อัยการสั่งไม่ฟ้องหลวงพี่แป๊ะ เลขานุการสมเด็จวัดปากน้ำ ในคดีรถโบราณที่สมเด็จช่วงมีชื่อครอบครองรถ ชี้หลักฐานไม่ถึง บางข้อหาก็ขาดอายุความ แต่สั่งฟ้อง“ 3 เอกชนนำเข้าชิ้นส่วนเบนซ์โบราณสมเด็จช่วง” ปลอมเอกสาร-เลี่ยงภาษี พร้อมรอฟ้องอีก “3 เอกชน เจ้าของอู่” วันที่ 10 ก.พ.นี้ ส่วนสำนวนคดีหลวงพี่แป๊ะยังไม่จบ รอส่งให้อธิบดีดีเอสไอทำความเห็นแย้งหรือไม่ตามขั้นตอน

เมื่อเวลา 16.20 น.วันที่ 12 ม.ค. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก เรือโท สมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงการสั่งคดีที่พนักงานสอบ สวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวหา พระมหาศาสนมุนี(ธนกิจ สุภาโว)หรือหลวงพี่แป๊ะเลขานุการสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ และผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ กับพวกเอกชนอู่ประกอบรถยนต์ รวม 7 คน กรณีเลี่ยงภาษีนำเข้ารถยนต์เบนซ์โบราณ คันหมายเลขทะเบียน ขม 99 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถที่อยู่ในความครอบครองของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญญมหาเถร) เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ ว่า

อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ มีความเห็นสั่งฟ้องนายพิชัย วีระสิทธิกุล เจ้าของอู่รถยนต์ ผู้ต้องหาที่ 1, หจก.ซี.ที.ออโต้พาร์ท โดยนายวสุ จิตติพัฒนกุลชัย ที่ 2, นายวสุ ที่ 3 ในฐานะส่วนตัว ฐานร่วมกันนำของที่ยังไม่ได้เสียค่าภาษี หรือที่ยังไม่ได้ผ่านศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร หรือร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งรู้ว่าเป็นของที่ยังไม่ได้เสียค่าภาษี หรือไม่ได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้อง, ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี และร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จ, ใช้เอกสารปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม และใช้เอกสารอันเกิดจากการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชน หรือเอกสารราชการ ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 และ 27 ทวิ, พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 มาตรา 165 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267, 268 ประกอบมาตรา 83 และ 91

นอกจากนี้ ยังสั่งฟ้อง นายเกษมศักดิ์ หรืออ๊อด ภวังคนันท์ หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.อ๊อด 89 เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) ซึ่งนำเข้าชิ้นส่วนรถโบราณ ผู้ต้องหาที่ 4 ฐานร่วมกันนำของที่ยังไม่ได้เสียค่าภาษีฯเข้ามาในราชอาณาจักร,ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี และร่วมกันแจ้งให้ เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จ, ร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม, ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม และใช้เอกสารที่เกิดจากการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จฯ ตาม พ.ร.บ.ศุลกากรฯ มาตรา 27 และ 27 ทวิ, พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฯ มาตรา 165 และประมวลกฎหมายอาญา 264, 265, 267, 268 ประกอบมาตรา 83 และ 91

ส่วนนายเมธีนันท์ หรือชลัช นิติฐิติวงศ์ ผู้ต้องหาที่ 5 สั่งฟ้องด้วยข้อหาร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี และร่วมกันแจ้งจดข้อความอันเป็นเท็จฯ, ร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม, ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม และใช้เอกสารที่จดข้อความอันเป็นเท็จฯ ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฯ มาตรา 165 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 267, 268 ประกอบมาตรา 83 และ 91 กับสั่งฟ้องนายสมนึก บุญประไพ ผู้ต้องหาที่ 6 ฐานร่วมกันแจ้งจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ, ร่วมกันปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม, ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม และใช้เอกสารอันเกิดจากการแจ้งจดข้อความอันเป็นเท็จ ตามประมวลอาญา มาตรา 264, 265, 267, 268 ประกอบมาตรา 83 และ 91

ทั้งนี้อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องพระมหาศาสนมุนี ผู้ต้องหาที่ 7 ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่เสียภาษีไม่ครบถ้วนตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฯ มาตรา 161 เนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานใดพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องหาที่ 7 รับรถยนต์ไว้โดยรู้ว่านายวิชาญเสียภาษีสรรพสามิตไม่ถูกต้อง และสั่งยุติการดำเนินคดีกับนายเกษมศักดิ์ ผู้ต้องหาที่ 4 , นายเมธีนันท์ ผู้ต้องหาที่ 5 และนายสมนึก ผู้ต้องหาที่ 6 ฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 เนื่องจากคดีขาดอายุความ และให้ยุติการดำเนินคดีกับพระมหาศาสนมุนี ผู้ต้องหาที่ 7 ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่เสียภาษีไม่ครบถ้วน ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิตฯ มาตรา 161 (1) กรณีครอบครองรถโบราณช่วงแรก เนื่องจากคดีขาดอายุความ

เรือโทสมนึกกล่าวต่อว่า หลังจากพนักงานอัยการมีคำสั่งดังกล่าวแล้วก็ได้นำตัวนาย เมธีนันท์ และนายสมนึก ผู้ต้องหาที่ 5-6 ซึ่งได้รับการประกันตัวและมารายงานตัวต่ออัยการในวันนี้ ไปยื่นฟ้องเป็นจำเลย พร้อมกับนายเกษมศักดิ์ ผู้ต้องหาที่ 4 ซึ่งขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ต่อศาลอาญาแล้ว โดยศาลประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีอาญาหมายเลขดำ อ.83/2560 ส่วนนายพิชัย ผู้ต้องหาที่ 1, หจก. ซี.ที.ออโต้พาร์ท โดยนายวสุ ผู้ต้องหาที่ 2 และนายวสุ ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการ ผู้ต้องหาที่ 3 ได้ขอเลื่อนนัดการส่งตัวฟ้อง เนื่องจากยังจัดหาหลักทรัพย์ที่จะใช้ยื่นประกันตัวในชั้นศาล และยังจัดหาทนายได้ไม่พร้อม ซึ่งพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 ได้นัดผู้ต้องหาที่ 1-3 มาเพื่อนำตัวยื่นฟ้องต่อศาลอาญาอีกครั้งในวันที่ 10 ก.พ.

เรือโทสมนึกยังกล่าวถึงคดีในส่วนของพระมหาศาสนมุนีว่า แม้ขณะนี้พนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้อง แต่ตามขั้นตอนจะต้องส่งสำนวนและความเห็นสั่งไม่ฟ้องนี้ให้อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พิจารณาทำความเห็นว่าจะเห็นแย้งกับคำสั่งคดีของอัยการที่สั่งไม่ฟ้องนี้หรือไม่ หากดีเอสไอยืนยันความเห็นให้ฟ้องก็จะต้องส่งสำนวนกลับมาให้อัยการสูงสุดพิจารณาชี้ขาดตามกฎหมายต่อไป

ด้านพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า ดีเอสไอต้องรอความเห็นอย่างเป็นทางการจากอัยการ เพื่อดูเหตุผลและข้อกฎหมาย ที่สั่งไม่ฟ้องพระมหาศาสนมุนีเพราะเหตุใดก่อนจะพิจารณาว่าจะมีความเห็นแย้งหรือไม่ ทั้งนี้ทั้งนั้นขอยืนยันว่าพนักงานสอบสวนดีเอสไอและพนักงานอัยการที่ร่วมสอบสวนในคดีนี้ ได้พิจารณาตามพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ และได้มีความเห็นสั่งฟ้องไปตามขั้นตอนการดำเนินคดี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน