ปปง.อายัดแล้วเงินฝากรวม 51 บัญชี-ที่ดินอีก 15 แปลงมูลค่ากว่า 176 ล้านบาทของขบวนการตุ๋นบิตคอยน์ ผู้การกองปราบฯ ระบุเตรียมออกหมายจับอีก 6 ร่วมแก๊ง เผยนักลงทุนระดับบิ๊กในตลาดหุ้นก็โดนด้วย สอบพบประวัติถูกออกหมายจับในคดีฉ้อโกง พนักงานสอบสวนนำตัว “บูม” ฝากขังศาลอาญา ยื่นเงินสด 2 ล้าน ศาลอนุญาตให้ประกันตัว แต่มีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ด้านพี่สาวต่อสายตำรวจ เตรียมเข้ามอบตัวสู้คดี

เมื่อเวลา 10.35 น. วันที่ 10 ส.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือบูม อายุ 27 ปี ดารานักแสดง นำส่งศาลอาญา เพื่อฝากขังผัดแรก หลังถูกจับกุมตัวได้ จากกรณีมีผู้เสียหายชาวต่างชาติได้เข้ามาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนว่าถูกฉ้อโกง โดยนายจิรัชพิสิษฐ์คือ 1 ใน 3 ที่ถูกออกหมายจับข้อหาร่วมกันฟอกเงิน พร้อมนายปริญญา จารวิจิต พี่ชาย และน.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิต พี่สาว ที่ยังจับกุมตัวไม่ได้

ทั้งนี้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวนายบูมไปฝากขังที่ศาล มีกลุ่มเพื่อนเดินทางเข้าเยี่ยมและพูดคุย ที่บริเวณหน้าห้องควบคุม โดยนายจิรัชพิสิษฐ์ หรือบูม มีสีหน้าที่วิตกกังวล พูดกับเพื่อนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งเพื่อนๆ ต่างก็ให้กำลังใจ ขณะที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวออกจากห้องควบคุม ผู้ต้องหาสวมหมวกและแว่นตาปิดบังใบหน้าตลอดเวลา ขณะที่ขึ้นรถ เจ้าหน้าที่ ไม่ตอบคำถามกับผู้สื่อข่าวที่ดักรอ

ด้านพล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. ได้เปิดเผยถึงกรณีนายจิรัชพิสิษฐ์ถูกจับกุมในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน หลอกลวงนักธุรกิจชาวฟินแลนด์ร่วมลงทุนสกุลเงินดิจิตอล สูญเงินบิตคอยน์ไปร่วม 700 ล้านบาท และโอนเงินให้ครอบครัวจารวิจิต จึงต้องตรวจสอบบัญชีครอบครัวด้วย

พล.ต.ต.ไมตรีกล่าวว่า ขณะนี้น.ส.สุพิชฌาย์ พี่สาว ประสานผ่านคนกลางมาเพื่อขอเข้ามอบตัวแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการระบุวัน เวลา และสถานที่ สำหรับตัวน.ส.สุพิชฌาย์ จากการตรวจสอบทราบว่ายังไม่พบข้อมูลว่ามีการหลบหนีออกนอกประเทศ นอกจากนี้ ยังสืบสวนเพิ่มเติม มีข้อมูลพอที่คาดว่าจะสามารถออกหมายจับเพิ่มอีกประมาณ 5-6 คน ซึ่งอาจจะเป็นคนที่เกี่ยวข้อง หรือบุคคลในตลาดหลักทรัพย์ รวมไปถึงครอบครัวจารวิจิตด้วย โดยมีความผิดในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์

พล.ต.ต.ไมตรีกล่าวอีกว่า ส่วนของนายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ บุคคลที่มีชื่อเสียงในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ได้ติดต่อเข้ามาขอพบรอง ผบก.ป.เพื่อเข้าชี้แจงอ้างว่าตนเองตกเป็นเหยื่อของขบวนการนี้เช่นเดียวกัน แต่จากการสืบสวน รวบรวมหลักฐานเจ้าหน้าที่ตำรวจพบข้อมูลที่เชื่อได้ว่านายประสิทธิ์อาจจะมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง ขณะนี้พนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน

ผบก.ป.กล่าวว่า นอกจากนี้จากการตรวจสอบยังพบว่ามี 3 บริษัทที่เปิดทั้งในประเทศไทยและฮ่องกง พบว่านายปริญญาเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย และจากการตรวจสอบทะเบียนการค้าทั้ง 3 บริษัท พบว่ามีคนในตระกูลจารวิจิตเข้าร่วมมีส่วน และบางบริษัทที่แอบอ้างกับผู้เสียหายไม่มีตัวตนจริง เป็นการเปิดบริษัทขึ้นมาเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ยังมีบริษัทอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายดังกล่าวอีกหลายบริษัท ซึ่งอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐาน

“จากการตรวจสอบประวัติของนายปริญญา พบว่าเคยมีประวัติถูกออกหมายจับในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ ในพื้นที่ สน.วัดพระยาไกร อีก” พล.ต.ต.ไมตรีกล่าว

เมื่อเวลา 10.45 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้ควบคุมตัวนายจิรัชพิสิษฐ์มายื่นคำร้องขอฝากขัง ต่อศาลครั้งแรก เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 10-21 ส.ค. เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ต้องสอบพยานบุคคลเกี่ยวข้องการทำธุรกรรมอีก 10 ปาก และรอเอกสารทางการเงินของพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับรอผลตรวจสอบประวัติลายพิมพ์นิ้วมือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้ หากผู้ต้องหาขอปล่อยชั่วคราวพนักงานสอบสวนก็ขอคัดค้าน เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี และเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน

สำหรับคำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 30 ม.ค. นายอาร์นี ออตตาวา ซาอ์ริมาอ์ (Mr.aarni Otava Saarimaa) ชาวฟินแลนด์ ซึ่งประกอบธุรกิจซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิตอล ผู้เสียหายได้ประสานเข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับนายปริญญา จารวิจิต พี่ชายของผู้ต้องหา กับพวก กรณีที่ได้ร่วมกันหลอกลวงเอาเงินของนายอาร์นีไปโดยทุจริต จำนวน 797,408,454.33 บาท

ประมาณต้นเดือนมิ.ย.2560 นายอาร์นี และน.ส.ชนนิกานต์ แก้วสาสี นักธุรกิจ ซึ่งรู้จักกับนายปริญญา พี่ชายผู้ต้องหา นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ และนายปัณณ์ฉัตร ชยุตธนา ซึ่งทั้ง 3 คนเป็นนักธุรกิจ และได้ชักชวนให้นายอาร์นี และน.ส.ชนนิกานต์มาร่วมลงทุน โดยได้ติดต่อผ่านนายปริญญา พี่ชาย ผู้ต้องหา ผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ กระทั่งมีการนัดหมายพูดคุยเจรจาธุรกิจกัน

โดยกลุ่มของนายปริญญาได้นำเสนอธุรกิจหลากหลายรูปแบบให้นายอาร์นี ผู้เสียหาย พิจารณา และพวกของนายปริญญาอีก 3 คนก็ยังพูดชักจูงใจให้ผู้เสียหายร่วมลงทุนในบริษัทที่กลุ่มเพื่อนของนายปริญญาเป็นกรรมการ ครั้งแรกนัดพบเจอกับนายชาคริส อาห์มัด และนายปริญญา พี่ชายผู้ต้องหา ชักชวนให้ผู้เสียหายซื้อหุ้นบริษัท เอ็กซ์เปย์ ซอฟท์แวร์ จำกัด โดยผู้เสียหายและน.ส.ชนนิกานต์ตกลงตามข้อเสนอ และโอนเหรียญบิตคอยน์ไปยังกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Wallet) ช่วงวันที่ 17-19 ก.ค.60 จำนวน 1,259.13 เหรียญบิต เป็นเงินมูลค่า 92,692,200 บาท

ต่อมาต้นเดือนส.ค. 2560 นายปริญญากับพวกยังได้ชักชวนผู้เสียหายลงทุนซื้อสกุลเงินดิจิตอล (dragon coin หรือ DRG) อีกป็นเงิน 400 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง มีผู้ถือหุ้น 4 คน คือ นายปริญญา พี่ชายผู้ต้องหา, นายประสิทธิ์, นายชาคริส อาห์มัด และนายอาร์นี ผู้เสียหาย ซึ่งแต่ละคนจะต้องลงเงินคนละ 100 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง เพื่อโอนไปที่บริษัทในเขตปกครองพิเศษมาเก๊า โดยนายปริญญา พี่ชายผู้ต้องหาอ้างว่าเงินลงทุนในส่วนของผู้เสียหายสามารถโอนเป็นเหรียญบิตคอยน์ ผ่านกระเป๋าเงิน E-Wallet ได้ ตามข้อตกลงในสัญญาซื้อขายเหรียญโทเค่น ซึ่งทำขึ้นเมื่อวันที่ 18 ส.ค.60 ระหว่างผู้เสียหายกับนายชาคริส หลังจากนั้นผู้เสียหายจึงเริ่มโอนเงินบิตคอยน์เข้ากระเป๋าเงิน E-Wallet ของนายปริญญากับพวก ระหว่างวันที่ 26 ส.ค.-5 ก.ย.60 รวม 2,958.75948993 เหรียญบิต คิดเป็นมูลค่าเสียหาย 440,007,281.33 บาท

หลังจากนั้นนายชาคริสยังได้ชักชวนผู้เสียหายไปซื้อหุ้นของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยด้วย โดยเสนอแผนธุรกิจว่าผู้เสียหายสามารถซื้อหุ้นได้สูงสุด 500 ล้านหุ้น ที่คิดเป็นเงินจำนวน 250 ล้านบาท โดยเสนอให้ ผู้เสียหายชำระค่าเงินเป็นเงินบิตคอยน์ได้ แล้วต่อมาวันที่ 14 ก.ย.-30 ธ.ค.2560ผู้เสียหายก็ได้โอนเงินเหรียญบิต จำนวน 1,355.55701963 เหรียญบิต คิดเป็นมูลค่า 264,780,973 บาท แต่หลัง

จากนั้นนายปริญญาพี่ชายผู้ต้องหากับพวกได้นำเหรียญบิตคอยน์ที่ได้รับโอนมาจากผู้เสียหาย ทยอยขายออกไปแล้วถอนเงินออกจากกระเป๋าเงินอิเล็ก ทรอนิกส์ไปเข้าบัญชีธนาคารพาณิชย์ของ กลุ่มพี่ชายผู้ต้องหารวม 7 ราย ประกอบด้วย นายชาคริส อาห์มัด 2 บัญชี จำนวน 162,994,510 บาท, นายปริญญา จารวิจิตพี่ชายของผู้ต้องหา 1 บัญชี จำนวน 111,938,265 บาท, นายจิรัชพิสิษฐ์ ผู้ต้องหา 1 บัญชี เป็นเงิน 21,687,603 บาท กับพี่น้องตระกูลจารวิจิตอีก 2 คนจำนวน 146,309,884 บาท (3 บัญชี) และจำนวน 140,184,665 บาท (1 บัญชี), นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ โอนเข้า 2 บัญชี เป็นเงิน 66,542,948 บาท และนายชัชวาล ฉัตราติชาต จำนวน 2 บัญชี เป็นเงิน 96,125,883 บาท สรุปยอดเงินรวมทุกบัญชีทั้งสิ้น 745,783,761 บาท

หลังจากโอนเงินบิตคอยน์ให้กลุ่มนายปริญญา พี่ชายผู้ต้องหาตามที่กล่าวอ้างกับ ผู้เสียหายว่านำไปลงทุนซื้อหุ้นในธุรกิจแล้ว แต่ปรากฏว่าผู้เสียหายก็ไม่ได้รับหุ้น รวมทั้งไม่เคยได้รับเชิญการประชุมผู้ถือหุ้นหรือเงินปันผลจากบริษัทแต่อย่างใด อีกทั้งการลงทุนเพื่อประกอบธุรกิจสร้างสกุลเงินดิจิตอลในชื่อ dragon coin หรือ DRG ก็ไม่มีการลงทุนทางธุรกิจจริง ผู้เสียหายจึงมอบอำนาจให้น.ส.ชนนิกานต์แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีนายปริญญากับพวกตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

พนักงานสอบสวนจึงได้มีหนังสือรายงานความผิดมูลฐาน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ไปยังเลขาธิการสำนักงาน ปปง. ขอให้ตรวจสอบพิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมทางการเงินของกลุ่มผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากมีเหตุอันควรเชื่อว่ามีการ กระทำความผิดฐานฟอกเงิน กระทั่ง ปปง.สรุปรายงานแจ้งว่านายปริญญา พี่ชายของผู้ต้องหา, นายจิรัชพิสิษฐ์ ผู้ต้องหา และกลุ่มผู้ต้องหาได้รับเงินจากการกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหาได้โอนเงินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดไปมาระหว่างกันหลายครั้ง แล้วนำเงินไปเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มา หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นฯ ในการทำผิด ซึ่งนายปริญญา พี่ชายของผู้ต้องหา และผู้ต้องหา ได้นำเงิน นั้นไปจดทะเบียนซื้อฝาก-ขายที่ดินรวม 14 แปลง มูลค่ากว่า 176,220,000 บาท

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามติดตามจับกุมนายจิรัชพิสิษฐ์ ดาราวัยรุ่น ผู้ต้องหานี้ ได้เมื่อวันที่ 8 ส.ค. และแจ้งข้อกล่าวหาทราบแล้ว ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

ภายหลังศาลพิจารณาคำร้องและสอบถาม ผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้

ขณะที่ญาติของนายจิรัชพิสิษฐ์ได้ยื่น หลักทรัพย์เป็นเงินสด 2 ล้านบาท พร้อมคำร้องประกอบการพิจารณาของศาล ระบุเหตุผลว่า ผู้ต้องหาทำงานเป็นนักแสดง มีที่อยู่เป็น หลักแหล่ง รวมทั้งไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนี ซึ่งขณะถูกจับกุมก็กำลังทำงานถ่ายแบบ จึงขอความเมตตาจากศาลให้ปล่อยชั่วคราวด้วย

ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งข้อหาและการกระทำของผู้ต้องหาตามคำร้องชั้นฝากขังแล้วเห็นว่าผู้ต้องหาไม่มีส่วนร่วมเจรจากับ ผู้เสียหายให้มาลงทุน อีกทั้งยังจับกุมผู้ต้องหาในทางสาธารณะ โดยไม่มีพฤติการณ์จะ หลบหนี ในชั้นนี้จึงอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ตีราคาประกัน 2 ล้านบาท โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามผู้ต้องหาเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้ พ.ต.อ. ชาคริต สวัสดี รอง ผบก.ป. ได้ประสานงานไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่ออายัดบัญชีเงินฝากทุกธนาคารของ 3 ผู้ต้องหา รวมทั้งผู้ใกล้ชิดที่อยู่ในครอบครัว “จารวิจิต” ทั้งหมดเพื่อตรวจสอบและติดตามเงินคืนผู้เสียหาย ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 ส.ค. ทาง ปปง.ได้แจ้งมาว่าได้อายัดบัญชีเงินฝากของผู้ต้องหาและผู้เกี่ยวข้องไว้แล้วทั้งหมด 51 บัญชี โดยขณะนี้ธนาคารพาณิชย์กำลังทยอยแจ้งตัวเลขเงินสดในบัญชีต่างๆ มายัง ปปง. เพื่อทราบยอดเงินอายัดทั้งหมด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่านอกจากอายัดบัญชีเงินฝากแล้วยังได้อายัดที่ดินที่อยู่ในความครอบครองของผู้ต้องหาที่เชื่อว่าได้มาจากการกระทำ ความผิดไว้ทั้งหมด 15 แปลง มูลค่ารวมประมาณ 176 ล้านบาท และกำลังจะตรวจสอบทรัพย์สินอื่นๆ ของผู้ต้องหาและผู้เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินหรือ ของกลางต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน