“ไอเฟค” ชี้แจงข้อเท็จจริง ยืนยันเปิดทาง”ผู้ถือหุ้นทุกกลุ่ม”ร่วมแก้ปัญหา

นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2559 ที่ผ่านมา จนกระทั่งเดือนมกราคม 2560 ตลาดลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ขึ้นเครื่องหมาย SP ในหลักทรัพย์ของบริษัท บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นั้นโดยข้อเท็จจริงของการขึ้นเครื่องหมายดังกล่าว เกิดจากตลาดหลักทรัพย์ ยังคงไม่ได้รับการชี้แจงเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงิน (B/E) จากบริษัท ซึ่งสารสนเทศดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อสภาพการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท และการตัดสินใจในการลงทุนของผู้ลงทุนในหลักทรัพย์ IFEC

เปิดปมเหตุไอเฟคถูก SP

ทั้งนี้ สาเหตุที่ ไอเฟค ไม่สามารถชี้แจงได้ เนื่องจากเกิดปัญหามีผู้ถือหุ้นไอเฟคบางราย ออกมาให้ข้อมูลผ่านสื่อต่อกรณีไอเฟค ที่กู้ยืมหนี้ระยะสั้นมานั้น ไม่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน ก่อให้เกิดความปั่นป่วน ทั้งๆ ที่ทีมผู้บริหารไอเฟคที่ยังนั่งบริหารงานอยู่ได้มีการเจรจากับเจ้าหนี้ไปได้แล้วบางส่วน เมื่อมีการออกมาให้ข้อมูลเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เจ้าหนี้ไม่ยอมโรลโอเวอร์หนี้ และยิ่งคิดดอกเบี้ยแพงขึ้น

ดังนั้นนี่คือ ประเด็นแรกของความไม่จริงใจในการเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา ของผู้ถือหุ้นบางราย ซึ่งมักพูดสวนทางกับสิ่งที่ให้ข้อมูลผ่านสื่อมาโดยตลอดว่า “ตนเองพร้อมที่จะเข้ามาให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาไอเฟค”

พบการทุจริตภายในไอเฟค

นอกจากนี้ ก่อนที่หลักทรัพย์ของไอเฟค จะถูกขึ้นเครื่องหมาย SP นายแพทย์วิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ประธานกรรมการ ไอเฟค และทีมผู้บริหาร และกรรมการของไอเฟค ซึ่งประกอบด้วย นายศุภนันท์ ฤทธิไพโรจน์ นายฉัตรณรงค์ ฉัตรภูติ และ พล.ต.บุญเลิศ แจ้งนพรัตน์ ได้เร่งแก้ไขปัญหามาอย่างต่อเนื่อง

จนค้นพบมูลเหตุ ที่จะยิ่งสร้างเสียหายอันยิ่งใหญ่ให้แก่ ไอเฟค เพราะพบว่า มีกลุ่มผู้บริหาร และกรรมการบริษัทชุดเดิม ได้ทำการฉ้อฉล และทุจริต ต่อบริษัท จนเกินกว่าที่จะมองข้ามปัญหา หรือปล่อยให้บริษัทถูกพวกฉ้อฉลเหล่านั้นโกงกินเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นทุกรายไปได้ โดยฉพาะผู้ถือหุ้นรายย่อย

“ซึ่งปัญหาการคดโกงในไอเฟค เรายังไม่เคยเห็น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หยิบยก และต้องการแก้ไขปัญหา หรือหยุดยั้งการคดโกงอย่างจริงจัง หรือหากรู้แล้ว พวกเราผู้ถือหุ้นคนก็ยังสงสัยว่า ถ้ามีการคดโกงแบบนี้แล้ว ทำไมถึงกล้าลงทุน พร้อมกับมองข้ามปัญหานี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับบริษัทจดทะเบียน และเป็นธรรมาภิบาล ที่พวกเราควรต้องร่วมมือกันทำในฐานะผู้ถือหุ้นทุกคนไม่ว่าถือหุ้นใหญ่ หรือหุ้นเล็ก”

ดังนั้น นี่คือประเด็นที่สอง ที่ยังไม่เห็นความจริงใจของผู้ถือหุ้นบางราย ที่ต้องการช่วยไอเฟค แก้ไขปัญหาเรื่องการคดโกงบริษัทอย่างจริงใจ

วิธีเลือกรรมการ 2 ครั้งใช้วิธีเดิม

ส่วนเรื่องวิธีการเลือกตั้งกรรมการไอเฟค ครั้งเมื่อการประชุมวิสามัญวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมาซึ่งเป็นวิธีการลงคะนนเสียงแบบสะสม (Cumulative Voting)การคัดเลือกกรรมการครั้งนั้น ท่านผู้ถือหุ้นบางราย และกรรมการของฝั่งผู้ถือหุ้นรายนี้ ก็ได้รับการคัดเลือกเข้ามาเป็นกรรมการถึง 5 ซึ่งก็เป็นการเลือกรรมการเป็นรายบุคคลเข้ามา

ต่อมาเมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2560 ซึ่งเป็นการประชุมสามัญประจำปี 2560 ในที่ประชุมครั้งนั้น บริษัทก็ยังคงใช้วิธีการลงคะแนนเสียงแบบสะสม

ดังนั้น หากไม่เห็นด้วยกับวิธีการ หรือแนวทางการเลือกรรมการด้วยวิธี Cumulative Voting ควรต้องยับยั้ง ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ถือหุ้น แต่ท่านกลับละเลยไม่ท้วงติง และเข้าร่วมประชุม พร้อมกับกรรมการท่านอื่นที่เป็นกรรมการฝ่ายท่านอีก ขณะเดียวกัน กลับไปจดทะเบียนรายชื่อกรรมการของท่าน และท้ายที่สุดก็ไปยกเลิกการจดชื่อกรรมการดังกล่าว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดหลักการ และเป็นความผิดในการให้ข้อมูลเท็จแก่เจ้าพนักงาน

แม้ท่านไปยกเลิกจดทะเบียนชื่อกรรมการดังกล่าว แต่ถือว่าได้เกิดการกระทำแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ ไอเฟค ได้แจ้งความและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เรียกมาสอบปากคำถึงสองครั้งแล้ว ผู้ถือหุ้นบางรายก็ยังไม่มีการไปให้คำชี้แจงต่อเรื่องดังกล่าว

ดังนั้น นี่คือประเด็นที่สาม ที่ยังไม่เห็นความจริงใจของผู้ถือหุ้นบางราย ที่ต้องการเข้ามาแก้ปัญหาในไอเฟคอย่างจริงใจ เหตุอาจเป็นเพราะวิตกกังวลกรรมการฝ่ายผู้ถือหุ้นบางรายลดลงไปหนึ่งคน จากเดิม 5 คน เหลือ 4 คน ส่วนฝ่ายนายวิชัยมี 4 เหมือนเดิม และกรรมการตัวแทนคนกลางจากกลุ่มเทพผดุงพร 1 คน จึงทำให้เกิดความวิตกว่า ไม่สามารถกุมเสียงข้างมากได้ ซึ่งสถานการณ์ของไอเฟค ต้องการแก้ไขปัญหา เพื่อผลประโยชน์ของบริษัท และผู้ถือหุ้นทุกรายไม่ว่ารายใหญ่หรือรายย่อย จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องน่ากังวล ถ้าหากเข้ามาเพื่อต้องการช่วยไอเฟคจริง โดยไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง และเป็นบุคคลที่มีธรรมาภิบาลจริง ดั่งที่ประกาศเอาไว้

เปิดกว้างพร้อมให้ผู้ถือหุ้นทุกกลุ่มเข้าร่วมแก้ไขปัญหา

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากผู้ถือหุ้นบางราย รู้จัก และเข้าใจ นายวิชัย คณะกรรมการทุกท่าน และทีมงานไอเฟค เป็นอย่างดี จะเห็นว่า นับแต่ก้าวแรกที่ผู้ถือหุ้นบางราย ประกาศตัวเข้ามาถือหุ้น และต้องการที่จะเข้ามาร่วมทำงาน และแก้ไขปัญหาในไอเฟค ท่านผู้ถือหุ้นบางราย จะพบว่า นายแพทย์วิชัย และกรรมการทุกท่าน ยินดี และเปิดรับตัวตนของท่าน ตั้งแต่วันแรกที่ท่านประกาศตัว

“ที่สำคัญกรรมการทุกท่านในไอเฟคต่างดีใจ และยอมรับท่าน เป็นดั่งขี่อัศวินม้าขาวเข้ามาช่วยไอเฟค แต่อยู่ๆทุกคนประหลาดใจ อะไรคือทำให้อัศวินที่พวกเขารอคอย กลับเปลี่ยนแปลงความคิด”

ทั้งๆ ที่ การเข้ามาของผู้ถือหุ้นบางราย ต้องยอมรับว่า ท่านมีเพาเวอร์มาก มีเพาเวอร์แม้แต่ท่าน ยกหูโทรศัพท์หาบุคคลที่นั่งเป็นกรรมการในบริษัทย่อย 4 แห่ง ประกอบด้วย 1.ดาราเทวี 2.โรงแรมดาราเทวี 3.เอ.พี.เค. ดีเวลอปเม้นท์ 4.อินเตอร์ฟาร์อีสท์แคป แมนเนจเม้นท์ ให้ออกจากการเป็นกรรมการตามมติที่คณะกรรมการไอเฟค ได้มีออกมานั้น ปัญหาเรื่องการปิดงบไอเฟค ปี 2559 ที่ท่านผู้ถือหุ้นบางรายท้วงติงมา คงไม่มีปัญหา และสามารถเร่งปิดงบไอเฟคปี 2559 และไตรมาสแรก ปี2560 ได้อย่างแน่นอน

“ขณะเดียวกัน นายแพทย์วิชัย ได้แสดงความจริงใจ โดยการก้มลงกราบผู้ถือหุ้นบางราย ต่อหน้ากรรมการทั้งคณะ เพื่อแสดงความจริงใจ และเปิดรับผู้ถือหุ้นบางรายอย่างจริงใจ โดยไม่มีสิ่งใดเคลือบแคลง”

รอประตูเปิดขอแค่”ความจริงใจ–ความร่วมมือจากผู้ถือหุ้นบางท่าน”

ดั้งนั้น นี่คือความจริงใจ ที่กรรมการทุกท่านในบอร์ดไอเฟค มีความจริงใจ และต้องการความร่วมมือจากท่านผู้ถือหุ้นบางรายอย่างใจจด ใจจ่อ เพียงแค่ท่านเข้ามาร่วมนั่งบริหารบนโต๊ะทำงานคณะกรรมการในไอเฟค และถกเถียงกันหาข้อสรุปบนโต๊ะกรรมการในปัญหาต่างๆอย่างตรงไปตรงมา

“เชื่อเถิดครับปัญหาในไอเฟค ก็สามารถหาทางออกได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้หนี้ การลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและหลักทรัพย์ของไอเฟค จะได้ถูกปลดSP และหุ้นก็สามารถกลับมาซื้อขายได้ตามปกติ”

ทั้งนี้ ทีมงานและกรรมการไอเฟคทุกคน เห็นศักยภาพของไอเฟค ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม้ไอเฟคจะมีปัญหาหนักหนาเพียงใด แต่ธุรกิจของไอเฟคต้องเดิน ทีมงานและกรรมการ ที่ผ่านจึงต้องทำงานควบคู่กันไปกับการแก้ไขปัญหา หากหยุดทำงาน ไอเฟค จะหาเงินมาหล่อเลี้ยงบริษัทและทีมงานได้อย่างไร

“ที่ผ่านมา เราพยายามหาคนผิดที่ทำให้บริษัทเสียหาย เป้าหมายเพื่อหวังว่า ยังมีสินทรัพย์ที่จะเรียกร้องกลับมาได้ และทำให้ไอเฟคอยู่รอดได้ โดยไม่มีเป้าหมายอื่นใด เพราะทุกคนมุ่งหวังเพื่อผลประโยชน์ต่อบริษัทและผู้ถือหุ้นทุกท่านเป็นสำคัญ โดยไม่ได้แอบแฝง หรือเอาเปรียบบริษัทแต่อย่างใด”