นายกฯอิ๊งค์ เผยหลังมาตรการเข้ม ‘ตัดไฟ-น้ำมัน-เน็ต’ ทำใช้ไฟลด 40-50 % ฟันคนทำผิดต้องได้รับโทษ โต้ฟรีวีซ่า ไม่เกี่ยวทำจีนเทาทะลัก แจงต้องแยกส่วน ชี้ดันตัวเลขท่องเที่ยวดีขึ้น
เมื่อเวลา 11.55 น. วันที่11 ก.พ.2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงความคืบหน้าดำเนินการกับขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังมีมาตรการตัดไฟ น้ำมันและอินเตอร์เน็ตว่า ที่เห็นชัดคือการใช้ไฟที่ลดลง โดยไฟฟ้าลดปริมาณลงไป 40-50%
โดยนายประเสริฐ จันทรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระบุว่าประมาณ 2 สัปดาห์ จะได้ตัวเลขที่นิ่ง แต่อาจจะเก็บข้อมูลยากเล็กน้อยเพราะเมื่อเราตัดไฟ แต่ผลที่เกิดขึ้นคือฝั่งเมียนมา ขณะที่ฝั่งไทย จะต้องดูว่าจำนวนที่คอลเซ็นเตอร์โทรมาหลอกลวงในฝั่งไทยน้อยลงหรือไม่
ผู้สื่อข่าวถามว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าวทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและบุคคลอื่น จะดำเนินการเอาผิดอย่างไรบ้าง นายกฯ กล่าวว่า ต้องดำเนินการแน่นอน คนที่ทำผิดต้องได้รับโทษ
เมื่อถามว่าหลายฝ่ายมองว่า นโยบายฟรีวีซ่า เปิดช่องให้จีนเทา เข้าประเทศได้ง่ายขึ้น น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ต้องมองคนละส่วน เราเปิดฟรีวีซ่าไม่สามารถจำกัด ว่าคนที่เข้ามาในประเทศคนนี้หลอกได้คนนี้ห้ามหลอก แต่ผลที่เกิดจากการท่องเที่ยวคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ถ้าไปบอกว่าต่อไปนี้ฟรีวีซ่าไม่ได้ แล้วเพราะจีนเทาเข้ามา ตรงนี้ต้องแยกเป็นคนละส่วน
โดยตัวเลขของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเมื่อปี 2567 จำนวน 35 ล้านคน ถามว่าเกิดอะไรกับประเทศบ้าง และจีดีพีของประเทศขยับหรือไม่ การท่องเที่ยวเข้ามาโรงแรมต่างๆได้ประโยชน์ และธุรกิจเอสเอ็มอี ได้ประโยชน์มากแค่ไหน ดังนั้นถ้าจะแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ ด้วยการยกเลิกฟรีวีซ่า เป็นคนละส่วนจะส่งผลให้การท่องเที่ยวเสียแน่นอน เพราะวันนี้การท่องเที่ยวดีขึ้นมากเนื่องจากฟรีวีซ่า
เมื่อถามว่าการพูดคุยถึงความร่วมมือระหว่างประเทศในการช่วยเหลือผู้ที่ถูกหลอก ทั้งในเมียนมาและกัมพูชา มีความคืบหน้าอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ในที่ประชุมครม. ได้พูดถึงกลุ่มคณะทำงานที่จะทำงานร่วมกัน 2 ประเทศ ไทยและจีน โดยทางจีน น่ารักกับเรา และเสนอมาว่าจะทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง
การเป็นคณะทำงานจะทำให้เกิดความรวดเร็ว ในการจัดการปัญหาเหล่านี้คนที่ถูกหลอกจะแบ่งสัญชาติก็ยาก เพราะมีแก๊งหลอกกันไปมาจึงอยากให้คณะทำงาน ตรงนี้สามารถทำงานระหว่างประเทศได้ โดยเรื่องนี้พูดคุยผ่านทางรัฐมนตรี ต่างประเทศ