เมื่อวันที่ 3 เม.ย. นายพริษฐ์ วัชรสินธุ กล่าวภายหลังการตรวจร่างกาย และผ่านเกณฑ์การสมัครเข้าเป็นทหารกองประจำการผลัดที่ 1 ของกองทัพบก ว่า เหตุผลที่ตัดสินใจสมัครเข้าเป็นทหารครั้งนี้ เพราะตัวเองเป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ก็ต้องมาเกณฑ์ทหาร เพราะตัวเองไม่ได้เรียนรักษาดินแดน(รด.) ดังนั้นมี 2 เหตุผลที่เลือก คือ เป็นช่องทางที่ชัดเจน ตรงไปตรงมาและโปร่งใสที่สุด และเหตุผลที่ 2 ตนเป็นคนรักเสรีนิยม การที่ตัดสินใจมาก่อน ทำให้รู้สึกว่าได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำ ไม่ใช่เสี่ยงโชค แล้วโดนใบที่อยากได้

นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า สำหรับอนาคตจากนี้ ยังไม่ได้วางไว้ว่าจะต้องทำอะไรต่อ แต่ที่เคยให้สัมภาษณ์ไปก่อนหน้านี้ว่าตนสนใจงานทางการเมือง แต่ที่สำคัญกว่าการเป็นตัวแทนของพรรคการเมืองใด คือการที่ตัวเองเป็นคนไทยได้อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกับคนไทยคนอื่น เพราะฉะนั้นตอนนี้ตนก็มุ่งมั่นที่จะทำหน้าที่ในตรงนี้ก่อน ส่วนหลังจากปลดประจำการแล้ว เป็นช่วงเวลาเดียวกับการปลดล็อกทางการเมืองจะสนใจมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่นั้น ต้องดูว่าในเวลานั้นพรรคประชาธิปัตย์ มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ตรงกับตัวเองหรือไม่ เป็นพรรคประชาธิปัตย์ยุคใหม่ที่มีเสรีนิยมหรือไม่ ถ้าเป็นอุดมการณ์ที่ตรงกัน ก็พร้อมไปสมัคร ส่วนจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกผู้สมัครหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับสมาชิกพรรค

“ยอมรับว่างานทางการเมืองในระบบประชาธิปไตย ก็เป็นอะไรที่สนใจ รู้สึกว่าเป็นงานที่มีเอกลักษณ์เพราะเจ้านายคือประชาชน ความสำเร็จของผมขึ้นอยู่กับว่าได้ทำประโยชน์อะไรให้ประชาชน และประชาชนจะเป็นคนตัดสินว่าผมควรจะหยุดหรือควรจะทำงานนี้ และหากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์พร้อมกันสนับสนุน ผมก็พร้อม”นายพริษฐ์ กล่าว

เมื่อถามว่าการเข้ามาสมัครเป็นทหารจะช่วยลบภาพของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้เป็นน้าชายหรือไม่ นายพริษฐ์ ระบุว่า ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องของการลบภาพ กรณีของนายอภิสิทธิ์เป็นเรื่องที่ได้ตัดสินไปแล้วว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ตนเป็นประชาชน 1 ใน 60-70 ล้านคน ที่อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนายอภิสิทธิ์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน