สมิติเวช – “ตอนนี้เรายังแข็งแรงพอ จะต้องร่วมกันช่วยชาติ ช่วยคนที่ไม่แข็งแรง เราอยากเป็นตัวอย่างในการทำเพื่อช่วยคนไทยที่อยู่ในช่วงลำบาก เลยมานั่งคิดว่าถ้าอย่างนั้นเราต้องลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง สร้างโครงการบางอย่างที่สามารถช่วยคนไทยได้ในช่วงวิกฤตทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านสุขภาพ
เราจึงมาทำเรื่อง #SaveLifeSavePrice ถือว่าเป็นตัวอย่างที่จะกระตุ้นให้พวกเราไปในทิศทางเดียวกัน และประเทศชาติอยู่รอด” ปณิธานของ นพ.ชัยรัตน์ ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม รพ.สมิติเวช และ รพ.บีเอ็นเอช อันเป็นที่มาของแคมเปญ #SaveLifeSavePrice
นพ.ชัยรัตน์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันคนในประเทศกำลังประสบปัญหา ทั้งด้านเศรษฐกิจ สุขภาพกายและสุขภาพใจ สมิติเวชอยากเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ร่วมแก้ปัญหาให้คนไทย ซึ่ง Pain points นั้นมีหลากหลาย มีทั้งคนที่ไม่อยากมาโรงพยาบาล เพราะกลัวการติดโรค คนที่ไม่อยากเจ็บป่วย ถ้าป่วยก็จะทุกข์ทรมานทั้งกายและจิตใจ ค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสุขภาพกลายเป็นต้นทุนสำคัญในการดำรงชีวิต
ดังนั้นสมิติเวชยังคงปณิธาน #เราไม่อยากให้ใครป่วย ด้วยแคมเปญ #SaveLifeSavePrice สร้างคุณค่าทุกมิติการดูแลสุขภาพ
“เราเริ่มบริการหาหมอออนไลน์เป็นทางเลือกให้คนไข้มาก่อนโควิดแล้ว โดยในช่วงวิกฤติโควิดที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นมาก นอกจากนี้ Self-Care เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญ สมิติเวชมี Engage Care คือ เทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงดูแลตัวเองดีขึ้นได้จากที่บ้าน ตื่นเช้ามาก็สามารถวัดระดับน้ำตาลเองได้ง่ายๆ
ถ้าเกินจากมาตรฐานระบบก็จะเตือนมาที่โรงพยาบาล แพทย์ก็จะติดตามการรักษาได้ทันที มีการเชื่อมต่อบริการถึงบ้าน เช่น อุปกรณ์ Tytocare ที่สามารถ วัดอุณหภูมิ การเต้นของหัวใจ ฟังเสียงปอด แพทย์จึงให้คำปรึกษาผ่านทางออนไลน์ได้มั่นใจขึ้น และยังมีบริการฉีดวัคซีนและส่งยาถึงบ้านอีกด้วย”
นพ.ชัยรัตน์ กล่าวต่อว่า คำว่า SaveLife คือ ปกป้องสุขภาพ จะมาก่อน SavePrice คือ ปกป้องเงินของผู้บริโภค เรามามองดูตัว SaveLife เราก็พยายามสังเกตดูว่าอะไรคือปัญหาใหญ่ และพบว่า Pain points อันดับ1 ของผู้รับบริการเวลานี้ คือ กลัวติดเชื้อ ไม่มีใครอยากมาโรงพยาบาล
เพราะฉะนั้น Solution ของสมิติเวชคือ ถ้าไม่มาโรงพยาบาล จะหาทางออกได้ยังไง ก็คือเราไปหาท่าน หาคนไข้ คือ HomeCare รวมถึงเราใช้เทคโนโลยี โดยผู้รับบริการไม่ต้องมาโรงพยาบาล เรามี Virtual Hospital เราเป็น Telemedicine ที่ครบวงจรตั้งแต่ A-Z เรียกว่ามีความเสมือนจริง และมีตัว TytoCare
(ชุดอุปกรณ์ตรวจวัดสุขภาพเบื้องต้น ที่สามารถเชื่อมต่อการปรึกษาคุณหมอออนไลน์กับ Samitivej Virtual Hospital ที่ให้บริการ Telemedicine ด้วยการนำเทคโนโลยีมาช่วยให้ผู้ป่วยและคุณหมอสามารถพูดคุยตอบโต้กันได้แบบ Real-Time เหมือนหมอมาตรวจถึงบ้าน)
เวลาอยู่บ้าน คนไข้สามารถให้หมอส่องคอ หู ฟังปอด และสามารถวินิจฉัยเบื้องต้นได้ ตัวนี้มีประโยชน์มาก บางครั้งคนไข้ไม่ต้องมาโรงพยาบาลจ่ายเงินเป็นพัน แต่พอใช้เครื่องนี้แพทย์ส่องดูว่าเป็นไวรัส ไม่ต้องมาโรงพยาบาล มีไข้ก็กินพาราเซตามอล2เม็ดก็พอแล้ว อย่างนี้ถือว่าช่วยกันประหยัด
จุดนี้คือจุดที่เป็น SaveLife ปกป้องเขา อย่าให้เขาติดเชื้อ เมื่อปี 2019 เราทำ Virtual Hospital และ Telemedicine จำได้ว่าปี 2020 ที่มีโควิดระบาด ผู้รับบริการในรูปแบบ Virtual Hospital และ Telemedicine มากขึ้น 20 กว่าเท่า เกือบ30เท่า
นพ.ชัยรัตน์ เปิดเผยว่า ส่วนที่2 ตอนนี้คนส่วนใหญ่ต้องการมีสุขภาพดี เพราะฉะนั้นการมา รพ.ของเรา คือการทำ Early Detection (การตรวจแต่เนิ่นๆหรือรู้เท่าทันโรค)
เช่น คนนี้อ้วน เรามี สมิติเวช Engage Care (แอพพลิเคชั่นติดตามข้อมูลสุขภาพผู้ป่วยโรคเบาหวาน และความดันโลหิต แบบเรียลไทม์ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ 24 ชม.) สามารถมอนิเตอร์ความดัน น้ำหนัก น้ำตาล และตอนนี้ที่เรากำลังทำคือมอนิเตอร์ไขมัน ทำให้รู้เท่าทันโรค
“รวมทั้งขณะนี้เรามี สมิติเวช TrueEye ที่ส่องตาแล้วจะรู้เลยว่า คนนี้มีโอกาสเป็นโรคหัวใจหรือเบาหวานหรือไม่ เป็นโครงการ deep tech ที่ได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โปรเจ็กส์นี้กำลังจะได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ ความแม่นยำในปัจจุบันประมาณ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ความแม่นยำขึ้นอยู่กับคนไข้แต่ละกลุ่มด้วย อย่างไรก็ดีถือว่าเป็นความแม่นยำที่รับได้แล้ว
“รวมถึง Early predict คือรู้ล่วงหน้าโรค จะทำให้รู้ว่าอีก 3-5 ปีข้างหน้าจะเป็นโรคอะไร อีกส่วนหนึ่งก็คือ Early prevention คือการป้องกัน ที่นี่เรามี Vaccine Club ครบเครื่องเรื่องวัคซีน อายุเท่าไหร่ก็เข้ามา จะมีแพทย์ดูให้ว่าช่วงอายุ 20 ปี ควรฉีดอะไร อายุ 50 ปี ควรฉีดอะไรบ้าง
“3 Early คือเรื่องราวที่ตอบโจทย์ว่าไม่อยากให้ใครป่วย ผมขอเน้นย้ำว่าการไม่ป่วย จะเป็นการตอบโจทย์ให้ผู้บริโภคสุขภาพดีขึ้น และตรงกับสิ่งที่เขาต้องการ เรื่องนี้เราทำมา 2-3 ปีแล้ว เราพูดเสมอว่า เราตั้งโรงพยาบาลขึ้นมา เราไม่ต้องการที่จะให้คนไข้มาผ่าตัด หรือต้องมาอยู่ใน ICU สิ่งที่ดีที่สุดคือการผลักคนไข้ออกจากโรงพยาบาล
เพราะเวลาเจ็บป่วยอย่างน้อยก็ต้องมีญาติมีเพื่อนฝูงเป็นห่วง เพราะฉะนั้นถ้าเราทำ แคมเปญไม่อยากให้ใครป่วย ผลักให้คนออกจากโรงพยาบาล แล้วให้คนรู้จักทำ EarlyCare เขาก็ไม่ป่วย แล้วก็ผลักไปอีกให้เขา SelfCare ให้เขาดูแลตัวเอง เพิ่มการพึ่งพาตัวเอง ลดการพึ่งพาแพทย์”นพ.ชัยรัตน์ กล่าว และว่า
เรามีเทคโนโลยีเกี่ยวกับ SelfCare หลายๆอย่างที่ช่วยทำให้คนไข้ ไม่เป็นโรค จากหมอที่ทำหน้าที่รักษา เปลี่ยนเป็นโค้ช เหมือนโค้ชฟุตบอล ตรงนี้คือสิ่งที่เราต้องการทำ EarlyCare ,HomeCare, SelfCare ทุกคนสุขภาพดี ทำมาหากินได้ เศรษฐกิจดีขึ้น GDP ก็ดีขึ้น เพราะฉะนั้นวัตถุประสงค์การตั้งโรงพยาบาล ไม่ใช่การมารักษาคน แต่ต้องทำให้คนไม่ป่วย เราต้องการเป็นองค์กรที่มีคุณค่า
นอกจากนี้ นพ.ชัยรัตน์ สะท้อนด้วยว่า ลึกๆเจออีกตัวหนึ่งที่หนักหนาสาหัสเลย คือ ทุกคนกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายของการรักษา
“เราจะลดความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายของการรักษานี้ได้อย่างไร สิ่งต่างๆเหล่านี้เราต้องการทำให้กับคนไทยในนาทีนี้ ผมเชื่อว่าตอนนี้เราแค่ดูแลตัวเราเองไม่ได้ แต่เราต้องดูแลคนอื่น ดูแลคนป่วย ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ อีกหน่อยเราก็จะอยู่กับสังคมไม่ได้
เพราะฉะนั้นในทางกลับกันถ้าเราทำตรงนี้ได้ และช่วยเหลือคนอื่นได้ สร้างคุณค่าให้กับผู้คนในสังคมได้ โดยเฉพาะยามวิกฤต และทำให้เราอยู่ในใจเขาได้ ผมเชื่อว่าวิธีการนี้น่าจะเป็นบริบทใหม่ เป็นวิธีการคิดใหม่ที่ถูกต้องตามหลักคิด หลักปฏิบัติ และหลักธรรม”
นพ.ชัยรัตน์ เปรียบเทียบการลดค่าใช้จ่ายตามแคมเปญ #SavePrice ด้วยว่า เป็นการช่วยคนไทย ไม่ต้องเสียค่าเดินทาง ส่วนค่าแพทย์ในการปรึกษา กรณีปรึกษากับพยาบาลก็ไม่ต้องเสียเงิน ส่วนกรณีปรึกษากับแพทย์ก็เสียเงินน้อยลงเยอะ คนไข้ที่ไหนก็ได้ในประเทศไทย สามารถปรึกษาเข้ามา ซึ่งเราดูแลตรงนี้ให้ เทียบกันแล้วค่าใช้จ่ายจะลดลงมากอย่างมีนัยสำคัญ
“อย่าง Early Detection การป้องกันแต่เนิ่นๆ อย่างเรื่องการตรวจมะเร็ง ตรวจพบแต่เนิ่นๆ อย่างพบว่าอีก 3-5 ปีข้างหน้าจะเป็นมะเร็งแน่เลย เราก็ตัดออก คนไข้เสียเงินประมาณ 10,000 บาท เท่ากับว่าในอีก 3-5ปีข้างหน้าเขาไม่ได้เป็นมะเร็ง ซึ่งต้องเสียค่ารักษาเป็นล้าน
ถามว่าเราตั้งโรงพยาบาลขึ้นมาเพื่อให้คนไข้จ่ายเงินเป็นล้านหรือเราตั้งโรงพยาบาลขึ้นมาเพื่อให้คนไข้จ่ายเงิน 10,000 บาท จากการตรวจชุดแรก 600 กว่าคน เราเจอก้อนเนื้อเสี่ยงเป็นมะเร็งประมาณเกือบ 20% พอตัดออกทุกคนแฮปปี้หมดเลย แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ เราทำให้เขาแข็งแรง มีพลัง สร้าง GDP ให้ประเทศ และทำให้คนอย่าป่วย ไม่ดีกว่าหรือ เราไม่อยากให้ใครกังวล”นพ.ชัยรัตน์ เผย
นพ.ชัยรัตน์ ยังเผยถึงโปรแกรมที่ช่วย #SavePrice ได้มาก คือ Vaccine Club โปรแกรมดูแลวัคซีนแบบเหมาจ่าย ว่า เรียกอีกอย่างว่า Vaccine บุฟเฟ่ต์ เราเคยไปกินบุฟเฟ่ต์ จะทำให้ประหยัด แต่ถ้าเราคิดทีละตัวจะแพง เราเอามารวมว่าในช่วงเวลา 1 ปี ช่วงอายุเท่านั้นจะฉีด Vaccine อะไรบ้าง แล้วเราก็ทำเป็นบุฟเฟ่ต์ เพื่อให้ค่าใช้จ่ายลดน้อยลง แต่ได้คุณค่าตามอายุและความจำเป็นของเขา
ถามถึงเรื่องคุณภาพและมาตรฐานในการรักษาของโรงพยาบาลสมิติเวช นพ.ชัยรัตน์ บอกว่า สมิติเวช ได้รับ JCI หรือ Joint Commission International คือ มาตรฐานด้านการแพทย์ซึ่งได้รับการรับรองคุณภาพทั้งในประเทศไทยและมาตรฐานสากลจากสถาบันรับรองคุณภาพโรงพยาบาล แห่งสหรัฐอเมริกา เราเน้นการส่งเสริมพัฒนาคุณภาพและความปลอดภัยในสถานพยาบาลอยู่แล้ว แต่เรากระโดดไปอีกขั้น โดยเน้นเรื่อง outcome เป็นผลลัพธ์การรักษาที่เราเปรียบเทียบกับระดับโลก เรามีหลายๆตัวที่ดีกว่าโรงพยาบาลดังๆในสหรัฐอเมริกาอีก ตรงนี้คือเรื่องของคุณภาพ
ทั้งนี้ ในเชิง Marketing และ Innovation ในแคมเปญ #SaveLifeSavePrice พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล รองผู้อำนวยการ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท และผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กล่าวเสริมว่า ในเชิง Marketing และ Innovation ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับคนไข้ สมิติเวช ยกตัวอย่าง 1.การบริหารจัดการภายใน ทำยังไงที่เราจะช่วยให้ค่าใช้จ่ายไม่เพิ่มขึ้น คือ การบริหารเครื่องมือแพทย์ เรามีการทำ Equipment Pooling หรือการแชร์การใช้เครื่องมือแพทย์ เพื่อให้ค่าใช้จ่ายคนไข้ลดลง
2.การทำ Innovation เรียลไทม์ Dashboard คนไข้ที่นอนโรงพยาบาล จะสามารถทราบได้ว่าตอนนี้ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่แล้ว เรามีการประเมินค่าใช้จ่าย และดูว่าตอนนี้ค่าใช้จ่ายจริงใกล้จะถึงหรือเกินประเมินหรือยัง ตอนนี้ทางทีมผู้ให้บริการและทีมคนไข้ สามารถบริหารจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายได้ หรือถ้ามีวงเงินประกัน ก็สามารถดูได้ว่าเกินวงเงินประกันหรือยัง
และ3.Voucher ใช้เป็นคูปอง แทนเงินสด จะ Top up สูงสุด 25% ถ้าซื้อ Voucher 5,000บาท จะได้ 5,750 บาท ถ้าซื้อ 10,000 บาท จะได้รับ 12,000 บาท ถ้าซื้อ 30,000 บาท ก็จะได้รับ 37,500 บาท ตรงนี้จะทำให้การตัดสินใจ ในการตรวจต่างๆที่จำเป็นต้องตรวจตามช่วงอายุหรือ Early Detection ง่ายขึ้น ทั้งนี้แคมเปญ #SaveLifeSavePrice จะเริ่มวันที่ 15 มี.ค.64 ถึง วันที่ 30 มิ.ย.64
รายละเอียด แคมเปญ #SaveLifeSavePrice
Save Life
คนไม่อยากมาโรงพยาบาล กลัวการติดโรค มีเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ คือ
• Samitivej Virtual Hospital ปรึกษาแพทย์ทางออนไลน์ ร่วมกับ TytoCare ชุดอุปกรณ์สามารถตรวจปอด ส่องหู ช่องคอ ผิวหนัง วัดอุณหภูมิ และการเต้นของหัวใจ ตลอด 24 ชั่วโมง
• Engage Care แอพพลิเคชั่นติดตามข้อมูลสุขภาพผู้ป่วยโรคเบาหวาน และความดันโลหิต แบบเรียลไทม์ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ตลอด 24 ชั่วโมง
• Samitivej Pace ระบบติดตามสถานะการผ่าตัดแบบเรียลไทม์ ญาติสามารถรู้ถึงสถานะคนไข้ได้
• Samitivej Prompt ระบบติดตามสถานะการดูแลผู้ป่วยในวอร์ด
คนไม่อยากป่วย สมิติเวชเน้น Early Detection Technology คือ
• TrueEye® เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ที่ใช้ภาพจอประสาทตา ทำนายความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและเบาหวาน ซึ่งเป็นโครงการ deep tech ที่ได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อ อุตสาหกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
• Total Health Solution เน้นการตรวจเพื่อป้องกัน การเกิดโรคแต่ละช่วงวัย
• Gene Testing การตรวจลึกระดับยีน รู้เท่าทันโรคในอนาคต
• Vaccine Club โปรแกรมดูแลวัคซีนแบบเหมาจ่ายสำหรับทุกช่วงวัย
Save Price
นำนวัตกรรมมาอำนวยความสะดวกและสร้างความคุ้มค่าให้กับผู้รับบริการ คือ
• Payment Dashboard ระบบติดตามและบริหารค่าใช้จ่ายให้อยู่ในวงเงินประกัน
• Smart Equipment Pooling System บริหารจัดการเครื่องมือทางการแพทย์ เพื่อช่วยให้คนไข้ประหยัดค่าใช้จ่าย
• Voucher คูปองแทนเงินสด Top up สูงสุดถึง 25% สำหรับใช้บริการในโรงพยาบาล
จ่าย 5,000 บาท ได้รับสิทธิ์ 5,750 บาท
จ่าย 10,000 บาท ได้รับสิทธิ์ 12,000 บาท
จ่าย 30,000 บาท ได้รับสิทธิ์ 37,500 บาท
โรงพยาบาลในเครือสมิติเวช: โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช โรงพยาบาลญี่ปุ่นสมิติเวช โรงพยาบาลสมิติเวช ธนบุรี โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา และโรงพยาบาลสมิติเวช ชลบุรี
วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2564 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-022-2222
