต้อง จึงจะเป็นหนทางที่ทำให้เรามีความมั่นคงทางเศรษฐกิจที่มีพลังงานเป็นส่วนขับเคลื่อนได้อย่างยั่งยืน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน