ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ‘หมอนิ่ม’ คดีฆ่า “เอ็กซ์-จักรกฤษณ์” สามี แต่ร่ำไห้โฮ แม่ ไม่รอด ผิดฐานจ้างวานฆ่าโทษประหาร แต่ลดเหลือจำคุกตลอดชีวิต ยื่นหลักทรัพย์ 1 ล้านบาท ได้ประกันตัวไปต่อสู้คดีชั้นฎีกา ศาลชี้ยังรับฟังได้ว่าหมอนิ่มยังมีความรักกับผู้ตาย พยานแวดล้อมฟังไม่ได้ว่าเป็นคนจ้างวาน

เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ศาลจังหวัดมีนบุรี กทม. ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดียิงฆ่านายจักรกฤษณ์หรือเอ็กซ์ พณิชย์ผาติกรรม อดีตนักกีฬายิงปืนทีมชาติไทย ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีศาลจังหวัดมีนบุรี เป็นโจทก์ และนายมานพ พณิชย์ผาติกรรม บิดานาย จักรกฤษณ์ เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้องนายจิรศักดิ์ หรือจี กลิ่นคล้าย อายุ 36 ปี เป็นมือปืนยิง, น.ส.สุรางค์ ดวงจินดา อายุ 75 ปี มารดาพญ.นิธิวดี หรือ หมอนิ่ม ภู่เจริญยศ

พญ.นิธิวดี หรือ หมอนิ่ม อายุ 41 ปี อดีตภรรยานายจักรกฤษณ์, นายสันติ หรือ อี๊ด ทองเสม อายุ 31 ปี อาชีพทนายความ และนายธวัชชัย หรือ อ้น เพชรโชติ อายุ 36 ปี ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์พามือปืนไปก่อเหตุ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, จ้างวานใช้ ยุยงส่งเสริม ให้ฆ่า, มีและพกพาอาวุธปืน ยิงอาวุธปืนในที่ทางสาธารณะ

สำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2559 ศาลจังหวัดมีนบุรีมีคำพิพากษาประหารชีวิตสถานเดียว พญ.นิธิวดี จำเลยที่ 3 กับนายสันติ หรือ ทนายอี๊ด จำเลยที่ 4 โดยระหว่างอุทธรณ์คดี จำเลยทั้งสอง ได้ประกันตัวคนละ 1,000,000 บาท ส่วนนายจิรศักดิ์ มือปืน จำเลยที่ 1 และนายธวัชชัย ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ จำเลยที่ 5 นั้น ศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต โดยทั้ง 2 คนถูกคุมขังนับตั้งแต่ฟ้องคดีจนถึงระหว่างอุทธรณ์คดี ส่วน น.ส.สุรางค์ จำเลยที่ 2 นั้น ศาลยกฟ้อง ต่อมาอัยการโจทก์ นายมานพ โจทก์ร่วม และจำเลยที่ 1, 3, 4 และ 5 ยื่นอุทธรณ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ พญ.นิธิวดี และ น.ส.สุรางค์ มารดา เดินทางมาฟังคำพิพากษา ส่วนนายสันติ หรือ ทนายอี๊ด จำเลยที่ 4 ไม่มาศาล โดยก่อนหน้านี้ ศาลนัดฟังคำพิพากษารอบที่ 2 เมื่อเดือนมิ.ย.2561 แต่นายสันติไม่มาฟังคำตัดสิน ศาลจึงออกหมายจับ และริบเงินประกันตัว 1,000,000 บาท ขณะเดียวกัน นางบุญคิด มารดานายจักรกฤษณ์ ในฐานะผู้ร้องขอให้ชดใช้ค่าเสียหายก็เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษา พร้อมกับเพื่อนนาย จักรกฤษณ์

ศาลอ่านคำพิพากษาจำนวนกว่า 60 หน้า ใช้เวลาเกือบชั่วโมง โดยสรุปว่าศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว พยานหลักฐานที่นำสืบมาประกอบคำให้การรับ สารภาพของน.ส.สุรางค์ จำเลยที่ 2 ที่ได้กระทำโดยเปิดเผยในสถานที่ราชการต่อหน้าพนักงานสอบสวน และประธานสภาทนายความประจำ จ.มีนบุรี ที่ตำรวจประสานให้ร่วมฟังการสอบสวน รวมทั้งมีสื่อมวลชน และนางปวีณา หงสกุล อดีตรมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในขณะนั้น ที่จำเลยที่ 2-3 ให้ความเคารพไว้วางใจตั้งแต่เหตุการณ์ที่ช่วยไกล่เกลี่ยปัญหาครอบครัว จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ใช่ถูกชักจูงใจ

คำพิพากษาระบุว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้จำเลยที่ 2 ว่าเป็นผู้จ้างวานให้คนกลาง ซึ่งตำรวจและอัยการกันไว้เป็นพยาน ได้ติดต่อกับนายสันติ หรือ ทนายอี๊ด จำเลยที่ 4 ได้รับมอบเงิน 2 ครั้ง ครั้งแรก 600,000 บาท และร้องขอเพิ่มอีก 600,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2 ตกลงให้ แล้วจำเลยที่ 4 จ้างจำเลยที่ 1 เป็นมือปืน และจำเลยที่ 5 เป็นคนขับขี่รถจักรยานยนต์นำปืนไปฆ่าผู้ตายวันเมื่อวันที่ 19 ต.ค.2556

โดยจำเลยที่ 1 และ 5 ระบุว่าได้เงินจ้างคนละ 200,000 บาท เนื่องจาก น.ส.สุรางค์ ยังโกรธแค้นที่ผู้ตายทำร้ายร่างกาย พญ.นิธิวดี ซึ่งเป็นบุตรสาวคนเดียว และทำร้ายหลานสาวได้รับบาดเจ็บหลายครั้งหลายหน และเชื่อว่าผู้ตายไม่สามารถแก้ไขพฤติกรรมได้ น.ส. สุรางค์ จำเลยที่ 2 นั้น จึงมีความผิดฐานใช้จ้างวานให้นายจักรกฤษณ์ ผู้ตาย ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นควรพิพากษากลับเป็นให้ประหารชีวิต อย่างไรก็ตาม คำให้การของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาบ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกไว้ตลอดชีวิต

ส่วน พญ.นิธิวดี จำเลยที่ 3 นั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่าตามทางนำสืบและคำเบิกความพยานต่างๆ ในศาลชั้นต้นรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ยังมีความรักใคร่กับผู้ตายอยู่ โดยก่อนเกิดเหตุเมื่อเดือนส.ค.2556 จำเลยที่ 3 ยังเคยพาบุตรสาวไปเยี่ยมผู้ตายที่เรือนจำทหาร ระหว่างถูกดำเนินคดีทำร้ายร่างกายจำเลย และไม่คัดค้านการประกันตัวผู้ตายของศาลทหารด้วย รวมทั้งยังเคยนั่งไปกับผู้ตายช่วงก่อนเกิดเหตุ อีกทั้งช่วงหลังที่ผู้ตายออกมาก็ไม่มีเหตุทำร้ายจำเลย จึงไม่เป็นเหตุจูงใจ เชื่อว่าจำเลยยังมีความรักกับผู้ตายอยู่ พยานหลักฐานแวดล้อมยังฟังไม่ได้ว่าเป็นคนจ้างวาน

คำพิพากษาระบุต่อว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาในส่วนพญ.นิธิวดี จำเลยที่ 3 นั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย โดยพยานหลักฐาน มีข้อสงสัยตามสมควรว่าร่วมจ้างวานด้วยหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษาให้ยกฟ้อง โดยศาลไม่สั่งขังจำเลยระหว่างฎีกาด้วยแต่อย่างใด

สำหรับมือปืน จำเลยที่ 1 กับคนขับขี่รถจักรยานยนต์พามือปืนไปยิง จำเลยที่ 5 นั้น ศาลพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกตลอดชีวิต และนายสันติ หรือ ทนายอี๊ด คนติดต่อมือปืน จำเลยที่ 4 ศาลพิพากษายืน ลงโทษประหารชีวิตสถานเดียวตามคำพิพากษาศาล ชั้นต้น

นอกจากนี้ ให้จำเลยที่ 1, 2, 4 และ 5 ร่วมกันชดใช้เงิน 2,500,000 บาท ให้บิดามารดานายจักรกฤษณ์ด้วย ส่วนนายสันติ จำเลยที่ 4 ไม่มาฟังคำพิพากษา และไม่มีทนายมาศาลแจ้งเหตุขัดข้อง เชื่อว่ามีพฤติการณ์หลบหนีคดี โดยวันนี้ศาลอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยที่ 4 แล้ว และเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนลงโทษจำเลย จึงให้ออกหมายจับจำเลยที่ 4 เพื่อติดตามตัวมารับโทษต่อไป มีอายุความในการติดตามตัวภายใน 20 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างฟังคำพิพากษา พญ.นิธิวดีมีอาการเสียใจ และเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งใช้มือปาดน้ำตาและใช้กระดาษทิชชูคอยซับน้ำตาที่อาบแก้มตลอดเวลาขณะที่ น.ส.สุรางค์ แม่พญ.นิธิวดี ก็ยืนฟังคำพิพากษากว่า 2 ชั่วโมงด้วยสีหน้าเรียบเฉยเคียงข้างลูกสาวและญาติใกล้ชิด

ต่อมา นายชำนาญ ชาดิษฐ์ ทนายความ นำหลักทรัพย์เป็นเงินสด และหลักทรัพย์อื่น รวมประมาณ 1,000,000 บาท ยื่นขอประกันตัว น.ส.สุรางค์ เพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาลฎีกา จากนั้นศาลจังหวัดมีนบุรีพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ระหว่างฎีกาคดี โดยศาลตีราคาประกัน 1,000,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล

นายชำนาญ ทนายความ กล่าวว่า ในส่วน น.ส.สุรางค์ แม่หมอนิ่ม ต้องฎีกาอยู่แล้ว เนื่องจากศาลพิพากษาลงโทษ แต่ในส่วนของหมอนิ่ม เมื่อศาลพิพากษายกฟ้อง ขึ้นอยู่กับอัยการโจทก์และโจทก์ร่วมว่าจะฎีกาคำพิพากษาหรือไม่ เพราะเราเป็นฝ่ายชนะคดี

ผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนมาฟังคำพิพากษา หมอนิ่มมีความกังวลใจหรือไม่ ทนายความกล่าวว่า เป็นธรรมดาที่จะกังวลใจอยู่บ้าง เพราะไม่ทราบว่าผลคำพิพากษาจะออกมาเป็นเช่นไร แต่หมอนิ่มก็มั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง

ด้านนางบุญคิด แม่นายจักรกฤษณ์กล่าวว่า ยอมรับได้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ลูกชายก็ไม่ฟื้นขึ้นมา เมื่อผลพิพากษาออกมาว่ายกฟ้อง พญ.นิธิวดี ก็รู้สึกสบายใจที่หลานทั้ง 2 มีคนดูแล พญ.นิธิวดีเลี้ยงหลานอย่างดี ส่งเข้าโรงเรียนดีๆ เดือนก่อนก็มีโอกาสเจอหลานทั้ง 2 คน ในรอบ 5 ปี เห็นว่าหลานสุขสบายดี และดีใจมาก หลังจากนี้อาจจะไม่ฎีกาในส่วนของ พญ.นิธิวดี เพราะอโหสิกรรมให้ตั้งนานแล้ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน