โรม จัดหนักกว่า 100 นาที พุ่งเป้า‘นายใหญ่’ สงสัย นายกฯอิ๊งค์ ดีลปีศาจ พาพ่อกลับบ้านหรือไม่ ท้าตอบคำถามเองเลย ฐานะประจักษ์พยานเห็นเหตุการณ์มากที่สุด งง พ่อป่วยปางตาย นอนพะงาบๆ แต่ แพทองธาร เล่นสกี-เที่ยว ตปท.สบายใจ ทำ ‘กี้กี้’ประท้วงไม่หยุด
เมื่อวันที่ 25 มี.ค.2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ เป็นวันที่ 2 มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล คือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามที่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน กับคณะจำนวน 165 คน เป็นผู้เสนอ
เวลา 09.10 น. นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายในหัวข้อชั้น 14 โดยใช้เวลาประมาณ 100 นาทีว่า ตนมีพยานหลักฐานสำคัญที่ยืนยันได้ว่ากรณีชั้น 14 ลวงโลกอย่างไร พยานหลักฐานไม่ใช่ใครอื่น แต่คือน.ส.แพทองธาร เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับนายใหญ่มากที่สุดกว่าใคร
นายกฯ คือประจักษ์พยานที่ยืนยันความจริงทั้งหมด ตอนแรกเป็นแค่ประจักษ์พยาน แต่ต่อมานายกฯ กลายเป็นตัวการสำคัญในการกระทำความผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง ที่มีโทษฐานที่รุนแรง ท้ายที่สุดคือขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนขอย้อนกลับไปก่อนวันที่ 22 ส.ค.2566 วันที่นายใหญ่กลับบ้าน นายกฯชี้แจงได้หรือไม่ว่าสุขภาพของนายใหญ่เป็นอย่างไร
จากนั้นนายรังสิมันต์ ได้เปิดคลิปวิดีโอคำสัมภาษณ์ของนายกฯ เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2566 ที่ระบุว่า คุณพ่อตรวจสุขภาพปีละ 2 ครั้ง ก่อนกล่าวว่า คำพูดของนายกฯ เป็นสิ่งยืนยันว่าก่อนที่นายใหญ่จะกลับมา นายใหญ่คนนี้มีสุขภาพดีอย่างแน่นอน หากมีปัญหาสุขภาพ ตนมั่นใจว่านายกฯ คงใช้โอกาสนี้สื่อสารกับสังคม
“ผมขอตั้งคำถามว่าอะไรทำให้นายใหญ่ต้องไปขึ้นเขียงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจถึง 180 วัน มันต้องมีปัจจัยอะไรบางอย่าง ที่จู่ๆ ทำให้คนสุขภาพดี ได้รับการดูแลรักษาที่ดูไบเป็นอย่างดี ถึงด้ล้มป่วยกะทันหัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาการป่วยคงจะอยู่ในช่วงเวลาที่นายใหญ่เดินทาง”นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า จุดเดียวที่น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด คือต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในเรือนจำ เรื่องนี้ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ เราต้องไม่ลืมว่าวันนั้นที่นายใหญ่กลับประเทศไทย คนที่เป็นนายกฯ ขณะนั้นชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร และนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ยังไม่ได้เข้าทำหน้าที่
“พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามายึดอำนาจจากน้องสาวนายทักษิณ เคยว่ากล่าวเสียหายหลายอย่าง บางครั้งได้ยินชื่อทักษิณ ก็ปรี๊ดควันออกหู เดินทิ้งโพเดียม และที่ทุกวันนี้เราเรียก พ.ต.ท.เป็นคำนำหน้านายทักษิณไม่ได้อีกแล้วเพราะพล.อ.ประยุทธ์ เราต้องไม่ลืมว่าวันนั้นคนที่ดูกระทรวงยุติธรรมไม่ได้ชื่อสมศักดิ์ เทพสุทิน เพราะลาออกเพื่อย้ายไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย ทำให้ผู้ที่รักษาการกระทรวงยุติธรรมขณะนั้นมีชื่อว่าวิษณุ เครืองาม ซึ่งเป็นเนติบริกรให้กับพล.อ.ประยุทธ์ มาตลอด”นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวด้วยว่า ไม่คิดว่ามันแปลกหรือ ขนาดวันที่น้องสาวของตัวเองเป็นนายกฯ นายทักษิณยังกลับมาไม่ได้ ดังนั้น การกลับมาเป็นเพราะดีลที่น.ส.แพทองธาร ไปทำมาหรือไม่ เพราะดีลลังกาวีหรือไม่ มีบิ๊กสีอะไรหรือไม่เป็นผู้เกี่ยวข้อง จึงทำให้นายใหญ่มั่นใจว่าครั้งนี้กลับมาประเทศไทยได้
นอกจากนี้บทบาทของน.ส.แพทองธาร แม้วันนั้นจะไม่ใช่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่เป็นแคนดิเดตนายกฯ และเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการหาเสียงให้กับพรรค การที่น.ส.แพทองธาร ออกมาขานรับสนับสนุนแนวทางจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว
ในวันที่กลับมา นายใหญ่ยังมีคนไปรอต้อนรับ ราวกับว่านี่คือนายกฯ ที่เพิ่งทำภารกิจต่างประเทศเสร็จ กลับมาแล้วก็ไม่มีการควบคุมตัว มีตำรวจไปต้อนรับ ช่วยจัดระเบียบให้ทุกอย่างสมูทด้วยซ้ำไป
ทำให้นายศาสตรา ศรีปาน สส.สงขลา พรรครวมไทยสร้างชาติ ลุกขึ้นประท้วงว่า ขออย่าพาดพิงบุคคลภายนอก เดี๋ยวการประชุมจะไม่ราบรื่น
นายรังสิมันต์ จึงแย้งว่า เรื่องชื่อเป็นเรื่องจำเป็น ตนไม่ได้ปิดกั้นข้อมูล ยืนยันว่าทุกอย่างจะอยู่บนข้อมูล ไม่ได้เสริมเติมแต่ง แต่นายศาสตรา ชี้แจงว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีสิทธิ์มาชี้แจง ฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องเอ่ยชื่อ ทำให้นายพิเชษฐ์ ประธานการประชุม ถามว่าเป็นตัวย่อได้หรือไม่ นายรังสิมันต์ไม่ยอม พร้อมกล่าวว่ามันเป็นข้อมูลในอดีต ประเทศไม่ได้เสียหายเพิ่มขึ้นจากการอภิปราย
ทำให้นายศาสตรา กล่าวอีกครั้งว่า บุคคลที่สามไม่สามารถมาชี้แจง ไม่สมควรเอ่ยชื่อบุคคลภายนอกหากไม่จำเป็น นายพิเชษฐ์จึงวินิจฉัยว่า ขอให้พยายามหลีกเลี่ยง ทำให้นายรังสิมันต์ ใช้คำว่า “ไอ้โม่ง” จังหวะนี้ ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ก็ร่วมประท้วงด้วยว่า อย่าเสียดสี อย่าทำให้คนรู้สึกว่า ด้อยค่าความเป็นมนุษย์
นายรังสิมันต์ อภิปรายต่อว่า ไอ้โม่ง 2 ตัว ใจดี ลด แลก แจก แถม ด้วยการให้บิดาของน.ส.แพองธาร ออกจากเรือนจำ เพื่อรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจได้ ทุกอย่างที่เคยสัญญาไว้กับประชาชนเป็นคำโกหก ไม่มีความหมายอีกแล้ว เพราะวันนี้พ่อได้กลับบ้านแล้ว นี่คือดีลแลกประเทศ ที่นายกฯ สมคบให้เกิดขึ้น เพื่อช่วยเหลือพ่อตัวเองไม่ให้นอนคุกแม้แต่วันเดียว จุดเริ่มต้นของชั้น 14 มันจึงเป็น “ดีลปีศาจ”เพื่อพาพ่อกลับบ้าน
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า แผนที่เตรียมไว้คือแผนที่อดีตนายกฯ จะต้องไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว แต่ตนแอบไปทราบมาว่า น.ส.แพทองธาร รู้ว่านายใหญ่จะเหลือโทษจำคุกอีก 1 ปีในคืนหลังกลับถึงไทยแล้ว ถ้ารู้ล่วงหน้านานกว่านี้ การเตรียมการมันจะดีกว่านี้ การเล่นละครถึงจะสมจริงกว่านี้ ไม่ต้องมาขายผ้าเอาหน้ารอดกันแบบนี้
หลังจากนั้นกรมราชทัณฑ์ได้แถลงใหญ่โต ว่านายทักษิณตรวจพบ 4 โรค คือ หัวใจขาดเลือด, ปอดผิดปกติ, ความดันสูง และกระดูกสันหลังเสื่อม จัดอยู่ในกลุ่มเปราะบาง จากการแถลงตรงนี้ส่อพิรุธ เพราะจากที่ น.ส.แพทองธารให้สัมภาษณ์ ทำไมถึงได้สวนทางกันขนาดนี้ ทั้งที่ห่างกันแค่เพียง 2 วัน
ทำให้ทพญ.ศรีญาดา ประท้วงว่าข้อมูลไม่ครบ นายรังสิมันต์ไม่ใช่แพทย์ ไม่สามารถวินิจฉัยโรคในสภาแห่งนี้ได้ และมีพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลสุขภาพส่วนตัวอยู่แล้ว ฉะนั้นการเอาข้อมูลสุขภาพอภิปราย มีโอกาสที่จะไม่ครบถ้วน จึงอยากให้ประธานช่วยควบคุม
นายพิเชษฐ์ จึงวินิจฉัยว่า มันเป็นข้อกล่าวหา ประชาชนฟังอยู่ แต่ ทพญ.ศรีญาดา กล่าวว่า เข้าใจแต่มันซ้ำซาก ไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ในการเอาเข้ามา ผู้ป่วยที่พูดถึงก็หายแล้ว นายรังสิมันต์ จึงถามกลับว่าหายแล้วตอนไหน ก่อนที่นายพิเชษฐ์ จะปิดไมค์ ทพญ.ศรีญาดาทันที และตัดบทว่า เป็นข้อกล่าวหา ประชาชนอยู่ที่บ้านพิจารณาอยู่
ต่อมา นางนุชนาถ จารุวงษ์เสถียร สส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย ประท้วงว่า นายรังสิมันต์ชอบเอ่ยชื่อโดยไม่จำเป็น “ท่านเอ่ยชื่อนายกฯ ทักษิณ ทำให้คนอีสานซาบซึ้งมากยิ่งกว่าเดิม” ทำให้นายพิเชษฐ์ ปิดไมค์นางนุชนาถ พร้อมวินิจฉัยว่ายังอยู่ในประเด็น ย้ำว่าวันนี้เรามีเวลาน้อยมาก ขอให้รักษาเวลาในแต่ละฝ่าย
แต่นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ไม่ยอม ประท้วงบ้างว่า นายพิเชษฐ์ พูดเรื่องเวลา มันไม่ถูก เมื่อคืนเหลืออยู่ 3 ชั่วโมง แต่นายพิเชษฐ์ แจงว่า ไม่เกี่ยวกัน เมื่อวานนี้ก็จบไป แต่วันนี้ต้องรักษาเวลาทุกฝ่าย
จากนั้น นายรังสิมันต์ ได้อภิปรายไล่เรียงเหตุการณ์ในช่วงนั้น พร้อมกล่าวว่า หมอดูไบหรือจะสู้โรงพยาบาลตำรวจไทย อาการของนายใหญ่ต้องป่วยหนักมาก ถึงขนาดที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ มาตรวจเช็กอาการป่วยไม่ได้ ถึงไม่มีความพยายามพานายใหญ่ไปโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ทั้งที่ระยะทางใกล้กว่ากันมาก
นอกจากนี้นายใหญ่ยังได้รับสิทธิพิเศษได้รักษาตัวในหอผู้ป่วยระดับสูง และหลังจากชั้น 14 ตกเป็นเป้าวิจารณ์ โรงพยาบาลตำรวจก็ออกมาแก้ปัญหา โดยเปลี่ยนชื่อจากเดิมชื่อหอผู้ป่วยพิเศษระดับสูง เปลี่ยนเป็นชื่อ หอผู้ป่วย ซึ่งกรณีนี้ไม่ต่างอะไรกับนักโทษแหกคุก และดีลนี้ยังรวมถึงการที่คณะรัฐประหาร และน.ส.แพทองธาร ได้ขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายคน
ตามระเบียบแล้วคนที่สามารถขออภัยโทษได้ คือตัวนักโทษเองและคนในครอบครัว แต่ น.ส.แพทองธาร ได้กระทำการอกตัญญู โดยการปล่อยให้บิดาของตัวเองช่วยเหลือตัวเองในการร้องขออภัยโทษ
จังหวะนี้ ทพญ.ศรีญาดา ลุกขึ้นประท้วงทันที ว่านายรังสิมันต์เป็น สส.เคยอ่านข้อบังคับเรื่องจริยธรรมหรือไม่ “จะต้องมีความเมตตา เห็นใจว่าถ้าลูกสาวคนหนึ่งที่คุณพ่อป่วย ท่านมาอภิปรายเรื่องที่รถพยาบาลไปเร็วเกินไป มีที่ไหน ทำอย่างนี้ประชาชนที่ฟังอยู่ที่บ้านเขางงว่าตกลงแล้ว เราอยากให้คนป่วยหายหรือไม่ สิ่งนี้ท่านควรจะมี และการที่ใช้คำว่าอกตัญญู การใช้คำพูดของฝ่ายค้านบางครั้งรุนแรงเกินไปเขาเรียกว่า ใส่ร้าย ที่สำคัญคืออาฆาตมาดร้าย ผิดจริยธรรม อย่าใส่ความคิดส่วนตัวเกินไป ขอให้ช่วยถอนคำพูดด้วย”
นายพิเชษฐ์ วินิจฉัยว่า ไม่มีปัญหา ยังอยู่ในประเด็น แต่ ทพญ.ศรีญาดาไม่ยอม เพราะถือเป็นความผิดร้ายแรง นายพิเชษฐ์ จึงกล่าวว่า เขากล่าวหา มันใช้เวลาเยอะถ้าประท้วง
นายรังสิมันต์ จึงกล่าวว่า “ผมถอนให้ก็ได้ ท่านศรีญาดาใจเย็นๆ ขอถอนคำว่าอกตัญญู เปลี่ยนเป็น กตัญญูน้อยก็แล้วกัน” ก่อนจะอภิปรายต่อ โดยเปิดคลิปสัมภาษณ์ น.ส.แพทองธาร ที่ให้พ่อจัดการทำเรื่องอภัยโทษเอง ทั้งที่อยู่ในโรงพยาบาลแล้ว 7 วัน
“นายกฯท่านต้องรู้ท่านต้องเห็น ท่านไม่เห็นหรือว่าพ่อป่วยหนักขนาดไหน ผมมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพ่อของท่านอยู่ ในคลิปที่ท่านให้สัมภาษณ์ก็เพิ่งไปเยี่ยมพ่อมา ท่านไม่เห็นเหรอว่าพ่อของท่านป่วย จนรอเคาะโลงแล้ว ท่านจะมาให้พ่อของท่านเตรียมเอกสาร เพื่อขอยื่นฎีกาอภัยโทษด้วยตนเองจริงหรือ หากทำไปแล้วพ่อป่วยหนักมากยิ่งขึ้น จะให้ทำอย่างไรใครจะรับผิดชอบ” นายรังสิมันต์ กล่าว
จากนั้น ทพญ.ศรีญาดา ประท้วงอีกว่า ขอให้นายรังสิมันต์เอาสไลด์ที่เขียนข้อความรุนแรงลง “โอ้โห ดิฉันไม่อยากจะอ่านเลย” แต่นายพิเชษฐ์ ถามกลับว่าผิดตรงไหน ทพญ.ศรีญาดา จึงกล่าวว่า มันมีคำพูดมากกว่าอกตัญญู
นายรังสิมันต์ จึงตอบโต้กลับว่า ทพญ.ศรีญาดาน่าจะมีปัญหาสุขภาพ ทพญ.ศรีญาดา สวนทันทีว่า ท่านจะอภิปรายต้องมีจริยธรรมด้วย ตนมองเห็นว่าถ้าไม่มีจริยธรรม ท่านเอาสิ่งที่เป็นความเห็นของท่านไปตัดสินคนอื่น ก่อนที่นายพิเชษฐ์จะปิดไมค์ ซึ่งทพญ.ศรีญาดา ก็ไม่ยอมหยุดพูด จนทำให้ น.ส.รภัสสรณ์ นิยโมสถ สส.ลำปาง พรรคประชาชน ลุกขึ้นขอให้ประธานควบคุมการประชุม
นายรังสิมันต์ อภิปรายต่อว่า วันนั้นนายใหญ่ป่วยปางตาย จะไปเฝ้ายมบาล ถึงขนาดโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีศักยภาพ นายกฯไม่เห็นสภาพความเป็นจริงหรือว่าวิญญาณจะออกจากร่างแล้ว หรือความจริงเป็นการอุปโลกน์ขึ้นมา
นายรังสิมันต์ ยังยกรายงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)ว่าหากป่วยในระดับวิกฤตจริง ควรจะต้องอยู่ในห้องสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินเท่านั้น ไม่ใช่ห้องผู้ป่วยพิเศษ ก่อนจะเปรียบเทียบกับผู้ป่วยคนอื่น ทำให้ ทพญ.ศรีญาดา ขึ้นประท้วงอีกรอบ ระบุว่าอภิปรายออกนอกญัตติแล้ว ประธานต้องควบคุมให้อยู่ในญัตติด้วย แต่นายพิเชษฐ์กล่าวว่า นายรังสิมันต์แค่เปรียบเทียบ และตนเชื่อว่านายกฯจะมาตอบได้
จากนั้นนายรังสิมันต์ อภิปรายต่อว่า นายกฯไม่รู้สึกเลยหรือว่ามีส่วนสำคัญในการฆาตกรรมความยุติธรรม ท่านได้ทำให้ความยุติธรรม ตนตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมช่วงที่นายใหญ่ป่วย นายกฯยังไม่ได้มีอาการเครียด เป็นห่วงพ่อแม้แต่น้อย
ทำให้น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประท้วงว่าญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ให้พูดถึงการบริหารงานของนายกฯ แต่สิ่งที่นายรังสิมันต์กำลังพูดอยู่ขณะนี้ นอกจากเป็นการเสียดสีแล้ว ยังไม่ได้พูดถึงการทำงานในช่วงที่ น.ส.แพทองธารเป็นนายกฯ ท่านเป็นเพียงบุตรสาวที่คุณพ่อป่วยอยู่ในโรงพยาบาล
นายรังสิมันต์ จะย้ำว่า “ถ้าพ่อป่วยหนักปางตาย ลูกผีลูกคน จะตายแหล่ไม่ตายแหล่ มีหรือที่นายกฯจะพูดแค่มีอาการเครียด อ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ท่านนายกฯ คงจะพูดแช่งพ่อไม่ได้”
นายรังสิมันต์ ตั้งคำถามอีกว่า นายกฯให้ รมว.ยุติธรรมอยู่ในตำแหน่ง หนีบเก้าอี้ต่อไปได้ ทั้งๆ ที่เรื่องมันเหม็นคลุ้งจนคนในสังคมวิจารณ์กันไม่จบไม่สิ้น นอกจากนี้แพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจยังได้รับการอวยยศในหน้าที่การงาน อย่างนี้เป็นบทละครบทใหม่หรือไม่
ทำให้นายครูมานิตย์ ลุกขึ้นประท้วงว่า นายรังสิมันต์ กล่าวว่า คิดบทละครบทใหม่ ตนคิดว่าไม่เหมาะสม ขณะที่นางนุชนาถ ประท้วงอีกรอบว่า นายรังสิมันต์ มีกิริยาวาจามารยาทไม่เหมาะสม “ร้องกู๋ แบบนี้ค่ะ ทุบโต๊ะด้วย นี่ไม่ใช่กิริยาหรือตลาดนัดนะคะ”
ต่อมา ประธานได้สลับกันทำหน้าที่มาเป็นนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาฯคนที่สอง นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประท้วงบ้างว่า ให้ประธานควบคุมการประชุม และถามนายรังสิมันต์ว่า ปีศาจคือใคร แต่นายภราดรวินิจฉัยให้อภิปรายต่อได้
นายรังสิมันต์ อภิปรายว่า ราชทัณฑ์เคยแถลงว่า นายใหญ่อยู่ในสภาวะอันตรายแก่ชีวิต ในเมื่อราชทัณฑ์ยืนยันว่าไม่พ้นขีดอันตราย ตนก็อยากจะรู้ว่านายกฯ ในฐานะลูก กังวลหรือไม่ เครียดหรือไม่ จิตตกหรือไม่ ปรากฏว่าสิ่งที่พบเห็นในการติดตาม คือพบแต่ความสบายใจ ตนนึกว่านายกฯ จะสแตนบายรอดูใจ แต่กลับไปเที่ยวต่างประเทศ 2 ครั้ง
“ไหนพ่อกำลังจะม่องเท่ง ช่วงนั้นพ่อป่วยพะงาบๆ อยู่โรงพยาบาลตำรวจไม่ใช่เหรอ ไม่คิดจะไปเยี่ยมพ่อเลยหรือ นอกจากนี้ยังพบว่าท่านนายกฯ ได้โพสต์ไอจี โดยระบุถึงการไปเล่นสกีที่ญี่ปุ่น เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก ราชทัณฑ์แถลงปาวๆ ว่าพ่อของท่านอยู่ในภาวะวิกฤต พร้อมวางดอกไม้จันทน์ จริงๆ ต้องมารอดูหน้าพ่อแล้วหรือไม่ เผลอๆ ต้องเตรียมจองวัดไว้ล่วงหน้าแล้ว” นายรังสิมันต์ กล่าว
ทำให้นางนุชนารถ ประท้วงทันทีด้วยอารมณ์ว่า “จริงๆ ไม่อยากประท้วงเลย แต่ท่านพูดว่าวางดอกไม้จันทน์ จริงๆ วางให้ท่านก่อนนั่นแหละ ท่านโรม”
นายภราดร จึงวินิจฉัยว่า ลักษณะการเสียดสีแบบนี้ ขอให้ลดน้อยลง เพื่อรักษาบรรยากาศ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทพญ.ศรีญาดา ก็ประท้วงอีก 2 รอบ ระบุว่า อภิปรายวนเวียน ขอให้อยู่ในญัตติ นอกจากนี้ยังหมิ่นประมาทและใส่ร้าย การใช้จินตนาการที่มากเกินไป จับแพะชนแกะ ขอให้ประธานควบคุมการประชุมด้วย และยังมีนายก่อแก้ว ขึ้นประท้วงอีกรอบ ถามเหมือนเดิมว่าปีศาจที่ดีลด้วยคือปีศาจตัวไหน
จากนั้น นายรังสิมันต์ ได้อภิปรายยาวไปจนครบเวลา 100 นาที