นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟ ได้ใช้งานซอฟต์แวร์บริหารจัดการองค์กรของเอสเอพีอยู่แล้วและล่าสุดยังได้ ใช้โซลูชั่น RISE with SAP,SAP Sustainability Footprint Management,SAP Sustainability Control Tower และ SAP Environment Management เพื่อบริหารจัดการข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบด้านความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต และโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก สามารถบันทึกและทำให้ผู้บริหารได้รับรายงานข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้น โดยอัตโนมัติแบบเรียลไทม์ ช่วยให้สามารถตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็น ครัวของโลกที่ยั่งยืน
ประกอบกับซีพีเอฟ เป็นเป็นบริษัทผลิตอาหารแห่งแรกของโลก ที่ได้รับการอนุมัติแต่งตั้งเป้าหมายระยะสั้น ระยะยาวตามมาตรฐาน Forest, Land and Agriculture ซึ่งเป็นมาตรฐานเฉพาะสำหรับสำหรับภาคเกษตรและอาหาร ทั้งนี้ การประยุกต์ใช้ การประยุกต์ใช้โซลูชันด้านความยั่งยืนของ เอสเอพี เพื่อบันทึก รายงาน และดำเนินการกับข้อมูลด้านความยังยืนแบบเรียลไทม์ จะสามารถช่วยในการขับเคลื่อนการบัญชีคาร์บอน ทั้งในระดับองค์กรและผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้ ซีพีเอฟ มุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขต 1 และ 2 ลง 42% และขอบเขตที่ 3 ลง 30.3% ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2573 และภายในปี พ.ศ. 2593 บริษัทมุ่งมันที่จะลดการปล่อยก๊าซขอบเขต 1 และ 2 ลง 90% และขอบเขต 3 ลง 72%
นายพอล แมริออท ประธานกรรมการ เอสเอพี ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น กล่าวว่า เอสเอพีในฐานะผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ด้านการบริหารจัดการระดับองค์กร ทั้งด้านการเงิน การผลิต การจัดจำหน่าย รวมถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยช่วยองค์กรมุ่งไปสู่ความยั่งยืน อย่างไรก็ดี ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศทำให้เกิดผลกระทบด้านเศรษฐกิจของประเทศ (จีดีพี) สูงถึง 43% ในส่วนของความร่วมมือกับซีพีเอฟ โเยเอสเอพีจะนำโซลูชั่นด้านความยั่งยืนมาทำให้ซีพีเอฟบรรลุเป้าหมายการเป็นครัวของโลกที่ยั่งยืนได้