‘บิ๊กร.ร.’ ค้านเกณฑ์ของ ศธ. เฟ้นหา ‘ผอ.’ หวั่นเกิดทุจริตเงินสะพัดมโหฬาร ตั้งสัดส่วนคะแนนสอบสัมภาษณ์ถึง 50 คะแนน มีโอกาสเจรจา รับเงินใต้โต๊ะ

มัธยม – วันที่ 1 ต.ค. นายรัชชัยย์ ศรสุวรรณ นายกสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย (ส.บ.ม.ท.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ยกร่าง หลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้อำนวยการสถานศึกษาในสังกัดสพฐ. ใหม่ เบื้องต้นใช้วิธีการสรรหา ซึ่งมีทั้งการสอบข้อเขียน และการประเมิน การสอบข้อเขียนจะไม่นำคะแนนมารวม เป็นการสอบเพื่อวัดความรู้ แค่ผ่าน หรือไม่ผ่าน จากนั้นจะใช้วิธีการประเมินแบบ 360 องศานั้น

ส่วนตัวเห็นว่า เกณฑ์การสรรหาดังกล่าว เอื้อให้เกิดการทุจริตได้ง่ายที่สุด โดยในส่วนที่ให้คะแนนสอบข้อเขียน เป็นเพียงการวัดความรู้ แค่ผ่าน หรือไม่ผ่าน และการประเมินประสบการณ์อายุงานนั้น ตนเห็นด้วย แต่ที่ไม่สบายใจ คือในส่วนของการสอบภาค ค หรือการสอบสัมภาษณ์ ทราบว่าให้สัดส่วนถึง 50 คะแนน อาจจะทำให้มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นบ่อเกิดของปัญหาทุจริต

“หากให้สัดส่วนคะแนนสัมภาษณ์ ถึง 50 คะแนน เท่ากับว่า การสัมภาษณ์จะมีบทบาทสูง ถึงขั้นมีผลล้มล้างคะแนนภาค ข ผมกังวลว่า จะทำให้เกิดปัญหาทุจริตขึ้นในวงการศึกษาอย่างมโหฬาร ดูจากแค่การย้ายผู้บริหารสถานศึกษา จากโรงเรียนประถมมามัธยม มีการใช้เงินเพื่อให้ได้ย้าย 6-7 แสนบาท แล้วคิดดูว่า ถ้าเป็นตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ยอดเงินจะพุ่งสูงมากเท่าไร

ขณะเดียวกันการให้คะแนนวิสัยทัศน์นั้น ผมก็ไม่เห็นด้วย เพราะการเขียนวิสัยทัศน์ อาจไม่สะท้อนเป้าหมายในการทำงานของบุคลดังกล่าวอย่างแท้จริง เพราะสามารถจ้างเขียน หรือให้คนอื่นทำแทนได้ หรือหากให้เป็นการพูดแสดงวิสัยทัศน์ ก็สามารถท่องจำได้ ซึ่งส่วนตัวเห็นว่า ก่อนออกเกณฑ์ศธ. ควรสอบถามความเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียให้รอบด้านก่อน” นายรัชชัยย์ กล่าว

ทั้งนี้ตนอยากเสนอให้แยกการสรรหาผู้อำนวยการโรงเรียนประถม และมัธยมออกจากกัน ที่พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่ารังเกียจ แต่เพราะการบริหารงานของประถม และมัธยมมีความแตกต่างกัน หากสอบร่วมกัน อาจเป็นปัญหา เช่น รองผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยม ที่สอบได้ขึ้นบัญชี หากสอบรวมกัน แล้วได้รับการบรรจุแต่งตั้งในโรงเรียนประถม ก็อาจเป็นปัญหา ทำให้ในส่วนของมัธยม สูญเสียบุคลากรที่มีความสามารถ ขณะที่โรงเรียนประถม ก็อาจได้ผู้อำนวยการโรงเรียนที่บริหารงานได้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์อย่างแท้จริง

นากยกส.บ.ม.ท. กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ตนยังอยากถามไปยังสำนักงานก.ค.ศ. และสพฐ. ว่าที่ผ่านมา ทำไมถึงไม่มีการสอบขึ้นบัญชีผู้อำนวยการสถานศึกษา ปล่อยทิ้งไว้ 1-2 ปี นั้นมีเจตนาอะไร ที่สำคัญยังไม่เคยเปิดให้รองผู้อำนวยการสถานศึกษาได้สอบเพื่อขึ้นบัญชีไว้ก่อน ทั้งที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) คืนอัตราเกษียณมาให้ 100 เปิอร์เซ็นต์ แต่กลับปล่อยให้มีตำแหน่งว่างถึง 4,000 อัตรา ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

ส่วนกรณีปัญหาเรื่องการย้าย ซึ่งมีการฟ้องร้องอยู่นั้น ถือเป็นคนละเรื่องกับการสอบขึ้นบัญชี การสอบขึ้นบัญชีเพื่อเตรียมความพร้อม หากพื้นที่ใดเรียบร้อย ก็สามารถดึงจากบัญชี ไปบรรจุแต่งตั้งได้ทันที แต่ผู้มีอำนาจในเรื่องนี้กลับไม่ดำเนินการ ปล่อยให้มีตำแหน่งผู้ว่างอยู่จำนวนมาก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน