วันที่ 13 ม.ค. จากกรณี นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อายุ 54 ปี อดีตข้าราชการครูที่ตกเป็นผู้ต้องคดีถูกศาลพิพากษาตัดสินให้จำคุก 3 ปี 2 เดือน ในคดีขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิตที่ อ.เรณูนคร จ.นครพนม เมื่อปี 48 และได้รับอภัยโทษเมื่อปี 58 รวมติดคุก 1 ปี 6 เดือน ต่อมาเจ้าตัวรวมถึงญาติได้ร้องไปยังกระทรวงยุติธรรมและดีเอสไอให้รื้อคดีขึ้นมาไต่สวนใหม่ ในวันที่ 16 มกราคมนี้ เนื่องจากเจ้าตัวที่ถูกดำเนินคดียืนยันว่าเป็นแพะรับบาปของคดีนี้ เพื่อเรียกร้องความชอบธรรมและชื่อเสียงของตระกูล แม้จะพ้นโทษมาแล้วแต่สังคมรอบข้างและเพื่อนร่วมงานยังตราหน้าว่าเป็นฆาตกร ต่อมาตร.เจ้าของคดีในขณะนั้น ชี้แจงออกสื่อว่าได้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาและมีหลักฐานชัดเจนว่า นางจอมทรัพย์ให้เป็นผู้รับโทษ โดยระบุหลักฐานที่เก็บได้คือสีเขียวที่ติดอยู่ในตัวรถจักรยานของคนเสียชีวิต โดยมีพยานจำนวน 3 คน ที่เห็นเหตุการณ์หนึ่งใน 3 คน ระบุว่า เห็นรถกระบะไม่ทราบรุ่น ทะเบียนรถ บค 56 สกลนคร สีเขียว ชนแล้วหนีไป

อย่างไรก็ตามเจ้าของรถที่ซื้อต่อ จากนางจอมทรัพย์ ได้กล่าวว่า วันเกิดเหตุพึ่งโอนรถมาจาก นางจอมทรัพย์ ซึ่งเป็นครูในหมู่บ้าน โดยนางจอมทรัพย์ได้ยืมรถไปในตอนกลางวัน และวันต่อมาคนซื้อรถต่อจึงไปรับรถโดยไม่ทราบรายละเอียดว่ารถได้ไปทำอะไรมาหรือไม่ ตรวจสอบด้านหน้ารถไม่มีรอยชนแต่มีรอยขูดด้านซ้ายของตัวรถ ตำรวจจึงเกิดความสงสัยต่อมาได้ออกหมายเรียกให้นางจอมทรัพย์ไปพบพนักงานสอบสวน จนต่อมานางจอมทรัพย์ยืนยันว่ายืมรถของเจ้าของรถที่ขายไปจริง แต่ระหว่างเกิดเหตุนั้นพักผ่อนอยู่บ้านจึงให้การปฏิเสธ ตำรวจสันนิษฐานว่าอาจเป็นสีอักษรในทะเบียนรถติดในจักรยาน จึงให้ตำรวจกองพิสูจน์ฐานทางวิทยาศาสตร์จังหวัดนครพนมตรวจสอบแต่ไม่ระบุได้แน่ชัดว่าใช่คันก่อเหตุหรือไม่ ก่อนจะส่งหลักฐานไปยังกองพิสูจน์หลักฐานเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด แต่ด้วยพยานหลักฐานที่มีโดยเฉพาะจิ๊กซอว์คนสำคัญคือคนซื้อรถต่อนางจอมทรัพย์ จึงส่งเรื่องฟ้องศาลตามคำให้การของตำรวจเจ้าของคดี

ล่าสุดวันนี้ นางจอมทรัพย์ ได้ออกมาแถลงโต้ โดยกล่าวว่าอยากตอบข้อสงสัยที่หลายคนอยากทราบว่า เมื่อวันที่ 11 มี.ค.48 ตนนั้นได้ขายรถให้คนในหมู่บ้าน โดยการจ่ายเงินและไปโอนรถที่สำนักงานขนส่งสกลนคร จนมีการแยกย้ายกันเวลาประมาณบ่ายสองของวันนั้น ตอนนั้นจึงขอยืมรถก่อนเนื่องจากไม่มีรถใช้และจะใช้รถไปดูรถในโชว์รูมเพื่อหาคันใหม่ จากนั้นไปทำธุระส่วนตัวกับหลานสาวในเขตเทศบาลนครสกลนคร ก่อนจะซื้อกับข้าวหน้าตลาดเทศบาลและเดินทางกลับบ้านพักที่บ้านม่วงไข่ ต.ด่านม่วงคำ ในเวลา 19.00 น. ยืนยันว่าทั้งวันไม่ได้เดินทางไปในเขตพื้นที่ อ.เรณูนคร จ.นครพนม แต่อย่างใด โดยรอยขูดด้านซ้ายเป็นรอยขูดเดิมกับรั้วลวดหนาว เมื่อ 2 ปีก่อนก่อนที่จะเกิดเรื่อง ซึ่งรถก่อนจะขายได้นำไปซ่อมในหมู่บ้านโดยการเคาะอย่างเดียวเพราะสีรถเสียหายไม่มากจึงหลงเหลือรอยให้เห็น ส่วนประเด็นที่ว่าทำไมรถต้องจอดอยู่ที่บ้านตนทั้งคืนเนื่องจาก ผู้เป็นแม่ของคนซื้อรถต่อจากตนอ้างว่าฤกษ์ไม่ดีให้เอารถที่จะซื้อต่อเข้าบ้าน วันต่อมาหลังจากทราบข้อกล่าวหา ตนได้นำเอาสามีและลูกเตรียมไปยืนยันเป็นพยาน แต่ทนายที่จ้างมาตำหนิว่าไม่ต้องเก่งกว่าทนายเดี๋ยวจัดการเอง พอตนเห็นสำนวนยังไงก็แพ้แน่นอน แม้พยามยามป้อนหลักฐานหรือวิธีการใดๆแต่ทนายเหมือนไม่ใส่ใจสุดท้ายศาลชั้นต้นสั่งจำคุก

 

นางจอมทรัพย์กล่าวว่า หลังจากไม่ไว้ใจทนาย ตนเองและหลานต้องหาทางพิสูจน์ตนเองให้ได้ว่าบริสุทธิ์ จึงเริ่มสืบว่ารถทะเบียน บค 56 มีที่ใดบ้างจึงเริ่มมีหลักฐานเพิ่มเติมคือ มีรถทะเบียน บค.56 มุกดาหาร แต่เป็นรถ อีซูซุ สีเขียว จากนั้นจึงได้ไปปรึกษาทนายชื่อดังรายหนึ่งในการยื่นมือเข้ามาช่วย จนทำให้ศาลอุทรณ์ยกฟ้องเพราะเชื่อว่าตนไม่ผิด ระหว่างที่ต่อสู้คดีจึงได้หลักฐานเพิ่มเติมจากสำเนาให้การในชั้นศาลของจนท.ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน อ้างอิงในสำนวน คดีดำที่ ป.357/25 3 ต.ค.48 ระบุโดยสรุปว่า จากการได้ตรวจพิสูจน์หลักฐานของกลุ่มการตรวจทางเคมีฟิสิกข์และชีววิทยา กรณีการชนกันบริเวณป้ายทะเบียนรถน่าจะมีรอยบุบหรือรอยกระแทกที่ป้ายทะเบียนไม่มากก็น้อย แต่ในทะเบียนรถของกลางไม่มีร่องรอยกระแทกหรือรอยบุบหรือเฉี่ยวชน ซึ่งระหว่างขูดสีทะเบียนไปตรวจสอบนั้นสภาพทะเบียน รถกระโตโยต้า สีบอร์นเงิน บค 56 สกลนคร นั้นอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ จึงไม่สามารถสรุปได้ว่าใช่รถที่ก่อเหตุหรือไม่ก่อนที่เรื่องจะส่งไปชั้นศาลฎีกา แต่ตอนนั้นไม่มีทนายแล้วเพราะไม่มีเงินจ้าง หมดค่าใช้จ่ายเยอะจากการประกันตัวหนี้สินเริ่มพะรุงพะรัง และไม่มั่นใจว่าทนายจะสู้ให้ได้หรือไม่ มั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนผิด แต่สำนวนยังเป็นตัวเดิมตามที่ตำรวจสั่งฟ้อง ส่วนตนขณะนั้นพึ่งจะสืบสาวราวเรื่องจึงมีหลักฐานไม่เพียงพอ ทำให้ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก

 

“ตนได้ตั้งข้อสังเกตุว่า การทำงานของพนักงานสอบสวน เพราะเหตุใด เมื่อตนปฏิเสธข้อกล่าวหาแล้ว จนท.ตำรวจถึงพุ่งเป้ามาที่ตนทั้งที่ ตนได้ขายรถราคา 133,000 บาทและโอนไปตั้งแต่ตอนกลางวันให้คนในหมู่บ้านซื้อไปแล้ว และตนไม่ได้นำไปชนแล้วขายต่อด้วยซ้ำ เพราะโอนรถเปลี่ยนเจ้าของตั้งแต่กลางวัน ตนเข้าบ้าน 19.00 น.แต่เหตุเกิด 20.30 น.พื้นที่จากที่พักตนและที่เกิดเหตุห่างกันกว่า 50 กิโลเมตร ส่วนสีรถของตนและสีที่พบในจักรยานคนละสีกัน จะอ้างว่าสีทะเบียนตรงกับที่เกิดเหตุสงสัยได้ แต่อย่าลืมคิดว่าสีทะเบียรรถที่เป็นสีเขียว เป็นสีเขียวสีเดียวกันที่ใช้เฉพาะรถกระบะทั่วประเทศ เหตุใดไม่สงสัยเลยว่าจะเป็นรถคันอื่น แต่ตำรวจไปเชื่อคนในหมู่บ้านที่ซื้อรถไปอ้างฝ่ายเดียวในลักษณะ ตนเอารถไปเฉี่ยวชน ตำรวจได้สอบหรือไม่ว่ารถคันดังกล่าวใช้อยู่ที่ไหน แล้วทำไมตำรวจไม่ลงพื้นที่ในหมู่บ้านของตน เพื่อสอบถามว่าเห็นตนอยู่ที่บ้านในเวลาเกิดเหตุจริงหรือไม่” นางจอมทรัพย์ กล่าว

 

ส่วนกรณีที่ตำรวจทำสำนวนในตอนแรกว่าพยานระบุว่าขับรถส่องไฟดูป้ายทะเบียนและสีรถอย่างชัดเจนก่อนขับหนีไป นางจอมทรัพย์กล่าวว่า พยานให้การในชั้นศาลบอกว่าเบื้องต้นได้แจ้งพนักงานสอบสวนแล้วว่า เมื่อคนขับรถยนต์กระบะชนจักรยานหยุดแล้วพยานเห็นคนขับเปิดประตูรถด้านขวาลงมาเป็นผู้ชายแล้วเดินไปดูร่างชายแก่ และได้แจ้งพนักงานสอบสวนแล้วว่าคนขับรถยนต์เป็นผู้ชายแต่พนักงานสอบสวนจะลงไว้ในบันทึกหรือไม่ไม่ทราบ แต่ยืนยันว่าเคยให้การไว้ และไม่ได้บอกเพื่อนที่ขับรถจักรยานยนต์ตามหลังมา ว่ารถยนต์กระบะคันที่ชนนั้นเป็นยี่ห้ออะไร หมายเลขทะเบียนอะไร รวมถึงไม่บอกทางญาติด้วย เพราะตกใจประกอบกับแสงสว่างมีน้อยเพราะมืดค่ำ

 

“และท้ายที่สุดระหว่างที่ตนถูกจองจำนั้น เพื่อนๆต่างจังหวัดและญาติ ได้ทำการสืบทะเบียนสานต่อไว้แต่ต้นก่อนจะติดคุก และจนรู้ว่า นายสับ วาปี อายุ 59 ปี ต.กุดแข้ อ.เมือง จ.มุกดาหาร สารภาพต่อเพื่อนๆที่ไปสืบ ว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ เป็นเจ้าของรถคันก่อเหตุ คือ Isuzu สีเขียว ทะเบียน บค 56 มุกดาหาร ขาดต่อภาษี 2551 ยืนยันว่าแซงขวาแล้วเฉี่ยวชนจริงก่อนจะจอดรถและลงไปดูเห็นแน่นิ่งจึงขับหนีไป และไม่คิดว่าจะมีคนติดคุกแทน พร้อมกับจ่ายชำระค่าเสียหายกับครอบครัวเป็นเงิน 170,000 บาท และตนเชื่อมั่นว่าหลักฐานพยานที่มีอยู่ขณะนี้จะสามารถชี้แจงต่อศาลได้ในวันที่ 16 ม.ค.นี้” นางจอมทรัพย์ กล่าว

 

ที่มา มติชนออนไลน์

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน