พริษฐ์ สวน “ทักษิณ” ไล่ไปดูผลงาน รัฐบาลแพทองธาร ยกตัวอย่าง 1 เดือนพิสูจน์แล้ว หลายนโยบายทำไม่ได้ ทั้งค่าแรง-ค่าไฟ-กม.กลาโหม อย่าอ้างรัฐบาลผสม
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 24 ธ.ค. 2567 ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวบนเวทีปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) ที่จ.เชียงใหม่ พาดพิงการทำงานของพรรคประชาชนว่า เป็นเรื่องดีที่ได้เห็นบุคลากรทางการเมืองระดับประเทศหลายคนมีส่วนร่วมกับกระบวนการท้องถิ่น
หวังว่าจะทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูล มีทางเลือกที่แตกต่างหลากหลาย และออกมาใช้สิทธิ์มากขึ้น เข้าใจว่าสิ่งที่นายทักษิณพูดถึงพรรคประชาชนว่าเป็นพรรคที่พูดเก่ง แต่ทำไม่เป็น เป็นสิทธิ์ของนายทักษิณที่จะมีความเห็นได้
แต่ขอตั้งข้อสังเกตกลับไปกลับว่า นายทักษิณได้ตั้งข้อสังเกตกับรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ และรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ หรือไม่ หากย้อนดูผลงานรัฐบาลที่ผ่านมายังมีหลายอย่างที่การกระทำไม่สอดคล้องกับคำพูด โดยมีตัวอย่างที่เกิดไม่ถึง 1 เดือนที่ผ่านมา และมีความสำคัญกับพี่น้องประชาชน คือ ค่าแรง ค่าไฟ และกฎหมายปฏิรูปกลาโหม
เรื่องค่าแรง ตอนกลางปีพยายามสื่อสารว่า จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันในทุกจังหวัด ทุกอาชีพทั่วประเทศ แต่เมื่อวาน (23 ธ.ค.) มติของคณะกรรมการค่าจ้างหรือบอร์ดค่าจ้าง มีการปรับขึ้นค่าแรงไม่ถึง 400 บาทต่อวันสำหรับทุกจังหวัด โดยมีเพียง 4 จังหวัด และ 1 อำเภอ คือ เกาะสมุยเท่านั้น ที่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท
ส่วนเรื่องค่าไฟเมื่อประมาณปลายเดือนพ.ย. น.ส.แพทองธาร พูดว่าอยากให้ทุกส่วนมาดูแลเรื่องราคาพลังงานและค่าไฟ เพราะกระทบต่อค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชน
แต่สิ่งที่นายกฯ กระทำหรือไม่ได้กระทำ คือ ปล่อยปละละเลย ไม่พยายามให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติออกมาเพื่อเป็นแนวทางให้กองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ระงับสัญญารับซื้อไฟฟ้า 3,600 เมกะวัตต์ได้
ทั้งที่ทราบดีว่า สัญญาดังกล่าวเป็นกระบวนการที่หลายคนตั้งคำถาม เรื่องการกีดกันการแข่งขันทางการค้า รวมถึงความซ้ำซ้อนเกี่ยวกับนโยบาย PPA ซึ่งนายกฯ ทราบดีว่า การปล่อยให้สัญญาดังกล่าวเดินหน้าต่อไปได้จะทำให้ค่าไฟแพงกว่าที่ควรจะเป็น
“ถ้านายกฯ จะบอกว่า ในฐานะประธาน กพช. ไม่มีอำนาจ เพราะมีแค่ 1 เสียง ผมก็ต้องชวนพี่น้องประชาชนไปดูว่า รายชื่อของคณะกรรมการ กพช. ประมาณ 2 ใน 3 เป็นรัฐมนตรี ดังนั้น ถ้าจะบอกว่านายกฯ ไม่มีอำนาจกำหนดทิศทางของ กพช. แสดงว่าเรากำลังบอกเหมือนกันว่า นายกฯ ไม่มีอำนาจกำหนดทิศทางของ ครม.” นายพริษฐ์ กล่าว
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า อีกส่วน คือ กฎหมายกลาโหม ที่ทุกคนทราบดีว่า ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลประกาศว่าจะเดินหน้าแก้กฎหมาย แต่ก็มีการถอนร่างนั้นออกไป ทั้งๆ ที่เสนอโดยพรรคเพื่อไทย
ทั้งหมดเป็นเพียง 3 ตัวอย่าง จาก 1 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าการกระทำของรัฐบาลชุดนี้ได้สอดรับคำพูด คำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ถ้าจะอ้างว่าเป็นรัฐบาลผสมก็เลยผลักดันทุกอย่างที่พรรคเพื่อไทยต้องการไม่ได้ ก็ต้องเรียนตามตรงว่า ทั้ง 3 ตัวอย่างที่ตนพูดมา เป็นสัญญาที่ให้ไว้หลังจากมีรัฐบาลผสมแล้ว และรู้ข้อจำกัดนี้แล้ว
“ผมไม่ติดใจสิ่งที่นายทักษิณพูด เพราะทุกคนมีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาชนอยู่แล้ว ผมคิดว่าวันหนึ่งเราเป็นรัฐบาล เราสามารถทำตามนโยบายที่ให้ไว้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ในอนาคต และผมคิดว่า 1 ปี 3 เดือนที่ผ่านมา พิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่สามารถผลักดันนโยบายหลายอย่างได้สำเร็จ” นายพริษฐ์ กล่าว
เมื่อถามว่าพรรคประชาชนจะมีการปรับเปลี่ยนวิธีการหาเสียงในระดับท้องถิ่นอย่างไร เนื่องจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาผู้สมัครของพรรคยังไม่ได้ชัยชนะ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ทุกการเลือกตั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะพื้นที่ที่พรรคส่งอย่างเป็นทางการ เป็นประสบการณ์ที่สำคัญที่พรรคจะต้องถอดบทเรียน และนำมาปรับปรุงการทำงานว่า จะสามารถทำอะไรให้ดีขึ้นได้บ้าง เพื่อทำให้เราเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนในการเลือกตั้งท้องถิ่น
ตนยืนยันว่าที่ผ่านมาแม้เราไม่ประสบชัยชนะได้รับเลือกตั้งเป็นนายก อบจ. ถ้าดูจากคะแนนเราเห็นถึงพัฒนาการหลายอย่างในหลายสนามดีขึ้น แม้จะไม่ประสบชัยชนะก็ไม่ทำให้เราหมดกำลังใจ และเราพยายามที่จะขับเคลื่อนไปข้างหน้า
“ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งระดับชาติและท้องถิ่นอาจจะมีปัจจัยบางอย่างที่ไม่เหมือนกัน ยืนยันว่าพรรคไม่ได้นิ่งนอนใจ ทุกประสบการณ์ทุกสนามที่เราได้มา เราจะนำมาปรับปรุงการทำงานต่อไป และผมหวังว่า แม้การเลือกตั้งในรอบนี้จะเป็นวันเสาร์ก็อยากเชิญชวนประชาชนมาใช้สิทธิ์กันเยอะๆ
ช่วงนี้หลายคนอาจกลับบ้านในช่วงปีใหม่ก็อย่าลืมพูดคุย และลงตารางไว้ว่า มีการเลือกตั้งท้องถิ่น คือ การเลือกตั้ง อบจ. ในวันเสาร์ที่ 1 ก.พ. และไม่ว่าจะเลือกใครก็ตาม ผมอยากเห็นประชาชนมาใช้สิทธิ์เยอะๆ ยิ่งการแข่งขันเข้มข้น และประชาชนออกมาใช้สิทธิ์กันจำนวนมาก เราก็จะได้ผู้นำท้องถิ่นที่ผลักดันนโยบายที่เป็นประโยชน์กับพื้นที่มากที่สุด” นายพริษฐ์ กล่าว