ยื่นทูตขอตัวแหม่ม 19 ให้ข้อมูล โจ๊กสอบไม่พบขืนใจ ยันตรวจรอบด้านทุกประเด็น เรียก”มาร์ติน”เพื่อนสนิทด้วย แม่เหยื่อโวย-โต้มีหลักฐานชัด

ยันไม่พบเหตุมอมยา ข่มขืน แหม่ม วัย 19 – “บิ๊กโจ๊ก”ลงเกาะเต่า สอบพยานเก็บรวบรวมหลักฐาน พร้อมประสานสถานทูตอังกฤษ หาตัวแหม่มสาวต้นเรื่อง เดินทางกลับมาแจ้งความ พร้อมนำหลักฐานมอบให้เจ้าหน้าที่ รวมทั้งมาร์ติน เพื่อนชายคนสนิทด้วย เผยผลการสอบสวนพบว่าแหม่มสาวเสียใจ ที่มีสัมพันธ์กับมาร์ติน ขณะที่แฟนหนุ่มกำลังตามมาที่ประเทศไทย เมื่อให้ไปแจ้งความก็ปฏิเสธ ขณะที่พบมีเรื่องชกต่อยระหว่างมาร์ตินกับแฟนหนุ่มของเหยื่อสาวด้วย เตรียมเอาผิดเพจออนไลน์ใส่ร้ายให้เจ้าหน้าที่เสื่อมเสีย ด้านแม่สาวอังกฤษโต้ ยันมีคดีจริงมอบหลักฐานให้ตร.อังกฤษเรียบร้อย

เมื่อวันที่ 28 ส.ค. พล.ต.ต.อภิชาติ บุญศรีโรจน์ ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี กล่าวถึงกรณีแหม่มสาวชาวอังกฤษ วัย 19 ปี เปิดเผยกับสื่ออังกฤษว่าถูกมอมยา ข่มขืน ระหว่างมาเที่ยวที่เกาะเต่า ประเทศไทย เมื่อคืนวันที่ 25 มิ.ย.61 โดยไปแจ้งกับตำรวจ สภ.เกาะพะงัน เเต่ตำรวจไม่ลงข้อมูลเรื่องการข่มขืนเพียงลงว่า โทรศัพท์ไอโฟน 7 พลัส กับเงินสด 3,000 บาท และบัตรเดบิต 4 ใบหายไป ว่า ข้อมูลที่อ้างว่าเหตุเกิดขึ้นเวลา 01.30 น. จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ช่วงเวลาดังกล่าวยังมีนักท่องเที่ยว และผู้คนเดินพลุกพล่าน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก และใกล้บริเวณดังกล่าวมีชุดสายตรวจเกาะเต่าที่เข้าตรวจในเวลา 03.00 น. โดยใช้ระบบคิวอาร์โค้ดที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ ฉะนั้นเหตุจะเกิดจริงหรือไม่นั้นต้องตรวจสอบ และกล้องวงจรปิดบริเวณดังกล่าวในระยะ 300 เมตรมีอยู่ 7 ตัวยังใช้ได้ทั้งหมด

พล.ต.ต.อภิชาติกล่าวว่า ผู้เสียหายไม่ยอมแจ้งความตั้งแต่วันแรก และนำเรื่องไปแจ้งให้เจ้าของที่พักทราบ ซึ่งเจ้าของที่พักพยายามชักชวนให้ไปแจ้งความแต่ได้รับการปฏิเสธ แต่กลับไปเที่ยวงานฟูลมูนปาร์ตี้ที่เกาะพะงัน และไปแจ้งความทรัพย์สินสูญหายที่ สภ. เกาะพะงัน ในช่วงบ่ายวันที่ 27 มิ.ย. ซึ่ง สภ.เกาะพะงัน ยืนยันชัดเจนว่าผู้เสียหายไม่ได้เล่าเรื่องข่มขืนให้ฟัง เชื่อว่าหากบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานสอบสวนคงไม่กล้าปกปิดเอาไว้ เนื่องจาก สภ. เกาะพะงัน ไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ต้องรับผิดชอบการสอบสวนสืบสวนเหตุดังกล่าว

“จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับแจ้งความและเป็นการเสี่ยงที่จะไม่ทำ จะถือเป็นการละเว้นปฏิบัติหน้าที่และถูกดำเนินคดีทางอาญากับวินัยร้ายแรงได้ คดีนี้จะสรุปได้เร็วมากน้อยแค่ไหน ต้องขอความร่วมมือจากผู้เสียหาย ขอให้เข้าใจหน้าที่ของพนักงานสอบสวน และความเดือดร้อนของชาวเกาะเต่า เกาะพะงัน ถ้าไปให้ข่าวในทำนองเช่นนี้จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้ผู้นำท้องถิ่น ผู้ประกอบการ เร่งชี้แจงเพราะเหตุไม่ได้รุนแรงตามที่เป็นข่าวและยังท่องเที่ยวได้ตามปกติ” พล.ต.ต.อภิชาติกล่าว

พล.ต.ต.อภิชาติกล่าวว่า สั่งการให้ สภ.เกาะเต่า ร่วมกับฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง จัดเจ้าหน้าที่เดินเท้าตรวจตลอด 24 ชั่วโมง และต้องตรวจห้ามไม่ให้มีนักท่องเที่ยวตกค้างอยู่บนชายหาดในกลางคืนอย่างเด็ดขาด โดยจะหารือผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ขอจัดสรรงบประมาณติดตั้งกล้องวงจรปิดที่จะเรียกดูจากที่ บก.ภ.จว.สุราษฎร์ฯ

ที่ สภ.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี พ.ต.อ.วิชอบ เกิดเกลี้ยง รอง ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการตรวจข้อเท็จจริงกรณีเหตุละเมิดทางเพศนักท่องเที่ยวสัญชาติอังกฤษ พร้อมพนักงานสอบสวน กก.สส.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 8 ตำรวจท่องเที่ยว และตำรวจตรวจคนเข้าเมืองสุราษฎร์ธานี เข้าสอบปากคำพยานแวดล้อมที่อยู่ในบริเวณแหลม จปร. หาดทรายรี หมู่ 1 ต.เกาะเต่า โดยเชิญ ผู้ประกอบการบาร์ ร้านอาหารและที่พัก รวมถึงประชาชนที่มีที่พักอาศัยอยู่บริเวณที่ถูกอ้างเป็นที่เกิดเหตุตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ 21-26 มิ.ย.2561 และช่วงเวลา 01.00-05.00 น.วันที่ 25-26 มิ.ย.2561 มาให้ปากคำ

พ.ต.อ.วิชอบกล่าวว่า การสอบปากคำพยานเพื่อรวบรวมหลักฐาน โดยเน้นสอบพยานบุคคลในห้วงเวลาวันที่ 21-26 มิ.ย.61 เพื่อให้ทราบว่าช่วงเวลาที่ผู้เสียหายพำนักอยู่ที่เกาะเต่า เดินทางท่องเที่ยวและใช้ชีวิตประจำวันอย่างไร โดยการทำงานคณะสอบสวนจะทำให้รอบด้านทุกมิติตามรูปแบบของสำนวนการสอบสวนปากคำ เพื่อให้ทราบว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏเป็นข่าวนั้นมีความผิดเกิดขึ้นจริงหรือไม่ แล้วรวบรวมสำนวนตรวจสอบข้อเท็จจริงเสนอต่อผู้บังคับบัญชาต่อไป

“ผู้การฯสุราษฎร์ธานี มอบให้ผมในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ร่างหนังสือเพื่อแจ้งถึงผู้เสียหาย โดยมีประเด็นการสอบสวนปากคำเกี่ยวกับ 1.รายละเอียดทรัพย์สินที่สูญหาย 2.กรณีการถูกล่วงละเมิดทางเพศ 3.การนำส่งพยานหลักฐานที่ผู้เสียหายอ้างว่าได้เก็บเสื้อผ้าที่มีคราบอสุจิไว้ รวมถึงการเรียกตัวนายมาร์ติน มาลาชิ อายุ 20 ปี เพื่อนชายชาวอังกฤษ มาสอบปากคำในฐานะพยานด้วย

พ.ต.อ.วันชนะ บวรบุญ ผกก.ตม.6 สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลนายมาร์ตินเพื่อนชายของแหม่มสาว พบว่าเดินทางเข้ามาประเทศไทยเมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 2561 ทางด่านสุวรรณภูมิ ก่อนแหม่มสาว 1 วัน และเดินทางออกจากประเทศไทย ที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก จ.สระแก้ว เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2561 และกลับเข้ามาประเทศไทยอีกครั้งในวันที่ 16 ก.ค. ก่อนจะเดินทางออกจากประเทศไทย เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2561 ทางด่านสุวรรณภูมิ ขณะที่แหม่มสาว พบว่ามีการเดินทางเข้าออกประเทศไทยหลายครั้ง ตั้งแต่เดือนมี.ค. 2561 รวม 3 ครั้งต่อเนื่องกัน แต่ละครั้งจะใช้เวลาอยู่ในประเทศไทยคราวละ 30 วัน โดยล่าสุดเข้ามาเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2561 และเดินทางออกนอกประเทศเมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2561

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์ สุววรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์หลังประชุมครม.ว่า กรณีเกาะเต่าได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้ว โดยพล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบช.ท่องเที่ยว ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการก็ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้ว ส่วนข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ต้องรอให้มีผลการสอบสวนออกมาก่อน ขอให้เวลาเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานก่อนคาดว่า 1-2 วัน จะรู้เรื่อง และหากมีการตรวจสอบแล้วไม่พบว่าเหตุเป็นไปตามที่นักท่องเที่ยวคนดังกล่าวอ้างก็ต้องให้ทนาย และผู้มีความรู้ทางกฎหมายเข้ามาดูว่าจะทำอย่างไรต่อไปได้บ้าง

เมื่อถามว่าได้รับรายงานเรื่องกล้องวงจรปิดบริเวณจุดเกิดเหตุมีปัญหาหรือไม่ พล.อ. ประวิตรกล่าวว่า ไม่มี ไม่รู้

เวลา 13.30 น. พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ รองผบช.ทท.ในฐานะรองผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญา กรรมทางเทคโนโลยี (ศปอส.ตร.) พล.ต.ต. ปรีดี พงศ์เศรษฐสันต์ รองผบช.สพฐ พ.ต.อ. อาชยน ไกรทอง รอง ผบก.ทท.1 พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รองผบก.ทท.2 พ.ต.อ.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบก.สปพ. พ.อ.พิรุณ นยโกวิทย์ ผบ.ชป.รต.ศปภอ.ทบ.4 พ.ต.ท. อาริศ คูประสิทธิรัตน์ รองผกก.สายตรวจ พ.ต.ท.นพา เสนาทิพย์ รอง ผกก.สอบสวน สภ.เกาะเต่า ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง

พ.ต.ท.นพา เสนาทิพย์ รอง ผกก.สอบสวน สภ.เกาะเต่า เปิดเผยว่า ช่วงเวลาที่เกิดเหตุ ตร.สภ.เกาะเต่า ไม่ทราบเรื่องจนกระทั่งวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา ในช่วงบ่าย น.ส.ภัทรา แจ่มตระกูล เจ้าของโฮสเทล ดิไฮฟ์ เกาะเต่า มาแจ้งว่าลูกค้าที่มาพักที่โฮสเทล อ้างว่าถูกข่มขืน ทางพนักงานสอบสวน สอบถามว่ามีข้อมูลอะไรบ้าง แต่กลับไม่มีข้อมูลอะไรเลย เป็นเพียงคำบอกเล่าของผู้เสียหาย หลังรับเรื่องจึงสั่งการให้ชุดสืบสวนลงพื้นที่ตรวจเก็บกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุและใกล้เคียง แต่เหตุการณ์เกิดขึ้นหลายวัน ทำให้ภาพจากกล้องวงจรปิดถูกลบ เพราะย้อนหลังไปได้ 7 วัน จึงขอข้อมูลเพิ่มเติม แต่ผู้เสียหายก็เงียบไปและไม่ติดต่อกลับมาอีกจนกระทั่งเป็นข่าวที่ประเทศอังกฤษและในเพจเฟซบุ๊กแห่งหนึ่ง

“ยืนยันว่าส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทุกอย่าง ส่งทีมมาร่วมกับตำรวจภูธรภาค 8 ตร.เกาะเต่า และตร.ท่องเที่ยว มาร่วมประสานตั้งแต่วันแรก ตร.ไม่ได้นิ่งนอนใจ วันนี้จึงมาตรวจสอบพื้นที่ ส่วนภาพของผู้ต้องหาคดีอนาจาร 2 คน ที่ก่อคดีช่วงเดือนสิงหาคม และมีลักษณะคล้ายกับที่ผู้เสียหายกล่าวอ้างว่า มีรูปร่างสูงดำ ผมหยิกนั้น ตร.สภ.เกาะเต่า ส่งให้เจ้าของโฮสเทล เพื่อส่งต่อให้ผู้เสียหาย ชี้ตัวว่าใช่บุคคลเดียวกับที่ก่อเหตุหรือไม่” พ.ต.ท.นพากล่าว

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าวว่า หลังเกิดเหตุสั่งการให้พนักงานสอบสวน สอบพยานบุคคลและเก็บวัตถุพยานเอาไว้แล้วจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะคำให้การของน.ส.ภัทรา เจ้าของโรงแรมที่พักที่นักท่องเที่ยวสาวพักอยู่ ซึ่งยืนยันว่าวันเกิดเหตุแหม่มสาวชาวอังกฤษ นั่งร้องไห้เสียใจบริเวณหน้าโรงแรมจริง และบอกว่าพลาดพลั้งไป มีความสัมพันธ์กับเพื่อนชายที่มาเที่ยวด้วยกัน คือนายมาร์ติน เนื่องจากดื่มสุรามึนเมา ประคองสติไม่อยู่ แต่กลัวแฟนหนุ่มที่กำลังจะเดินทางมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้าทราบ จึงไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ทางเจ้าของโรงแรมให้ข้อแนะนำให้ผู้เสียหายไปร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวน แต่จนสุดท้ายก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปกลับพบว่าแหม่มสาวดังกล่าวถึงไปแจ้งความว่าของหาย อย่างไรก็ตามจะต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏ ซึ่งจนถึงขณะนี้จากการตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดทั้งพยานหลักฐาน ปากคำพยาน และร่องรอย และสารที่อ้างว่าถูกมอมยา ยังไม่พบว่ามีเหตุการณ์ข่มขืนเกิดขึ้น แต่หากผู้เสียหายมามาแจ้งความ มีหลักฐานใหม่อื่นๆ ว่ามีการข่มขืนเกิดขึ้นจริง ทางเจ้าหน้าที่ก็พร้อมจะดำเนินการให้ถึงที่สุด

“เมื่อเช้าผมประสานสถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ก็ระบุว่า ยังติดต่อกับ ผู้เสียหายไม่ได้ ซึ่งหลังจากนี้จะร้องขอผ่านทางสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประเทศไทย ให้ประสานงานเพื่อขอให้ผู้ เสียหายเดินทางกลับมาในประเทศไทยอีกครั้ง โดยยืนยันว่าหากเรื่องนี้เป็นกรณีที่เกิดจากการพลาดพลั้งเพราะครองสติไม่อยู่ ก็จะถือว่าไม่ใช่การข่มขืน” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าว

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้พนักงานสอบสวนรายงานมาว่า หลังเกิดเหตุการณ์ที่นายมาร์ตินมีปากเสียงกับแฟนหนุ่มของแหม่มสาว จนเกิดการชกต่อยกันขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ก็ไม่ได้มีการแจ้งความใดๆ อย่างไรก็ตามจากข้อมูลขณะนี้ที่ทุกฝ่ายลงพื้นที่ตรวจสอบสรุปได้ว่าไม่มีเหตุการณ์ข่มขืนแหม่มสาวชาวอังกฤษเกิดขึ้นจริง แต่หากทางครอบครัวสงสัยหรือยืนยันว่ามีการข่มขืนจริงก็ขอความร่วมมือให้เดินทางกลับมาที่ประเทศไทย เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเคยมีหลายกรณีที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและได้แจ้งความว่าถูกทำร้ายร่างกายและทรัพย์สินสูญหาย ซึ่งเมื่อตรวจสอบก็พบว่าไม่เป็นตามที่ระบุ จึงขอฝากถึงนักท่องเที่ยว หากมาเที่ยวในประเทศไทยแล้วเกิดเหตุการณ์ให้มาแจ้งความ เจ้าหน้าที่จะให้ความเป็นธรรมทุกคน ส่วนเว็บที่ปล่อยข่าวบิดเบือนข้อมูล ในส่วนนี้เข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีโทษจำคุก 5 ปี เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่า 14 คน ที่ชมและแชร์วิจารณ์สร้างความเสียหายให้กับประเทศด้านการท่องเที่ยวซึ่ง อยู่ระหว่างดำเนินการ โดยในวันที่ 29 ส.ค.จะเดินทางพบกงสุลอังกฤษประจำประเทศไทย เพื่อชี้แจงข้อมูลให้ทราบต่อไป

พล.ต.ต.ปรีดี รอง ผบช.สพฐ. กล่าวว่า สิ่งที่ทางการไทยต้องการ และถือเป็นหลักฐานสำคัญที่คลี่คลายข้อเท็จจริงได้อย่างชัดเจน คือเสื้อผ้าของผู้เสียหายในวันเกิดเหตุ หากนำติดตัวกลับมาด้วยก็จะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี

ด้านแม่ของแหม่มสาวให้สัมภาษณ์ “ข่าวสด”ว่า ลูกสาวตนเคยทำงานในศูนย์พักพิงเด็กกำพร้า ที่ประเทศศรีลังกา 2 เดือน ก่อนจะเดินทางมายังประเทศไทยพร้อมกับเพื่อนชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งที่รู้จักกันระหว่างทาง เมื่อมาถึงประเทศไทยแล้ว ผู้เสียหาย และเพื่อนได้เดินทางไปเกาะพีพี จ.ภูเก็ต และ เกาะเต่า โดยมีแผนจะเดินทางต่อไปยังเกาะพะงันในวันที่ 26 มิ.ย.

โดยขณะที่ลูกสาวและเพื่อนคนหนึ่งเดินทางไปดื่มเหล้าที่ลีโอบาร์ หาดทรายรี ในคืนวันที่ 25 มิ.ย. จู่ๆ ทั้งสองก็รู้สึกง่วงนอน จึงตัดสินใจเดินทางกลับที่พัก แต่ระหว่างทางทั้งสองเห็นผู้ชายชาวไทยคนหนึ่งตะโกนเรียกที่ชายหาด จากนั้นก็หมดสติไป รู้สึกตัวอีกทีถึงรู้ตัวว่าถูกข่มขืน และจำได้ว่าผู้ก่อเหตุขี่รถมอเตอร์ไซค์หลบหนีไป ทั้งนี้ลูกสาวเก็บเสื้อยืดสีดำที่ใส่ระหว่างเกิดเหตุไว้เป็นหลักฐานด้วย

วันถัดมา ผู้เสียหายและเพื่อน เดินทางไปยังเกาะพะงัน และพยายามแจ้งความเหตุข่มขืน แต่ตำรวจระบุว่าไม่สามารถรับแจ้งความได้ เนื่องจากไม่ใช่พื้นที่สภ. และรับแจ้งความได้เฉพาะเหตุชิงทรัพย์สินเท่านั้น จากนั้นลูกสาวกลับประเทศ แต่ผู้เสียหายยังอยู่ต่อ และพยายามไปแจ้งความที่สภ.เกาะเต่า ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เดินทางไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ลีโอบาร์ แต่ได้รับแจ้งว่า ข้อมูลถูกลบไปแล้ว

แม่ของแหม่มสาวกล่าวอีกว่า ลูกสาวไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอังกฤษ และขณะนี้อยู่ภายใต้การดูแลของศูนย์ช่วยเหลือ ผู้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ นอกจากนี้ ยังได้แจ้งความและมอบเสื้อยืดในวันที่เกิดเหตุให้แก่ตำรวจสถานีลูวิแชม ไว้เป็นหลักฐานด้วย

“การปฏิเสธข่าวที่ลูกสาวของดิฉันถูกข่มขืน เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง ดิฉันขอแนะนำว่า ไม่ควรมีใครเดินทางไปเที่ยวประเทศไทยจนกว่าเรื่องอันน่าประณามนี้ ได้รับการจัดการอย่างเรียบร้อย”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน