สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ มีพระราชโองการแต่งตั้งองคมนตรีในรัชกาลปัจจุบันรวม 10 คน เป็นองคมนตรีจากชุดเดิม 7 คน แต่งตั้งใหม่ 3 คน ได้แก่ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ-พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา-พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ด้านทำเนียบรัฐบาลอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ประดิษฐานหน้าตึกไทยคู่ฟ้า พร้อมข้อความถวายพระพรชัยทรงพระเจริญ ด้านมูลนิธิร.พ.สมเด็จพระยุพราช เฟ้นหาทารกในโรงพยาบาลที่ทรงราชูปถัมภ์ที่เกิดช่วง 9 ชั่วโมงสุดท้ายในรัชกาลที่ 9 กับ 10 ชั่วโมงแรกในรัชกาลใหม่ ชาวกระบี่ปีติเตรียมรับเสด็จในหลวงทรงประกอบพระราชกรณียกิจเปิดศาลากลางจังหวัดหลังใหม่ในวันที่ 9 ธ.ค.นี้

ในหลวงเสด็จฯทักษิณานุปทาน

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 6 ธ.ค. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณ วรีนารีรัตน์ โดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต เพื่อทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เป็นวันที่ 2 เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2559 โดยรถยนต์พระที่นั่งเข้าทางประตูศักดิ์ไชยสิทธิ์ ซึ่งอยู่ด้านทิศตะวันตก ของพระบรมมหาราชวัง ไปยังพระที่นั่งไพศาลทักษิณ

ในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมพระบรมวงศานุวงศ์ คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะตุลาการ คณะสมาชิกสภานิติบัญญัติ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และคณะทูตานุทูต เฝ้าฯ รับเสด็จ

จากนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระสยามเทวาธิราช แล้วเสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทางพระทวารเทวราชมเหศวร ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ประดิษฐานในพระที่นั่งบุษบกมาลา แล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยและเครื่องราชสักการะ ทรงถวายบังคมพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งประดิษฐานเหนือพระราชบัลลังก์ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร พระสงฆ์ 30 รูปถวายพรพระ จบ ทรงประเคนภัตตาหาร พระสงฆ์รับพระราชทานฉันเสร็จแล้ว เจ้าพนักงานนิมนต์พระพรหมมุนี วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ที่จะถวายพระธรรมเทศนาขึ้นนั่งบนธรรมาสน์ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม พระพรหมมุนี ถวายศีล และถวายพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 จบ ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมบูชากัณฑ์เทศน์และทรงทอดผ้าไตรพระสงฆ์ทั้งนั้นสดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา เสด็จพระราชดำเนินกลับ

‘พระเทพฯ’เสด็จพิธีพระบรมศพ

สำหรับพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชนั้น เวลา 07.05 น. สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพซึ่งดำเนินเป็นวันที่ 54 ทรงวางพวงมาลา ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าพระบรมศพ ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร ที่หน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร จากนั้นทรงถวายภัตตาหารเช้าแด่พระพิธีธรรม 8 รูป จากวัดราชสิทธาราม และวัดอนงคาราม ที่สวดพระอภิธรรมมาตั้งแต่ค่ำวันที่ 5 ธ.ค. โดยมี ม.จ.จุลเจิม ยุคล ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ จันทรทัต และม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ร่วมในพระราชพิธี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นวันที่ 37 ที่พระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ได้ตั้งแต่เวลา 08.00-21.00 น. (ยกเว้นช่วงมีพระราชพิธีบนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท) โดยมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศสวมชุดไว้ทุกข์สุภาพเรียบร้อยเดินทางมาต่อคิวเพื่อเข้าสักการะพระบรมศพตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งเจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีอย่าง เป็นระเบียบในเวลา 04.45 น. จากนั้นเวลา 08.00 น. ได้เปลี่ยนให้เข้าทางประตูวิมานเทเวศร์ ต่อด้วยประตูสุวรรณบริบาล เพื่อเข้าสู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

วันเดียวกันนี้ สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. หลังสำนักพระราชวัง ปิดไม่ไห้ประชาชนเข้าพระบรมมหาราชวัง เพื่อขึ้นกราบสักการะพระบรมศพ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในเวลา 21.10 น. ว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 42,884 คน รวม 36 วัน มี 1,280,359 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงินยอดเงิน 3,606,306.25 บาท รวม 36 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 98,502,601 บาท

เมนูอาหารพระราชทาน 4 มื้อ

ขณะที่เต็นท์อาหารพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ซึ่งตั้งอยู่บริเวณท้องสนามหลวงฝั่งทิศเหนือ เยื้องกับพิพิธภัณฑ สถานแห่งชาติ โดยรวมอยู่ภายในศูนย์อาหารบริการประชาชน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ฯ นำอาหาร ขนม ของว่าง และน้ำดื่มพระราชทานมาแจกจ่าย ให้ประชาชน ประกอบด้วย มื้อเช้าเวลา 07.00 น.ข้าวต้มหมู 1,500 ถ้วย, ต้มเลือดหมู 1,500 ถ้วย, กาแฟสด 2,500 แก้ว, นมหนองโพ 2,000 กล่อง

มื้อกลางวันเวลา 11.00 น. ข้าวกะเพราเป็ดและไข่พระอาทิตย์ 1,000 จาน, กระเพาะปลาน้ำแดง 1,000 จาน, ข้าวเหนียวไก่ทอด 1,000 จาน, ผัดไทยทรงเครื่อง 1,000 จาน, ก๋วยเตี๋ยวไก่ 700 ชาม มื้อบ่ายเวลา 16.00 น. ขนมไทย 1,000 กล่อง, ข้าวเหนียวหมูและข้าวเหนียวไก่ 1,000 ชุด, เฉาก๊วยชากังราว 1,000 ถุง, ขนมเบื้อง และกาแฟสด มื้อเย็นเวลา 18.00 น.ข้าวผัดกะหล่ำปลีหมูสับกุนเชียง 3,000 จาน ขณะเดียวกันมีน้ำดื่มสมุนไพร 700 ลิตร และน้ำดื่มจิตรลดาให้บริการประชาชนตลอดทั้งวัน

ร.ร.จุฬาภรณ์สตูลถวายสักการะ

นางนิติมา มณีวิทย์ อายุ 51 ปี รองผู้อำนวยการโรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย สตูล นำคณะผู้บริหาร ครู และบุคลาการ จำนวน 39 คน เดินทางมาด้วยรถบัสโดยสารระยะทางร่วม 1 พันกิโลเมตร เข้ากราบสักการะพระบรมศพ โดยเปิดเผยด้วยเสียงสะอื้นว่า โรงเรียนของเราเป็นโรงเรียน 1 ใน 12 โรงเรียนตามโครงการพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ที่ทรงต้องการสร้างนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และนวัตกรรมต่างๆ เพื่อให้ประเทศ ไทยได้พัฒนาคนรุ่นใหม่ในด้านวิทยาศาสตร์อย่างก้าวทัน

นางนิติมากล่าวถึงการเดินทางในครั้งนี้ว่า พวกเราสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง ร.9 ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย เมื่อได้เข้ากราบพระบรมศพ เป็นความรู้สึกที่พูดไม่ออก ตนในฐานะข้าราชการ มีความประทับใจในหลวง ร.9 ในด้านที่ทรงเป็นแบบอย่างให้กับข้าราชการในการทรงงานเพื่อประชาชน ในการด้านศึกษาทรงใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา ส่วนตัวได้ยึดแนวทางการเป็นข้าราชการดี ไม่มีอาชีพเสริม ไม่ทำธุรกิจใดๆ

พสกนิกรยังต่อแถวเข้าสักการะ

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ท้องสนามหลวง ยังมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศ เดินทางมาเข้าแถวต่อคิว เพื่อกราบสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่หน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวัง อย่างต่อเนื่อง โดยท้ายแถวอยู่ที่บริเวณเต็นท์จุดพักคอยด้านทิศเหนือของสนามหลวง ซึ่งผู้ที่เข้ามา กราบพระบรมศพในวันนี้ใช้เวลารอคอยไม่นาน เนื่องจากเป็นวันแรกของการทำงานหลังจากที่หยุดยาว 3 วัน โดยประชาชนได้ทยอยกันเดินจากจุดพักคอยเข้าสู่เต็นท์ที่บริเวณถนนหน้าพระธาตุ ก่อนเข้าไปจุดพักคอยหน้ากรมศิลปากร ที่หน้าประตูวิเศษไชยศรี ซึ่งเจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ทหาร และนักศึกษาวิชาทหาร (รด.)คอยจัดคิวเข้าแถวตอนเรียงสี่อย่างเป็นระเบียบ

ในส่วนการรักษาความปลอดภัย ที่บริเวณประตูทางเข้าสนามหลวงและพระบรมมหาราชวังทั้ง 8 จุด เจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สน.ต่างๆ คอยเข้มงวดกวดขันตรวจบัตรประชาชน เข้าเครื่องสแกนโลหะ รวมทั้งสัมภาระ และตรวจค้นร่างกายอย่างละเอียด หากตรวจพบวัตถุหรือสิ่งของมีคมก็จะถูกยึดไว้ ก่อนปล่อยให้เข้ามาภายในได้ ขณะที่ต้นมะขามบริเวณถนนราชดำเนินใน หน้าศาลฎีกา เจ้าหน้าที่ กทม.นำต้นกล้วยไม้ตระกูลหวายดอกสีขาว มาปรับแต่งภูมิทัศน์ตลอดเส้นทางไปจนถึงพระบรมมหาราชวัง สร้างความสดชื่นสวยงามให้กับประชาชนที่มารอเฝ้าฯรับเสด็จ ต่างพากันเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกด้วย

นุ้ย-สุจิราพาพ่อแม่ถวายบังคม

ด้าน นุ้ย-สุจิรา อรุณพิพัฒน์ อดีตนางสาวไทยปี 2544 และพิธีกรชื่อดัง หนึ่งในพสกนิกรที่เดินทางมากราบสักการะพระบรมศพร่วมกับพ่อแม่ กล่าวว่า เดิมทีมาช่วยเป็นจิตอาสาที่สนามหลวงอยู่หลายครั้ง ยังไม่มีโอกาสได้มากราบพระบรมศพเพราะอยากให้คนอื่นที่อยู่ไกลได้เข้าไปกราบก่อน และเมื่อช่วงเช้ามาช่วยแจกอาหารให้ทีมแพทย์อาสาที่เต็นท์แพทยสภา พบว่าแถวคนรอคิวเบาบางลงถือเป็นโอกาสดีเลยชวนคุณพ่อคุณแม่เข้าไปกราบพระบรมศพ

อดีตนางสาวไทย กล่าวว่าตนโชคดีที่เกิดมาได้เห็นพระองค์ประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ เพื่อปวงชนชาวไทย ได้เห็นพระจริยวัตรอันงดงามรับฟังแนวคำสอนต่างๆ แล้วซึมเข้าไปอยู่ในตัวเรา ตลอดชีวิตแม้ยังไม่มีโอกาสได้ถวายงานรับใช้ แต่เคยมารอรับเสด็จตอนที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมายังทุ่งมะขามหย่อง ซึ่งวันนั้นตนรู้สึกดีใจเป็นที่สุดเพราะให้ได้เห็นพระองค์ใกล้มาก เป็นภาพที่ประทับใจไว้ไม่รู้ลืมสำหรับตนยึดคำสอนการปิดทองหลังพระมาตั้งแต่เด็ก มีหลายสิ่งมากมายที่พระองค์ท่านทำเพื่อคนไทย แต่พวกเราเองก็ยังไม่รู้ เพราะท่านไม่ได้บอกใคร แม้มีบางคนนินทาหรือไม่เข้าใจ ท่านก็ไม่ตอบโต้ แต่ยังทรงงานอยู่ต่อไปตลอดพระชนม์ชีพ

อัญเชิญบรมฉายาลักษณ์ร.10

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า วันเดียวกันนี้ ทำเนียบรัฐบาลได้อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ประดิษฐานด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า โดยประดับครุฑพ่าห์อยู่เบื้องล่างพระบรมฉายาลักษณ์ เหนืออักษรข้อความทรงพระเจริญ พร้อมวางพานพุ่มเงินพานพุ่มทองเพื่อถวายราชสักการะ นอกจากนี้ ที่รั้วด้านหน้าทำเนียบ และด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้ามีการประดับประดา ตกแต่งด้วยดอกดาวเรืองสีเหลือง ที่เป็นสีประจำวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณฯ

ทั้งนี้ การประดับประดาด้วยดอกดาวเรืองนั้นมีความสวยงาม ทำให้ข้าราชการหน่วยงานภายในทำเนียบ ต่างพากันมาถ่ายภาพเพื่อเก็บความสวยงามนี้ไว้

ขณะเดียวกัน ทำเนียบรัฐบาลได้อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ประดิษฐานที่หน้าตึกสันติไมตรี ด้านหน้าทำเนียบรัฐบาล ถนนพิษณุโลก

ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) มีร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสปท. เป็นประธานและแจ้งต่อที่ประชุมเพื่อรับทราบพระราชโองการประกาศเฉลิมพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และรับทราบประกาศสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เรื่องอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์

ทั้งนี้ ประธาน สปท. ได้ขอให้สมาชิก สปท. ยืนขึ้นน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมกล่าวถวายพระพรชัยมงคลแด่พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ พร้อมกล่าวคำถวายพระพร “ขอพระองค์ทรงพระเจริญ” รวม 3 ครั้ง ก่อนเข้าสู่วาระการประชุมตามปกติ

มูลนิธิรพร.เทิดพระเกียรติ

วันเดียวกัน นพ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ เลขาธิการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช (รพร.) กล่าวว่า โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช นับเป็นโรงพยาบาลในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในพ.ศ.2519 รัฐบาลสร้างโรงพยาบาล 21 แห่ง น้อมเกล้าฯถวาย และทรงมีพระมหากรุณา รับเป็นองค์นายกกิตติมศักดิ์ ของมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช โดยเสด็จฯยังโรงพยาบาลแต่ละแห่งอย่างน้อย 3 ครั้ง คือ วางศิลาฤกษ์ เปิดโรงพยาบาลและเยี่ยมโรงพยาบาล ซึ่งแต่ละแห่งได้รับพระมหากรุณาเป็นอย่างมาก มูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

นพ.จักรธรรมกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ จะทำหนังสือโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ซึ่งที่ผ่านมาทำหนังสือออกเป็น 3 ทศวรรษโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช โดยล่าสุดจะทำเป็นทศวรรษที่ 4 โดยจะจัดทำเป็นโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 4 ทศวรรษ 2 แผ่นดิน โดยจะมีภาพพระราชกรณียกิจ ซึ่งมีภาพหนึ่งที่ตนจำไม่เคยลืมเลย คือ ผู้อำนวยการร.พ.สมเด็จพระยุพราชฉวาง จ.นครศรีธรรมราช มาประชุมร่วมกับผู้อำนวยการร.พ.สมเด็จพระยุพราชอื่นๆ พอเสร็จการประชุมก็แยกย้ายกันเดินทางกลับ แต่ปรากฏว่าประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ซึ่งยังมีลูกเล็กๆ ต้องเลี้ยงดู เมื่อพระองค์ทรงทราบเรื่องก็มีพระมหากรุณาธิคุณทรงรับไว้ในพระราชานุเคราะห์

สำรวจทารกรอยต่อ2แผ่นดิน

นพ.จักรธรรมกล่าวว่า ขณะนี้ได้หารืออย่างไม่เป็นทางการว่าจะรวบรวมรายชื่อเด็ก ที่เกิดใน 9 ชั่วโมงสุดท้ายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 และเด็กที่เกิดใน 10 ชั่วโมงแรกของรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิรา ลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ในหลวงรัชกาลที่ 10 แล้วประกาศให้เขารู้ว่าเป็นผู้ที่เกิดในช่วงรอยต่อ 2 แผ่นดิน จากนั้นจะดูแลสุขภาพ และพัฒนาการของเด็กเหล่านี้ในช่วงก่อนวัยเรียนจนถึงเข้าเรียนซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญมาก แต่บางครอบครัวอาจจะยังไม่มีความพร้อมมากนัก ทำให้เด็กหลุดการดูแลช่วงสำคัญของชีวิต ในกรณีที่ยากจนอาจจะมีระบบอุปถัมภ์เป็นพ่อ แม่ บุญธรรม เป็นต้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเขียนโครงการก่อนเสนอ ศ.ธานินทร์ กรัยวิเชียร ในฐานะประธานมูลนิธิพิจารณา อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นจะเป็นการรวบรวมเด็กที่เกิดในโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช 21 แห่งเท่านั้น เพราะเป็นโรงพยาบาลในการดูแลของทางมูลนิธิ แต่หากกระทรวงจะรวบรวมข้อมูลเด็กที่เกิดในช่วงเวลาดังกล่าวในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

รอเฝ้าฯรับเสด็จตลอดเส้นทาง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดเส้นทางที่พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จพระราชดำเนินผ่าน มีพสกนิกรเดินทางมาจับจองพื้นที่เพื่อเฝ้าฯ รับเสด็จ โดยนำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และพระบรมวงศานุวงศ์มาไว้แนบอกด้วย

ต่อมาเวลา 11.00 น. ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล เป็นประธานในการบำเพ็ญพระราชกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ และถวายภัตตาหารเพลแด่พระพิธีธรรมจากวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร และวัดสุทัศนเทพวราราม

น.ส.สายศรี วงศ์จรรยากุล อายุ 70 ปี ประชาสัมพันธ์ห้องสมุดแห่งหนึ่ง จากเมืองแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เดินทางมาพร้อมสามี นายโรเบิร์ต แมคคอร์มิก เจ้าหน้าที่ดูแลเด็กพิเศษ ตั้งใจเดินทางจากประเทศสหรัฐ อเมริกามาถวายสักการะพระบรมศพ โดยก่อนหน้านี้มีโอกาสเฝ้าฯ รับเสด็จขบวนเชิญพระบรมศพ เมื่อวันที่ 14 ต.ค.รวมทั้งมาลงนามถวายสักการะและร่วมบันทึกประวัติ ศาสตร์ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีที่ท้องสนามหลวงด้วย

เวลา 16.30 น. พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จพร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ คุณพลอยไพลิน เจนเซน และคุณสิริกิติยา เจนเซน พระธิดาในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ไปยังพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทรงบำเพ็ญพระกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ โดยมีพระพิธีธรรมจากวัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร และวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร รวม 8 รูป สวดพระอภิธรรม

เวลา 19.00 น. ท่านผู้หญิงบุตรี วีระ ไวทยะ เป็นประธานบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง โดยมีพระพิธีธรรมจากวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร และวัดบวรนิเวศวิหาร รวม 8 รูป สวดพระอภิธรรม

ฮือแลกเหรียญ 50 ปีบีโอไอ

ที่กรมธนารักษ์ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการแลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 50 ปี สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่ด้านหน้าเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีประชาชนให้ความสนใจจำนวนมาก โดยเดินทางมาต่อแถวเข้าคิวกันตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกชุดนี้มีจำนวนเพียง 4 แสนเหรียญเท่านั้น

ทั้งนี้ กรมธนารักษ์ได้จัดทำเป็นเหรียญกษาปณ์โลหะสีขาว (ทองแดงผสมนิกเกิล) ชนิดราคา 20 บาท ประเภทธรรมดา โดยผู้ที่ประสงค์จะขอแลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกขอแลกได้ตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค.เป็นต้นไป และการเปิดให้แลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกครั้งนี้ กรมธนารักษ์กำหนดให้ประชาชนต้องนำบัตรประชาชนมาแสดงรับสิทธิ์ 1 รายต่อการแลกเหรียญ 5 เหรียญเท่านั้น

ปีหน้าเหรียญที่ระลึกเออีซี

นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์ได้จัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 50 ปี บีโอไอ เพื่อเป็นที่ระลึกและเผยแพร่ภารกิจในการส่งเสริมการลงทุนทั้งในประเทศและการลงทุนของไทยในต่างประเทศ ให้ประชาชนได้ทราบทั่วกัน โดยประชาชนที่สนใจสามารถแลกได้ที่ ส่วนกลาง คือ หน่วยรับและจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ กรมธนารักษ์ ถนนจักรพงษ์, หน่วยจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ ถนนพระรามที่ 6 และหน่วยรับและจ่ายแลกเหรียญกษาปณ์ สำนักบริหารเงินตรา จ.ปทุมธานี ส่วนภูมิภาค ได้ที่ สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ 76 พื้นที่ ทุกจังหวัดทั่วประเทศ

อธิบดีกรมธนารักษ์กล่าวว่าหลังจากนี้จะมีเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) อีกจำนวน 5 แสนเหรียญ คาดว่าจะสามารถเปิดให้ประชาชนแลกได้ในช่วงเดือน ม.ค 2560 จากนั้นเดือนกุมภาพันธ์ 2560 เปิดให้แลกเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก 100 ปี สหกรณ์ไทย 5 แสนเหรียญ เป็นการจัดทำเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกในหลวงรัชกาลที่ 9 ชุดสุดท้าย เพราะหลังจากนั้นจะเป็นการจัดทำเหรียญที่ระลึกถวายพระเพลิงพระบรมศพปลายปีหน้า ส่วนเหรียญที่ระลึกที่เปิดให้แลกก่อนหน้านี้หมดแล้วแทบทุกชนิด เหลือเพียงบางส่วนที่นำไปร่วมออกงานของกระทรวงการคลังตลาดคลองผดุงกรุงเกษม ข้างทำเนียบรัฐบาล ที่จัดขึ้นวันที่ 1-23 ธ.ค.2559

โปรดเกล้าฯตั้ง10องคมนตรี

วันเดียวกัน เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่พระราชโองการ ประกาศแต่งตั้งองคมนตรี ความว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯให้ประกาศว่า โดยที่คณะองคมนตรีได้กราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งองคมนตรีและทรงพระราชดำริเห็นเป็นการสมควรแต่งตั้งองคมนตรี อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ประกอบกับมาตรา 12 มาตรา 13 และมาตรา 16 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ดังต่อไปนี้

1.พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็น องคมนตรี 2.นายเกษม วัฒนชัย เป็น องคมนตรี 3.นายพลากร สุวรรณรัฐ เป็น องคมนตรี 4.นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ เป็น องคมนตรี 5.นายศุภชัย ภู่งาม เป็น องคมนตรี

6.นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ เป็น องคมนตรี 7.พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข เป็น องคมนตรี 8.พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เป็น องคมนตรี 9.พล.อ.ธีรชัย นาควานิช เป็น องคมนตรี 10.พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา เป็น องคมนตรี

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 6 ธ.ค.2559 เป็นปีที่ 1 ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้รับสนองพระราชโองการ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี

ด้านพล.อ.ธีรชัยกล่าวว่า ตนรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งเป็นองคมนตรี โดยจะปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุดให้สมกับที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย

ปัจจุบัน พล.อ.ธีรชัย เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และเป็นประธานกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งได้เตรียมลาออกจาก 2 ตำแหน่งแล้ว

รายงานข่าวแจ้งว่า องคมนตรีทั้ง 10 คนจะเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณตน ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ในวันที่ 7 ธ.ค.

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน