พี่สาว ‘บูมนายแบบ’ โผล่มอบตัวตร. ร่ำไห้ปฏิเสธฟอกเงินคดีตุ๋นบิตคอยน์ แต่ยอมรับพี่ชายโอนเงินเข้าบัญชี แล้วนำไปซื้อขายที่ดิน แต่ไม่รู้ว่าพี่ได้เงินมาอย่างไร อีกทั้งไม่รู้เรื่องหลอกลวง ตร.คุมส่งฝากขังศาล เตรียมออกหมายเรียกพ่อแม่ด้วย พบมีเงินเข้าบัญชีแม่ 90 ล้าน ก่อนโอนเข้าบัญชีพ่ออีกทอดหนึ่ง 40 ล้าน

บูมนายแบบ / เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 15 ส.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม น.ส.สุพิชฌาย์ จารวิจิต อายุ 32 ปี พี่สาวนายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือ บูม อายุ 27 ปี ดารานายแบบ ผู้ต้องหาคดี ร่วมกันฟอกเงิน พร้อมทนายความเข้าพบพ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี รองผบก.ป. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาในคดีร่วมกันฟอกเงิน

สำหรับคดีนี้สืบเนื่องจากนายเออาร์นี โมตาวา ซาริมา อายุ 22 ปี ชาวฟินแลนด์ เข้าแจ้งความว่าถูกนายปริญญา จารวิจิต อายุ 35 ปี พี่ชาย น.ส.สุพิชฌาย์ นายจิรัชพิสิษฐ์ และพวกหลอกให้ร่วมลงทุน โดยให้ผู้เสียหายซื้อหุ้นด้วยเงินดิจิตอลสกุลบิตคอยน์ จำนวน 797 ล้านบาท ต่อมาตำรวจขออนุมัติศาลออกหมายจับนายปริญญา น.ส.สุพิชฌาย์ และนายจิรัชพิสิษฐ์ ในข้อหาฟอกเงิน

จากการสืบสวนสอบสวนของกองปราบฯ พบเบาะแสว่านายปริญญาโอนเงินของกลางไปเข้าบัญชีของน.ส.สุพิชฌาย์ และนายจิรัชพิสิษฐ์ จนเมื่อวันที่ 8 ส.ค. กองปราบฯ จับกุมนายจิรัชพิสิษฐ์ขณะถ่ายทำละครเรื่องใหม่ ขณะที่น.ส.สุพิชฌาย์ติดต่อขอเข้ามอบตัวรับทราบข้อกล่าวหา

พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. กล่าวว่า น.ส.สุพิชฌาย์ให้การว่ารับเงินมาจากนายปริญญาจริง และยอมรับว่านายปริญญาโอนเงินมาเข้าบัญชีหลายครั้ง ทุกครั้งพี่ชายจะสั่งว่าต้องถอนเงินออกมาเท่าไหร่ และโอนออกเท่าไหร่ โดยน.ส.สุพิชฌาย์มีหน้าที่แค่นำเงินเข้าและออกจากบัญชีตามคำสั่งเท่านั้น นอกจากนี้ นายปริญญายังสั่งให้น.ส. สุพิชฌาย์นำเงินไปทำธุรกรรมซื้อขายที่ดินเพื่อการฟอกเงิน เมื่อขายที่ดินได้แล้วก็จะให้โอนเงินเข้าบัญชีนายปริญญา โดยน.ส. สุพิชฌาย์ยืนยันว่าไม่เคยรับรู้ว่าเงินที่ถูกโอนมาให้นั้นพี่ชายได้มาอย่างไร

ผบก.ป.กล่าวต่อว่า ส่วนการตรวจค้นบ้านพ่อแม่นายจิรัชพิสิษฐ์นั้น พบเอกสารเกี่ยวกับการโอนเงินจำนวนหนึ่งจึงยึดมาตรวจสอบ จากนี้จะเรียกพ่อแม่นายปริญญามาให้ปากคำภายในสัปดาห์นี้ เนื่องจากพบหลักฐาน นายปริญญาโอนเงิน 90 ล้านบาทเข้าบัญชีของแม่ และให้แม่โอนเงินไปเข้าบัญชี พ่อจำนวน 40 ล้านบาท นอกจากนี้ ให้พนักงานสอบเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาซึ่งเป็นเพื่อนและเครือญาติของนายปริญญาที่เป็นผู้รับเงินและโอนเงินอีก 5-6 รายด้วย

พล.ต.ต.ไมตรีกล่าวด้วยว่า ระหว่างสอบปากคำ น.ส.สุพิชฌาย์ร้องไห้ตลอดเวลา พร้อมทั้งปฏิเสธว่าไม่ทราบเรื่องหลอกลวงประชาชน ยอมรับว่าได้รับการโอนเงินจากพี่ชาย และนำออกไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น ทุกขั้นตอนเป็นคำสั่งจากพี่ชาย ตนเองไม่ได้ร่วมลงทุนหรือชักชวนใครมาประกอบธุรกิจหุ้นแต่อย่างใด

ต่อมาเวลา 14.30 น. พนักงานสอบสวนคุมตัวน.ส.สุพิชฌาย์ไปขออำนาจศาลอาญาฝากขังเป็นผัดแรก พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีที่มีมูลค่าความเสียหายสูง และประชาชนให้ความสนใจ ขณะที่ทนายความผู้ต้องหากล่าวเพียงสั้นๆ ว่าลูกความให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และเตรียมหลักทรัพย์ 2,000,000 บาท สำหรับยื่นศาลขอประกันตัว

จากนั้นเวลา 16.00 น. ศาลพิจารณาคำร้องขอประกันตัว ก่อนอนุญาตให้ ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาไประหว่างการฝากขัง พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออก นอกประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล

รายงานข่าวจากชุดทำคดีเปิดเผยว่า ในส่วนของผู้กว้างขวางในตลาดหลักทรัพย์ที่พัวพันตุ๋นบิตคอยน์นั้น พบว่าได้ไปเจรจากับ ผู้เสียหายหลายครั้ง เพื่อคืนทรัพย์สินแลกกับไม่ต้องถูกดำเนินคดี เพราะคดีฉ้อโกงทรัพย์ยอมความกันได้ แต่ผลการเจรจายังไม่ได้ข้อสรุป อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนกำลังรวบรวมหลักฐาน หากสำนวนมีความเรียบร้อย และผู้เสียหายยืนยันที่จะดำเนินคดีก็จะต้องดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดต่อไป

ขณะเดียวกัน จากการสอบปากคำพยานแวดล้อมหลายปาก พบเบาะแสว่าผู้ต้องหา นำเอกสารส่วนตัวของผู้อื่นไปเปิดบัญชีธนาคาร แล้วเป็นผู้ทำธุรกรรมเอง โดยที่เจ้าของบัญชีไม่ทราบมาก่อน เป็นไปได้ว่าพนักงานธนาคารพาณิชย์อาจจะมีส่วนรู้เห็น นอกจากนี้ การโอนเงินแต่ละครั้งที่มีจำนวน 2,000,000 บาทขึ้นไป ในบางรายการธนาคารไม่ได้แจ้งไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ตามระเบียบด้วย พนักงานสอบสวนกำลังพิจารณาว่าจะดำเนินคดีกับธนาคารแห่งนั้นหรือไม่ โดยอาจจะดำเนินคดีทั้งเจ้าหน้าที่ที่รู้เห็น และในส่วนของนิติบุคคลด้วย เพราะถือเป็นความบกพร่องโดยตรงของธนาคาร

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน