ตร.พบพิรุธเพิ่ม มีคนสมอ้างขับรถชนคนตายแทนครูจอมทรัพย์ แต่ไม่ใช่นายสับ วาปี ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นานนี้ อีกทั้งรถที่อ้างว่าขับชนก็ไม่ใช่ของนายสับ ระบุหลังคำพิพากษาศาลฎีกา มีกลุ่มคนมาพบตร.สภ.เรณูนคร อ้างเป็นคนขับชนตัวจริง แต่อยู่นอกเขตพื้นที่การสอบสวน จึงทำบันทึกเสนอบช.ภ.4 เตรียมรับสอบสวนผลประโยชน์ของครูจอมทรัพย์ที่จะได้รับจากคดีนี้ ด้านอดีตส.ว.มุกดาหาร ยอมรับมีกลุ่มคนขึ้นรถตู้มาขอให้ช่วยครูจอมทรัพย์ เพราะสงสารที่จะถูกให้ออกจากราชการ แต่ปฏิเสธไปเพราะผ่านการพิพากษาศาลฎีกาแล้ว ยอมรับสงสัยทำไมไม่ต่อสู้ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ด้านพยานเห็นเหตุการณ์ยืนยันคนขับรถชนเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง รองปลัดยธ. พร้อม ส่งพยาน 3 ปากให้การ เชื่อทำให้ศาลกลับคำพิพากษาได้ ส่วนครูจอมทรัพย์ยังสบายดี ทีมทำคดีเฟซไทม์คุยด้วย

เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ปัญญา มาเม่น จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) เปิดเผยว่า หลังร้องขอให้ศาลรื้อฟื้นคดีครูจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร พล.ต.อ.จักทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กังวลใจว่าจะเกิดช่องโหว่ในการสอบสวน จึงสั่งการตนลงพื้นที่ไปตรวจสอบ ซึ่งพบว่าพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ดำเนินการตามขั้นตอนอย่างถูกต้องตั้งแต่การตรวจที่เกิดเหตุ

อย่างไรก็ตามการตรวจสอบพบว่าช่วงปลายปี 2556 หลังศาลฎีกามีคำพิพากษาครูจอมทรัพย์แล้ว ปรากฏว่ามีกลุ่มคน 7 คน ไปพบตำรวจสภ.เรณูนคร จ.นครพนม พร้อมนำบุคคลมากล่าวอ้างว่าคือตัวจริงที่ขับรถชนคู่กรณีเสียชีวิต เมื่อปี 2548 ไม่ใช่นางจอมทรัพย์ แต่ไม่ใช่เขตพื้นที่การสอบสวน จึงทำบันทึกไปที่บก.ภ.จว.นครพนม

ระหว่างนั้น กลุ่มคนทั้ง 7 ไปพบกับ พ.ต.อ. นายหนึ่ง และแสดงตัวว่าเป็นคนขับรถชน แต่ไม่ใช่นายสัก วาปี ที่ออกมาสมอ้างแทนครูจอมทรัพย์อยู่ในขณะนี้ ซึ่งได้สอบปากคำชายคนแรกไว้แล้ว จึงถือเป็นอีกข้อพิรุธ

นอกจากนี้ยังพบว่ารถยนต์ทะเบียน บค 56 มุกดาหาร ที่อ้างว่าเป็นของนายสัก วาปี แต่ไม่ปรากฏชื่อนายสักเป็นผู้ครอบครองรถตั้งแต่ปี 2547-2552 จึงเป็นอีก 1 ข้อพิรุธ ตอนนี้มีข้อมูลชาย 7 คนแล้ว และสอบปากคำชายที่มาสมอ้างเป็นคนขับรถชนคนแรก ซึ่งไม่ใช่นายสัก ยืนยันใน 1-2 วัน ความจริงจะปรากฏ โดยบ่ายวันนี้พนักงานสอบสวน จะดำเนินคดีกับขบวนการจัดฉากรับผิดแทนครูจอมทรัพย์ รวมถึงเร่งตรวจสอบประเด็นการได้ประโยชน์ ของครูจอมทรัพย์จากเรื่องนี้ด้วย

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. กล่าว่า ยืนยันทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังพิจารณาฟ้องเรียกค่าเสียหายกับขบวน การจัดฉากเรื่องนี้ เนื่องจากกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่น

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พ.ต.อ. กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งให้รื้อคดีครูจอมทรัพย์ ว่า ตำรวจไม่ได้นิ่งนอนใจ อยากให้ประชาชนรอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย ขอความร่วมมือประชาชนอย่าโพสต์ข้อความที่สุ่มเสี่ยง หรือคาดเดาคำพิพากษาศาล อาจจะมีความผิด เข้าข่ายละเมิดอำนาจศาลหรือเจ้าพนักงานได้

พ.ต.อ.กฤษณะกล่าวอีกว่า สำหรับการรื้อคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้กังวล เพราะทุกอย่างดำเนินไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ทุกประการ และไม่ใช่คดีที่สลับซับซ้อน เจ้าหน้าที่จะต้องตรวจสอบทุกมิติ รวมทั้งบุคคลที่คาดว่าจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ด้วย

ที่ห้องประชุมชั้น 5 บก.ภ.จว.นครพนม พล.ต.ท.มนู เมฆหมอก ผู้ช่วยผบ.ตร. พร้อมพล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิ์เดชไพบูลย์ รอง ผบช.ภาค 4 พล.ต.ต.ยรรยง เวชโอสถ ผบก.สส.ภาค4 พล.ต.ต.ธีฑัต อิ่มทั่ว ผบก.ภ.จว.นครพนม และพ.ต.อ.ศักดิ์ชาย สาดมะเริง รอง ผบก.ภ.จว.นครพนม ประชุมติดตามความคืบหน้าคดีครูจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อายุ 56 ปี อดีตครูโรงเรียนแห่งหนึ่งในจ.สกลนคร ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุกเนื่องจากขับรถชนคนตาย ต่อมาเมื่อพ้นโทษ จึงร้องเรียนกับกระทรวงยุติธรรมว่าเป็นแพะของคดี ขณะที่นายสับ วาปี ออกมาแสดงตัวว่าเป็นผู้ขับรถชนคนตายเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ประชุมหารือเรื่องรถปิกอัพอีซูซุ ทะเบียน 56 มุกดาหาร ที่นายสับอ้างว่าเป็นคนขับชนคนตาย โดยให้ตรวจสอบว่าตอนนี้รถคันดังกล่าวอยู่ที่ไหน สภาพเป็นอย่างไร และใครเป็นผู้ครอบครอง พร้อมลงพื้นที่จุดเกิดเหตุ ถนน 2031 สายบ้านธาตุน้อย อ.ธาตุพนม-บ้านนาเหนือ ช่วงบ.สร้างเม็ก ต.ท่าลาด อ.เรณูนคร พื้นที่สภ.นาโดน จ.นครพนม

พ.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะมุกดาธนพง อดีตส.ว.มุกดาหาร ที่ถูกพาดพิงว่ารู้เห็นว่ามีขบวนการรับจ้างติดคุก เผยว่า ไม่ทราบว่านายสับ วาปี เป็นคนขับรถในวันดังกล่าวจริงหรือไม่ โดยเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2556 มีกลุ่มคนกว่า 10 คนนั่งรถตู้มาพบ ขอให้ช่วยครูจอมทรัพย์ด้วย เพราะหลังถูกสั่งจำคุก ก็ถูกตั้งกรรมการสอบสวนให้ออกจากราชการ อาจจะไม่ได้บำเหน็จบำนาญ ให้หาทางช่วยหน่อย เพราะครูน่าสงสาร จึงบอกกับคนกลุ่มนี้ว่าไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะเป็นคำพิพากษาของศาลฎีกา ถ้าเป็นแค่ชั้นต้น หรืออุทธรณ์ก็พอจะให้คำแนะนำได้ ซึ่งก็ให้คำแนะนำไปธรรมดา เหมือนกับคนทั่วไปที่มาหา จากนั้นเขาก็กลับไป

เมื่อถามว่าพบมีการถ่ายรูปขณะหารือไว้แล้วนำไปร้องต่อดีเอสไอ พ.ต.ท.จิตต์กล่าวว่า กลุ่มคนที่มาถ่ายรูปจากโทรศัพท์มือถือและวิดีโอ แต่ตนก็บอกว่าอย่าถ่ายเลย จะมาปรึกษากันก็ควรให้เกียรติกันหน่อย ส่วนเรื่องครูจอมทรัพย์ ก็เป็นเรื่องของศาลที่จะใช้ดุลพินิจ

เมื่อถามว่าส่วนตัวรู้จักนายสับ หรือไม่ พ.ต.ท.จิตต์กล่าวว่า นามสกุลวาปี เป็นนามสกุลแม่ของตน แต่นามสกุลศรีโยหะ และวาปี มีทั้งตำบล เป็นญาติกันทั้งนั้น ส่วนนายสับ เกิดที่ต.มุกดาหาร แต่ไปได้ภรรยาที่ต.กุดเข้

“ตอนเขามาหารือ ผมก็ยังถามว่าทำไมไม่มาแสดงตนหรือหารือตั้งแต่ศาลชั้นต้น เมื่อศาลฎีกาพิพากษาก็ช่วยอะไรไม่ได้ จริงๆ ผมไม่อยากเป็นข่าว เพราะพ่อตนก็ป่วยอยู่” พ.ต.ท.จิตต์กล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับบุคคลกลุ่มนี้ มาพบพ.ต.ท.จิตต์ เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2556 จากนั้น วันที่ 1 ธ.ค. 2556 ก็ไปหารือกับญาตินายเหลือ พ่อบำรุง ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์รถชนดังกล่าว พร้อมเจรจาจ่ายค่าเสียหาย 1 แสนบาท แต่ญาติผู้ตายขอเป็น 1.5 แสนบาท สุดท้ายก็ไม่มีการจ่ายเงินกัน ศาลแพ่งจึงรับฟ้องเมื่อปี 2557 และสั่งให้จ่ายเงินแก่ญาติ ผู้ตายเป็นเงิน 1.7 แสนบาท

ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีนางจอมทรัพย์ ว่าในวันที่ 8-10 ก.พ. ที่ศาลนัดสืบพยานในคดีของนางจอมทรัพย์ ในส่วนของกระทรวงยุติธรรม นำพยานหลักฐานใหม่ 3 ปาก ซึ่งสอดคล้องกับนางจอมทรัพย์เข้าไปนำสืบ พร้อมทั้งนำวัตถุพยานใหม่ที่ไม่เคยนำเสนอต่อศาลก่อนหน้านี้ไปด้วย โดยเราตรวจสอบความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานใหม่เหล่านี้แล้ว เชื่อว่าครูจอมทรัพย์เป็นแพะจริง และทำให้ศาลสามารถกลับคำพิพากษาได้

พ.ต.อ.ดุษฎีกล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนและคณะทำงานหารือร่วมกัน และเฟซไทม์พูดคุยกับนางจอมทรัพย์ และพยานปากสำคัญอีกด้วย ทั้งหมดมีความมั่นใจ และเชื่อว่าจะสามารถทำให้ศาลรับพิจารณาในการรื้อฟื้นคดีใหม่ได้

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่บ้านเลขที่ 8 หมู่ 2 บ.นาคู่ ต.นาคู่ อ.นาแก จ.นครพนม ซึ่งเป็นบ้านไม้ 2 ชั้นของนางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ วัย 61 ปี พยานในคดีนางจอมทรัพย์ โดยนางทัศนีย์เผยว่า วันเกิดเหตุไปงานบุญแจกข้าวบ้านญาติที่ ต.ท่าลาด อ.เรณูนคร จ.นครพนม กระทั่งเวลา 19.30 น.ของวัน เกิดเหตุ ขณะขับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นดรีม สีขาว ทะเบียน ฉ 2744 นครพนม ออกจากบ้านงาน โดยมีนางทองเรศ วงศ์ศรีชา ซ้อนท้ายมาเพื่อกลับบ้านที่บ.นาคู่

นางทัศนีย์กล่าวต่อว่า ขณะออกจากบ้านงานได้ 20 เมตร มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งตามหลังมาด้วยความเร็วสูง พร้อมขับแซงนำหน้ารถตน เป็นจังหวะเดียวกันที่นายเหลือขี่จยย.ข้ามฟากมา กระบะคันดังกล่าวพุ่งชนด้านขวา จนร่างของนายเหลือ ลอยกระเด็นตกห่างจุดชนหลายเมตร

จากนั้นตนและนางทองเรศ เห็นคนขับรถกระบะ ที่เป็นผู้ชาย รูปร่างท้วม สวมเสื้อแขนยาวสีดำ รองเท้าหนัง เดินรถมานั่งยองๆ ดูว่านายเหลือเสียชีวิตหรือไม่ แล้วขึ้นรถขับหนีออกไป จำได้แม่นว่าทะเบียนก็คือ หมายเลข 56 ส่วนหมวดอักษรจะเป็น บค หรือ บต ก็ไม่แน่ใจ ไม่เห็นหมวดจังหวัด และจำสีรถไม่ได้ ที่สำคัญจำได้แม่นว่ารถกระบะคันนี้ติดหลังคาแครี่บอย

นางทัศนีย์กล่าวอีกว่า หลังจากประมาณ 1 สัปดาห์ ตำรวจจาก สภ.นาโดน มีหมายเรียกไปให้ปากคำ จึงเล่าเหตุการณ์ตามที่ได้เห็น แต่พนักงานสอบสวนไม่ได้ถามเรื่องรถชนกันว่าคนขับเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย กระทั่งไปขึ้นศาลแล้วศาลจึงถามว่าคนขับเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จึงตอบว่าเป็นผู้ชาย ศาลจึงถามต่อว่าทำไมตนไม่ให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน จึงตอบว่าเขาไม่ได้ถาม ประเด็นสำคัญรถกระบะคันที่พุ่งชนนายเหลือนั้นติดหลังคาแครี่บอย

เมื่อถามว่า เคยเห็นรถของครูจอมทรัพย์หรือไม่ นางทัศนีย์ระบุว่า ไม่เคยเห็นและ ไม่ได้เป็นญาติกัน ระหว่างนั้นมีรายการทีวีโทรศัพท์มาขอสัมภาษณ์เสียงสดออกอากาศ ก็พูดและยืนยันคำเดิมว่าคนขับรถกระบะ ที่ชนนายเหลือนั้นเป็นผู้ชาย เมื่อพิธีกรถาม ว่านางทัศนีย์กลัวหรือไม่ที่ออกมาให้ข่าว จึงตอบกลับไปว่าก็กลัวถูกฆ่าอยู่เหมือนกัน ยืนยันว่าไม่มีใครเสนอเงินให้ตน ที่ออกมา พูดเพราะเห็นใจครู และตามข้อเท็จจริงที่ได้พบเห็นมาในคืนเกิดเหตุ

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่มีการถกเถียงกันว่าคนขับรถกระบะคันที่ชนนายเหลือเสียชีวิตนั้น เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่ได้ปรากฏอยู่ในสำนวนชั้นพนักงานสอบสวน แต่ไปปรากฏอยู่ที่ชั้นศาล โดยนางทัศนีย์ไปขึ้นศาลทั้งหมด 2 ครั้ง ยืนยันคำเดิมต่อหน้าศาลว่าคนขับ เป็นผู้ชาย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน