เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ตามที่ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้ากราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ในเวลา 24.00 น. ของวันที่ 5 ต.ค. เป็นวันสุดท้าย นับเป็นจำนวน 337 วัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนมีพสกนิกรสวมชุดดำสุภาพ ต่างพร้อมใจเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศอย่างไม่ขาดสายในทุกช่วงของเวลา ท่ามกลางสภาพอากาศอบอ้าว บางช่วงท้องฟ้ามืดครึ้มสลับสายฝนโปรยปรายตลอดทั้งวัน โดยประชาชนได้เตรียมร่มและเสื้อกันฝน ด้วยความตั้งใจที่จะรอเพื่อให้ได้เข้ากราบในวันสุดท้ายในวันนี้ พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่จิตอาสานำพัดมาแจกจ่ายเพื่อให้ประชาชนพัดคลายร้อนระหว่างรอเข้ากราบพระบรมศพด้วย

ทั้งนี้ เจ้าหน้าเปิดจุดคัดกรองเพียง 2 จุด ได้แก่ จุดคัดกรองโรงแรมรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีประชาชนเข้าแถวยาวไปตลอดเส้นถนนราชดำเนินใน ล้นไปถนนราชดำเนินกลาง บางช่วงไปถึงอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ขณะที่จุดคัดกรองด้านวงเวียนหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน มีแถวประชาชนต่อคิวยาวตลอดเส้นถนนสนามไชย ล้นออกไปถนนเจริญกรุงวนออกไปยังคลองคูเมือง ทั้งนี้ ตลอดเส้นทางรอคอยมีจิตอาสาคอยให้บริการน้ำดื่มและเก็บขยะ แจกจ่ายอาหารให้แก่ประชาชน พร้อมรถสุขาเคลื่อนที่คอยให้บริการ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ตลอดช่วงเวลาเจ้าหน้าที่ได้จัดแถวให้ประชาชนเข้ากราบสักการะพระบรมศพ ผ่านทางประตูวิเศษไชยศรี ถ.หน้าพระลาน ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของพระบรมมหาราชวัง และเข้าไปยังประตูพิมานไชยศรี ซึ่งเป็นประตูชั้นใน ก่อนเลี้ยวขวาผ่านพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ขณะที่สำนักพระราชวังปิดการเข้าชมพระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดารามสำหรับนักท่องเที่ยวและประชาชน ก่อนจะเปิดอีกครั้งในวันที่ 30 ต.ค.นี้

วันเดียวกันนี้ สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชน ที่เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 4 ต.ค. ตั้งแต่เวลา 00.01 น. จนถึงเวลา 24.00น. ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 96,150 คน รวม 336 วัน มี 12,628,642 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 6,437,999.25 บาท รวม 336 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 882,528,282.01 บาท

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง ได้อำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่ยังเข้าแถวรอกราบสักการะพระบรมศพในมณฑลพิธีสนามหลวงเป็นจำนวนมากสามารถทยอยเข้ากราบสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง จนหมดชุดสุดท้ายของวันที่ 4 ต.ค. ในเวลา 03.40 น. ของวันที่ 5 ต.ค.

นางอาภรณ์ พหุพันธ์ อายุ 55 ปี ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนวัดบ่อบุญ อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี ที่เดินทางมาพร้อมเพื่อนครูรวม 7 คน กล่าวว่า เมื่อทราบว่าสำนักพระราชวังขยายเวลาเข้ากราบพระบรมศพอีก 5 วันและวันนี้เป็นวันสุดท้ายจึงรีบชักชวนเพื่อนๆ ที่โรงเรียนปิดเทอมพอดีออกเดินทางจากที่พักเวลา 18.00 น.ของวันที่ 4 ต.ค. ท่ามกลางฝนตกหนักมาถึงท้องสนามหลวงเวลา 21.00 น. ก่อนจะไปเข้าคิวรอโดยท้ายแถวอยู่ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร และเข้ากราบพระบรมศพเมื่อเวลา 08.00 น. ของวันรุ่งขึ้น แม้จะรอนานถึง 11 ชั่วโมง แต่อาการปวดเมื่อยและเปียกปอนจากฝนตกลงมาเป็นระยะได้หายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อได้นั่งน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและหมอบกราบอยู่เบื้องหน้าพระบรมโกศ

“เป็นครั้งแรกที่ได้มากราบพระองค์ท่าน จะให้รอนานแค่ไหนก็ทนได้ ดีใจที่ได้เห็นผู้คนหัวใจเดียวกันมากันมากมาย ได้ทักทาย ได้ช่วยเหลือกันเล็กๆ น้อยๆ รู้สึกอิ่มใจ วันนี้เตรียมตัวมาอย่างดี ทั้งร่ม เสื้อกันฝน รองเท้ายาง เพื่อให้ไม่เป็นอุปสรรคในการรอ ถือว่าท้าทายความอดทนมาก แต่คงเทียบไม่ได้กับสิ่งที่พระองค์ท่านทำเพื่อประชาชนมาตลอดพระชนม์ชีพ เราอยู่เพชรบุรีถือว่าใกล้พระองค์พอสมควร เพราะมีโครงการพระราชดำริหลายแห่ง อย่างโครงการชั่งหัวมัน ก็มีโอกาสพานักเรียนไปทัศนศึกษาอยู่บ่อยๆ ในฐานะครูก็พยายามถ่ายทอดพระราชการณียกิจให้คนรุ่นหลังฟังให้มากที่สุด เพราะนั่นเป็นสิ่งที่พวกเขาจะรับรู้ได้ เพราะเกิดไม่ทันช่วงที่พระองค์เสด็จฯ ไปทรงงานทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ที่โรงเรียนยังปลูกฝังให้เด็กๆ รู้รักสามัคคี รวมถึงการใช้ชีวิตอย่างพอประมาณ โดยยกตัวอย่างพระราชจริยวัตรของในหลวง ร.9 อย่างการใช้ยาสีฟันให้หมดหลอด การรีไซเคิลขยะใช้แล้ว การใช้ดินสออย่างคุ้มค่า จะเห็นตลอดเวลาพระองค์เสด็จฯไปที่ใด พระหัตถ์ข้างหนึ่งถือดินสอ อีกข้างถือแผนที่ เป็นภาพประทับใจไม่รู้ลืม ที่สำคัญภาพพระเสโทที่ไหลลงปลายพระนาสิกของพระองค์บ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยแต่ไม่ทรงบ่น เวลาทำอะไรเหนื่อยๆ นึกถึงภาพนี้แล้วทำให้หายเหนื่อยได้ รักและเทิดทูนพระองค์ที่สุดในโลก” นางอาภรณ์ กล่าว

นางกุหลาบ พลายศรี

นางกุหลาบ พลายศรี อายุ 81 ปี ชาวนา อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี กล่าวด้วยใบหน้าปลื้มปีติว่า ตัวเองสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เพราะเจ็บป่วยตามประสาผู้สูงอายุ ทั้งปวดขาและปวดบั้นเอว ทำให้ยืนหรือเดินนานๆ ไม่ได้ แต่คิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราคนไทยจะได้กราบในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงคิดว่ายังไงต้องมาให้ได้สักครั้ง จึงเดินทางมากับลูกชายโดยออกจากบ้านตั้งแต่ตีสี่และนั่งรถโดยสารประจำทางมาด้วยกัน พร้อมกับพกยาดมยาหม่องมาเผื่อและได้เข้ากราบเวลา 11.30 น.

“วันนี้อากาศร้อน แต่พอได้ภายในพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้กราบเบื้องหน้าพระบรมโกศแล้วรู้สึกเย็นสบาย แม้วันที่พระองค์เสด็จสวรรคตจะใจหายอย่างบอกไม่ถูก ส่วนตัวไม่ได้ตั้งจิตอธิษฐานอะไรเพราะคิดว่าพระองค์ต้องเสด็จสู่สรวงสวรรค์อยู่แล้ว ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นในหลวงรัชกาลที่ 9 ตัวจริงสักครั้ง ได้แต่ดูพระองค์ท่านผ่านจอโทรทัศน์เห็นพระองค์ทรงงานมากมาย เพื่อความอยู่ดีกินดีของคนไทย เห็นได้ว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่รักและทำเพื่อคนไทยจริงๆ” นางกุหลาบ กล่าวด้วยความตื้นตัน

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า บริเวณกำแพงวังฝั่งถนนมหาราช ซึ่งตรงกับด้านข้างของพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท มีประชาชนนำช่อดอกไม้และพวงมาลัย พร้อมจัดดอกดาวเรืองเป็นเลขเก้าไทยมาวางบนสนามหญ้า พร้อมก้มกราบเพื่อแสดงความอาลัยเป็นครั้งสุดท้ายในวันนี้

ขณะที่มีรายงานข่าวจากกรมประชาสัมพันธ์ แจ้งว่าวันซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม จะปิดถนนชั้นใน 18 เส้นทาง ดังนี้ ถนนราชดำเนิน, ถนนสนามไชย, ถนนหลักเมือง, ถนนกัลยาณไมตรี, ถนนเจริญกรุง, ถนนพระพิพิธ, ถนนท้ายวัง, ถนนมหาราช(ข้างพระบรมมหาราชวัง), ถนนมหาราช(ข้างวัดพระมหาธาตุ), ถนนพระจันทร์, ถนนเศรษฐการ, ถนนเชตุพน, ถนนพระยาเพชร, ถนนหน้าพระลาน, ถนนหน้าพระธาตุ, ถนนราชินี, ถนนพระอาทิตย์ และซอยสราญรมย์ ตั้งแต่เวลา 22.00 น. ของวันที่ 6 ต.ค. เป็นต้นไปจนเสร็จสิ้นกว่าซ้อม

ทั้งนี้ สำหรับประชาชนที่จะเข้าชมการซ้อมริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ กรุณาแต่งกายชุดสุภาพสีดำ และนำบัตรประชาชน มาแสดงที่จุดคัดกรอง เพื่อเข้าพื้นที่ท้องสนามหลวง

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน