“อีฟ” เผยคำพูดสุดท้าย “เสก โลโซ” ที่ทำให้ยอมไปรับการรักษาแต่โดยดี!

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 21 ส.ค. ที่ ชั้น 3 จีเอ็มเอ็ม สตูดิโอ “กานต์ วิภากร” พร้อมด้วย เสือ -เสฏกานต์ ศุขพิมาย อดีตภรรยาและลูกชายคนโตของร็อกเกอร์คนดัง “เสก โลโซ” และ อีฟ-อภิสร์ญา พัฒนวรทรัพย์ แฟนสาวคนปัจจุบันของนักร้องหนุ่ม เปิดใจครั้งแรกหลังมาร่วมรายการ “คุยแซ่บShow” ทางช่องวัน 31 ถึงภารกิจพา “เสก โลโซ” ส่งโรงพยาบาล หลังร็อกเกอร์หนุ่มไลฟ์ผ่านมือถือมาราธอนติดต่อกันเป็นเวลากว่า 5 วัน โดยไม่หลับไม่นอน

ด้าน ‘เสือ’ กล่าวว่า ตนเริ่มรู้สึกว่าพ่ออาการหนักขึ้นเพราะชอบคุยหลอนๆ รวมถึงการไลฟ์ยาวนานขนาดนี้ คิดว่าจะต้องพาไปรักษาแต่ไม่รู้จะทำยังไง จึงปรึกษาคุณแม่กับอีฟ ครั้งแรกวันที่ 16 ส.ค.ไม่สำเร็จ ครั้งที่ 2 วันที่ 18 ส.ค.ถึงสำเร็จ จริงๆ แผนการแรกคืออยากวางยาให้เขาหลับ ยาที่จะต้องใช้วางก็ต้องเป็นยาน้ำแต่ไปหาหมอที่ รพ.วิชัยยุทธ ไม่มียาน้ำ มีแต่ยาเม็ดก็ต้องบดผสมซึ่งไม่เวิร์ก หลังจากนั้นเลยลองสั่งยาสลบมา แต่ว่าเพิ่งทราบว่าอีฟไม่กล้าทำให้เขากิน เนื่องจากกลัวว่าถ้าวางยาสลบไปแล้วมันจะอันตราย อันนี้คือแผนการแรกที่เตรียมไว้ในวันที่ 16 ส.ค. คือทุกคนไปรอหน้าหมู่บ้านเพื่อให้เขาหลับ แต่ว่าก็ไม่สำเร็จเพราะยามหมู่บ้านไม่ให้เข้าเนื่องจากพ่อสั่งห้ามไว้ หลังจากนั้นวันที่ 18 ส.ค. ตนคุยกับทางนิติบุคคลและหัวหน้ารปภ.ของหมู่บ้าน ซึ่งอนุญาตให้เข้าไป แต่จนประมาณ 2 ทุ่มยังเข้าไม่ได้เพราะพ่อไม่ให้เข้า เลยมีการเปลี่ยนแผน สวมรอยเป็นรถของมูลนิธิที่จะมารับเงินบริจาค เนื่องจากก่อนหน้านั้นเขาไลฟ์รับบริจาคพอดี พอรปภ.โทร.ไปหาพ่อทางไลน์แจ้งว่ามีรถของมูลนิธิมา เขาถึงยอมให้เข้าไป เสร็จแล้วก็เป็นทางอีฟจัดการเพราะเป็นคนที่อยู่ข้างในบ้าน ตนกับแม่ไม่ได้เข้าไปด้วย ส่วนภาพที่ทุกคนเห็นว่ามีการหลอกถ่ายรูป ทั้ง 3 คนที่อยู่ข้างๆ นั่นคือคนที่เข้าไปเพื่อเอาตัวเขาออกมาขึ้นรถไปโรงพยาบาล

เสือ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่พ่อเข้าโรงพยาบาลจนตอนนี้ตนยังไม่เจอเขาเลย ย้อนไปเหตุการณ์ในวันนั้นยอมรับว่ารู้สึกสงสารเขาที่ต้องโดนล็อกตัวขึ้นรถไป แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ดีไปกว่านี้ ตอนนี้ก็ยังสงสารที่เขาอยู่ในโรงพยาบาลเพราะไม่มีใครอยากอยู่ในสภาพแบบนั้น เบื้องต้นหมอบอกว่าพ่อเป็นไบโพลาร์ระดับที่สามคือแย่มาก แต่มันไม่ใช่ระดับที่เป็นโรคจิต อยากทำร้ายตัวเอง หรือว่าฆ่าตัวตายขนาดนั้น เพียงแต่ว่าถ้าไม่รับการรักษาอาจจะเป็นถึงโรคจิตได้ คืนนี้ตนต้องบินกลับไปต่างประเทศแล้ว เรื่องของการสื่อสารจะคุยกับเขาผ่านไลน์ไม่ได้เพราะเขาใช้โทรศัพท์ไม่ได้ ต้องติดตามจากหมอที่จะโทร.มาแจ้งกับแม่อีกทีว่าอาการตอนนี้ของพ่อเป็นอย่างไรบ้าง

“ตอนนี้ผมเป็นเจ้าของคนไข้ เซ็นได้อย่างเดียวว่าเขาออกจากโรงพยาบาลมาได้ตอนไหน ฉะนั้นผมจะต้องรู้ข้อมูลทุกอย่างอยู่แล้ว ส่วนเรื่องของเอกสารต่างๆ ไม่ลำบากเพราะผมมอบอำนาจให้แม่ชั่วคราวได้ หมอไม่ได้บอกว่าพอจะต้องอยู่โรงพยาบาลนานแค่ไหน แต่เขาอาจจะอยู่ไม่นานเพราะเขาเป็นไบโพลาร์ ถ้าตั้งใจรักษาและกินยาอย่างต่อเนื่องก็สามารถใช้ชีวิตปกติได้ จริงๆ เขารู้ตัวเองตลอดว่าเป็นไบโพลาร์ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นหนักหรือเปล่าเพราะคนที่เป็นโรคนี้ชอบคิดว่าตัวเองสบายดี ทั้งที่ไบโพลาร์ระดับที่เขาเป็นตอนนี้มันหนักมากจริงๆ” ลูกชายคนโตของร็อกเกอร์คนดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ได้อธิบายสิ่งที่พ่อเป็นให้ ‘กวาง’ และ ‘ลอนดอน’ น้องสาวทั้งสองคนฟังอย่างไร เสือ กล่าวว่า น้องๆ คงเหมือนตนที่ก่อนหน้านี้เลือกที่จะไม่อยากรับรู้ เลยมุ่งหน้าเรื่องการเรียนไป อีกอย่างตนไม่เคยคุยเรื่องพ่อแม่กับกวาง ไม่อยากให้กระทบกับเขา และไม่อยากให้คิดมาก ส่วนลอนดอนยังเป็นเด็กน้อยอายุ 8 ขวบที่คงยังไม่รู้เรื่องอะไร

ต่อข้อถามว่า ปัญหาภายในครอบครัวที่เกิดขึ้นเคยกระทบกับผลการเรียนบ้างหรือไม่ เสือ กล่าวว่า ไม่เลยครับ เรื่องของพ่อแม่มีมานานหลายปีแล้ว ซึ่งไม่เคยมากระทบกับผลการเรียนของตนเลย เพราะเลือกที่จะผลักเรื่องพวกนี้ออกไปก่อน ปล่อยให้แม่จัดการไป แต่ว่าตอนนี้ตนใกล้จะเรียนจบแล้วถ้ามีเรื่องนี้เข้ามาอีกตนก็ต้องดูแลมากขึ้น ความตั้งใจของตนคือถ้าเรียนจบก็อยากที่จะมาเป็นหัวหน้าครอบครัวดูแลพ่อแม่เต็มตัว อยากมาช่วยเหลือแม่และดูแลน้องๆ

เสก โลโซ

“ถามว่าเคยน้อยใจบ้างไหมที่ชีวิตต้องเจอปัญหาภายในครอบครัวแบบนี้ ผมเกิดมาชีวิตนี้ก็ต้องรู้ว่าอยู่แบบธรรมดาไม่ได้ เรื่องแบบนี้ต้องมาตลอด พ่อแม่ทะเลาะกันเป็นเรื่องปกติ แต่เสก โลโซ ทะเลาะกับ กานต์ วิภากร มันก็จะเป็นเรื่องใหญ่ บางครั้งผมก็รู้สึกรำคาญว่าทำไมทะเลาะกันเยอะ ซีเรียสอะไรกันขนาดนี้ แต่ว่าตอนนี้ผมก็ชินกับมันมากแล้ว อยู่แบบนี้มาเกือบทั้งชีวิตเลยไม่ได้เครียดหรือน้อยใจอะไร แต่สิ่งที่ผมกังวลอย่างเดียวคือน้องๆ ที่อาจจะน้อยใจมากกว่าผม”

“นอกจากนี้ผมอยากจะบอกคนที่พ่อเขาด่าไว้ คือตอนนี้พ่อป่วยจริงเลยไม่ได้คิดอะไรในแง่ดี แต่คิดว่าทุกคนเป็นศัตรูไปหมดก็ด่าทุกคนเพื่อที่จะปกป้องตัวเอง เท่าที่ผมขอโทษและได้คุยกับบางคนที่พ่อด่า ส่วนมากก็เข้าใจว่าพ่อป่วยอยู่หนึ่งไม่ได้ติดใจอะไร” เสือกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามถึงความสัมพันธ์กับพ่อ ลูกชายคนเดิมกล่าวว่า ตนคุยกับพ่อบ่อยพอสมควร แต่พูดจริงๆ คือตนกับพ่อไม่ได้สนิทอะไรกันมาก น่าจะอยู่กับแม่และน้องๆ ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับพ่อ ไม่ค่อยมีเวลาหรือโอกาสที่จะเจอกัน ตอนอยู่เมืองนอกจะคุยกับพ่อทางไลน์เป็นส่วนใหญ่ แต่ล่าสุดที่คุยกันคือเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว ก่อนหน้าไม่ค่อยได้ติดตามข่าวของเขาเท่าไหร่ พอมารู้อีกทีก็ตกใจ เห็นจากข่าวว่าไลฟ์สดไม่หลับไม่นอน คือไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว นอนมากสุด 2 ชม.ทำได้ไง ตอนนั้นไม่รู้ว่าเขาเป็นไบโพลาร์ที่หนักขนาดนี้ โรคนี้ทำให้คิดว่าคนจะมาทำร้ายเขา เลยไล่ทุกคนหมด เหลือแค่เขากับอีฟเพราะอีฟไม่ได้อยู่ทุกวัน

“ผมคิดว่าคนที่จะช่วยให้พ่อดีขึ้นได้คือผมกับพี่อีฟ แต่ตอนนี้อีกคนที่สำคัญก็คือหมอ จริงๆ ในส่วนของพี่อีฟผมก็ไม่รู้ว่าเขากับพ่อผ่านมากันมายังไง แต่พอเห็นอะไรหลายอย่างในเหตุการณ์นั้นก็ดีใจที่เขารักพ่อจริง”

“สิ่งที่อยากบอกพ่อมากที่สุด ทุกอย่างที่พวกเราทำคือหวังดี ไม่อยากให้พ่อเจ็บปวด เพราะเขาป่วยจริงๆ แต่ไม่ได้รู้ว่าตัวเองป่วย ถ้าพ่อได้มานั่งดูไลฟ์ตัวเองเหมือนที่เสือและคนอื่นดูจะคิดยังไง พ่อต้องการการรักษา อย่าโกรธในสิ่งที่ผมและทุกคนทำ รักพ่อนะครับ” เสือ กล่าวทิ้งท้าย

กานต์ เปิดเผยว่า ตนเป็นคนบอกเสือว่า เสกไลฟ์เฟซบุ๊กมาราธอน ตนทราบว่าเสกเป็นไบโพลาร์มาเป็น 10 ปีแล้ว แต่เสกไม่ยอมรักษาต่อเนื่อง จนอาการหนักขนาดนี้ ตอนตนไลฟ์ด่าเสก ก็ไม่ได้คิดว่าจะส่งผลกระทบกับเขาหรือเปล่า

หลังจากเสกไลฟ์สดไม่หยุด ก็ได้รับข้อความจากแฟนคลับมาขอร้องให้ช่วยเขา ไม่นานอีฟ และบี ซึ่งเป็นคนกลางในขบวนการพาเสกส่งโรงพยาบาล ก็มาขอร้อง ก่อนจะดูไลฟ์ และตัดสินใจว่าต้องช่วยพาไปพบแพทย์

ครั้งแรกที่ปฏิบัติการณ์พาเสกส่งโรงพยาบาลคือ วันที่ 16 ส.ค. แต่ตอนนั้นรปภ. หน้าหมู่บ้านไม่อนุญาตให้เข้าไปพบเสก เพราะถูกเสกสั่งไว้ แต่ข้างในก็มีอีฟคอยส่งซิกอยู่ พอสถานการณ์เป็นแบบนี้จึงถอยทัพกลับ

และก็พยายามเคลียร์ทางให้โล่ง พร้อมติดต่อรถพยาบาลสแตนด์บายไว้ จนถึงวันที่ 18 ส.ค. ก็ตัดสินใจลงมืออีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมันมีเหตุการณ์ประจวบเหมาะให้เราสามารถเข้าถึงตัวเสกได้ คือ ตอนนั้นเสกกำลังไลฟ์อยู่ พร้อมกับขอรับเงินบริจาคด้วย จึงให้รถพยาบาลที่มีผู้ชาย 6 คนไปด้วย สวมรอยเป็นรถมูลนิธิแห่งหนึ่งที่จะมารับเงินบริจาค ซึ่งตน กับเสือก็ไม่ได้เข้าไป แต่ดูไลฟ์จากเฟซบุ๊ก

กานต์ เปิดเผยว่า แม้ว่าวิธีการนี้จะดูแย่ หรือรุนแรงบ้าง แต่เพื่อช่วยเสก ก็จำเป็นต้องทำ ตอนเข้าประชิดตัวก็ให้ผู้ชาย 2 คนเข้าไปทำทีเหมือนขอถ่ายรูปด้วย หลังขอเงินบริจาคเสร็จ ก่อนจะล็อกตัวเสก ซึ่งก็ยากมากๆ เพราะเสกแรงเยอะ ต้องส่งไปช่วยอีกจึงจัดการนำขึ้นรถมาได้

หลังล็อกตัวขึ้นรถ ตน และเสือก็ยังไม่ได้พบกับเสก เพราะคิดว่าเสกต้องโกรธตนมาก และก็กลัวว่าเสือจะถูกเหมารวมอาฆาตไปด้วย

กานต์ เปิดเผยว่า ที่เสกอาการหนักแบบนี้ก็คงมาจากทั้งการใช้ยาเสพติดเป็นเป็นเวลาต่อเนื่องกว่า 10 ปี ผนวกกับอาการป่วยไบโพลาร์อีกกว่า 10 ปี เมื่อวานได้พบกับแพทย์ที่ดูแล เขาบอกว่าอาการไบโพลาร์ของเสกค่อนข้างหนัก ซึ่งอาการไบโพลาร์ก็มักจะเกิดขึ้นกับอัจฉริยะ หรือคนเก่ง หากไม่รักษาก็จะส่งผลกระทบกับคนรอบข้างได้

ตนคิดว่าหากเสกพบแพทย์ และกินยาต่อเนื่องก็คงจะหายขาดได้ ส่วนหนึ่งก็คิดว่า ตนคงมีเวรมีกรรมกับเสก เพราะเวลาเกิดอะไรกับเขา กานต์ก็ต้องเข้าไปเกี่ยวด้วยเสมอ

กานต์ เปิดเผยว่า เย็นนี้อาจจะไปพบเสกที่โรงพยาบาล แต่อาจจะให้เสือเข้าไปหาคนเดียว เพราะคงยังโกรธอยู่ที่ตนมาเป็นตัวตั้งตัวตีพาเขาเข้าโรงพยาบาล แต่ก็อยากให้รู้ว่า ตนก็แค่หวังดีเท่านั้น

กานต์ เปิดเผยว่า หากตนเป็นอีฟคงหนีจากบ้านมานานแล้ว แต่เห็นว่าอีฟอดทนมากๆ ที่ผ่านมาไม่เคยสนใจผู้หญิงที่มาอยู่กับเสก แต่พอเห็นจิตใจของอีฟแล้ว ก็รู้สึกเข้าใจ เพราะเคยอยู่จุดนั้นมาก่อน จึงร่วมมือกับอีฟด้วย ตนอยากจะบอกอีฟว่า หากเสกผ่านมรสุมชีวิตนี้ไปได้ ก็จะยกเสกให้อีฟเลย ตนขอแค่สถานะพ่อของลูกกลับคืนมาก็พอ

“ตอนนี้เสกไม่ได้รับงานประมาณ 6 เดือนแล้ว และก็ไม่ส่งเงินมาให้ลูกๆ นาน 3 เดือนแล้ว หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น ก็อยากจะให้แฟนคลับเสกให้โอกาสกลับมามีผลงานอีก และก็มีความหวังว่าเสกจะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และส่งเสียเลี้ยงดูลูกๆ ได้เหมือนเดิม”

อีฟ อภิสร์ญา เปิดเผยว่า เสกได้บอกกับตนว่าสาเหตุที่ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กนั้น เพราะว่าแฟนคลับได้เรียกร้องให้มีการไลฟ์ บางครั้งตนก็ได้เข้าห้ามเสกบ้างเหมือนกัน บางไลฟ์ เสกเปิดเพลงเศร้าฟัง แล้วมีอาการซึมเศร้า และร้องไห้ตาม ตนก็กลัวว่าเขาจะทำร้ายตัวเขาเอง โดยที่ผ่านมาเสกไม่ได้กินยารักษาโรคไบโพลาร์ เพราะครั้งสุดท้ายที่ไปหาหมอก็คือช่วงปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นแพทย์บอกกับว่าใกล้จะหายแล้ว ทำให้เขาไม่ไปหาหมออย่างต่อเนื่อง

ส่วนวันที่ร่วมมือกับกานต์และน้องเสือพาตัวเสกส่งโรงพยาบาลนั้น ในวันนั้นตนก็อยู่ที่บ้านกับเสกด้วยซึ่งเสกกำลังไลฟ์อยู่ แต่ก็ได้วางแผนกับกานต์ให้ส่งรถตู้ปลอมเป็นมูลนิธิรับบริจาคเงินมาหน้าบ้าน เพื่อมาล็อกตัวพาไปนักษาตัว โดยแผนเดิมก็วางไว้ว่าจะใช้ยาทำให้นอนหลับก่อน แต่ก็ไม่ได้ทำ เพราะ เกรงว่าเสกจะได้รับอันตราย

ต่อมาตนจะแอบปีนหน้าต่างบอกพิกัดของเสกที่อยู่ในบ้านให้ชาย 2 คน ลงมานำตัวเสกไปหาหมอ แต่รอให้ไลฟ์จบก่อน โดยที่เสกเข้าใจว่าทั้ง 2 คนเป็นเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิที่จะมารับบริจาคเงิน ก่อนจะยืนขนาบข้างทำทีถ่ายรูปกับเสก แล้วล็อกตัวขึ้นรถตู้ไปโรงพยาบาล แต่เสกก็พยายามขัดขืน ทำให้ทีมงาน 4-5คนต้องช่วยกันจนเสกยอมขึ้นรถ โดยมีอีฟตามไปด้วย

อีฟเปิดใจเพิ่มเติมว่า ในตอนนั้นเสกได้ถามตนว่าใครส่งรถตู้มา ถ้าไปหาหมอไม่มีอะไรกลับบ้านเลยได้ใช่มั้ย เมื่อเห็นว่าอีฟตามขึ้นมาบนรถตู้ด้วยเสกจึงยอมไปหาหมอแต่โดยดี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน