ครม.เห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี 67 ตั้งเป้าพื้นที่ 21 ล้านไร่ วงเงิน 2,302 ล้าน เตรียมเพิ่มสภาพคล่อง ออมสินออกมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 100,000 ล้าน

เมื่อวันที่ 16 ก.ค.2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดเผยผ่านแอพพลิเคชัน X ว่า ในที่ประชุม ครม.วันนี้ เราได้พูดคุยกันถึงการช่วยเหลือเกษตรกรในหลายเรื่องเลย หนึ่งในนั้นคือ โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 ซึ่งมีพื้นที่เป้าหมายให้มีการประกันภัยทั้งหมด 21 ล้านไร่

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะอุดหนุนเบี้ยประกันให้แก่ลูกค้าสินเชื่อธ.ก.ส. ใน 2 กลุ่ม คือกลุ่มลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. 15 ล้านไร่ และกลุ่มเกษตรกรทั่วไปที่ไม่ได้เป็นลูกค้าสินเชื่อของ ธ.ก.ส. ประมาณ 5 ล้านไร่ ซึ่งความคุ้มครอง จะแตกต่างกันออกไปเป็นภัยธรรมชาติ และภัยจากศัตรูพืชหรือแมลง

โดยปรับหลักเกณฑ์ให้เกษตรกรเป็นผู้รับประโยชน์จากค่าสินไหมทดแทน 100% ในทุกกรณี และให้มีการศึกษามาตรการเยียวยาแก่เกษตรกร เพื่อไม่ให้เกิดภาวะหนี้เสีย NPL ในอนาคตด้วย โดย ธ.ก.ส. จะเริ่มจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยทั่วประเทศ ( 63 จังหวัด) ตั้งแต่วันนี้ – 15 ก.ค.67 ยกเว้นภาคใต้ (14จังหวัด) สิ้นสุด 31 ธ.ค. 67

นายกฯ ระบุว่า เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับทั้งประชาชน และกลุ่ม SMEs ทางธนาคารออมสิน มีมาตราการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะปล่อยกู้ให้กับสถาบันการเงิน เพื่อไปปล่อยสินเชื่อต่อให้กับธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ให้กับลูกค้ารายใหม่

โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ที่ยังไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อเพื่อให้วงเงินกระจายไปในระบบเศรษฐกิจ ในโครงการให้สินเชื่อตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยเหลือประชาชนรายย่อย และโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ GSB Boost Up โดยจะแยกบัญชีโครงการนี้เป็นบัญชีธุรกรรมนโยบายรัฐ เพื่อไม่ให้กระทบผลการดำเนินงานของธนาคารโดยรวม

ด้านนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมครม. ว่า ครม. มีมติเห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอ ดังนี้ 1.ให้ความเห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2567 ตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ในคราวประชุม เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.2567 มีพื้นที่เป้าหมายรวมการรับประกันภัยพื้นฐาน และการรับประกันภัยเพิ่มเติมโดยสมัครใจ จำนวน 21 ล้านไร่ วงเงินงบประมาณโครงการ รวม 2,302.16 ล้านบาท

โดยโครงการประกันภัยข้าวนาปี 2567 สรุปได้ดังนี้ ผู้รับผลประโยชน์ 1.กรณีเกษตรกรเป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ให้ เกษตรกรผู้เอาประกันภัย เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ค่าสินไหมทดแทนเต็มจำนวน 2.กรณีเกษตรกรลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ซื้อเพิ่มเอง และเกษตรกรทั่วไป (ภาคสมัครใจ)-เกษตรกรผู้เอาประกันภัยอัตราเบี้ยประกันภัย (1) ลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. 115 บาทต่อไร่ (2) เกษตรกรทั่วไป

พื้นที่ความเสี่ยงต่ำ (พื้นที่นำร่อง) 70 บาทต่อไร่ พื้นที่ความเสี่ยงปานกลาง 199 บาทต่อไร่ พื้นที่ความเสี่ยงสูง 218 บาทต่อไร่ พื้นที่ความเสี่ยงต่ำ 27 บาทต่อไร่ พื้นที่ความเสี่ยงปานกลาง 60 บาทต่อไร่ พื้นที่ความเสี่ยงสูง 110 บาทต่อไร่ และความคุ้มครอง ภัยธรรมชาติ 7 ภัย 1,190 บาทต่อไร่ และ 2,240 บาทต่อไร่ ศัตรูพืชหรือโรคระบาด 1,595 บาทต่อไร่ และ 120 บาทต่อไร่

ส่วนอัตราการอุดหนุนเบี้ยประกันภัย (เฉพาะ tier 1) รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.ลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. 124.12 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 78.12 บาทต่อไร่ ธ.ก.ส. อุดหนุน 46 บาทต่อไร่ (จำกัดไม่เกิน 30 ไร่ต่อราย สำหรับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนปีการผลิต 2566-2567

2.เกษตรกรทั่วไป พื้นที่ความเสี่ยงต่ำ (พื้นที่นำร่อง) 75.47 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 70.97 บาทต่อไร่ เกษตรกรจ่าย 5 บาทต่อไร่ พื้นที่ความเสี่ยงปานกลาง 214 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 84 บาทต่อไร่ เกษตรกรจ่าย 130 บาทต่อไร่ พื้นที่ความเสี่ยงสูง 234.33 บาทต่อไร่ รัฐบาลอุดหนุน 85.33 บาทต่อไร่ เกษตรกรจ่าย 149 บาทต่อไร่

โฆษกรัฐบาล กล่าวอีกว่า ธ.ก.ส. เริ่มจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยทั่วประเทศ (63 จังหวัด) ตั้งแต่วันที่ ครม. มีมติถึงวันที่ 31 ก.ค. 2567 ยกเว้นภาคใต้ (14 จังหวัด) สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2567 ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลประกอบการขออนุมัติต่อ ครม. ตามมาตรา 27 และมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ. 2561 เรียบร้อยแล้ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน