“ยูเอ็น” ยังคาใจ “ดีเอสไอ” ไม่รับคดี “บิลลี่ พอละจี” แกนนำชาวกะเหรี่ยงป่าแก่งกระจาน ที่หายตัวลึกลับตั้งแต่ปี 2557 เป็นคดีพิเศษ เผยทั้งดีเอสไอและกระทรวงยุติธรรมก็รับปากแข็งขันว่าจะให้ความสำคัญ แต่กลับไม่รับเป็นคดีพิเศษ ทำให้ขัดแย้งกับคำมั่นสัญญาของรัฐบาลที่ให้ไว้ต่อสหประชาชาติ ส่วนเมียบิลลี่เตรียมส่งจ.ม.ขอคำชี้แจงจากดีเอสไอให้ชัดเจนอีกครั้ง

กรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีมติไม่รับคำร้องเรื่องการหายตัวไปของนาย พอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ แกนนำชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย ป่าแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ที่หายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2557 หลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานควบคุมตัว โดยให้เหตุผลว่าจากการสืบสวนยังไม่ทราบแน่ชัดว่านาย พอละจีเสียชีวิตแล้วหรือไม่ อีกทั้งยังไม่พบวัตถุพยานหรือพยานหลักฐานเพิ่มเติม ขณะเดียวกันนางอังคณา นีละไพจิตร กสม. เตรียมทำหนังสือถึงดีเอสไอและกระทรวงยุติธรรม สอบถามสาเหตุที่แท้จริงตามข่าวที่เสนอไปแล้ว

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 2 ก.พ. น.ส.พิณนภา หรือมึนอ พฤกษาพรรณ ภรรยาของนายพอละจี กล่าวว่า เตรียมเขียนจดหมายถึงดีเอสไอ เพื่อสอบถามถึงเหตุผลที่ไม่รับเรื่องนายพอละจีเป็นคดีพิเศษ โดยจะอธิบายข้อสงสัยที่มีต่อดีเอสไอ เพราะที่ผ่านมาดีเอสไอ เข้ามาเก็บพยานหลักฐานของนายพอละจีไปจำนวนหนึ่งแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดถึงระบุว่าไม่มีพยานหลักฐานใหม่ที่นำไปสู่การรับเป็นคดีพิเศษ ส่วนในรายละเอียดจะปรึกษากับทีมทนายอีกทีว่าจะเขียนในลักษณะอย่างไร ส่วนจะเคลื่อนไหวต่อไปอย่างไรนั้นยังนึกไม่ออกจริงๆ เพราะตอนนี้มีความรู้สึกว่าไม่ภาคภูมิใจกับกระบวนการยุติธรรม

“ในส่วนของครอบครัวตอนนี้ลูกทุกคนเริ่มรู้เรื่องของพ่อเขาแล้ว แต่ลูกคนที่ 4 จากทั้งหมด 5 คน ยังคงถามหาพ่อของเขาอยู่ ส่วนสภาพความเป็นอยู่ก็ยังคงลำบากเหมือนเดิม ต้องทำงานเลี้ยงลูกทั้ง 5 คน ทดแทนการขาดหายไปของพ่อเขาให้ดีที่สุด แต่ยังดีบ้างที่มีเพื่อนของพี่บิลลี่เข้ามาช่วยเหลือเรื่องทุนการศึกษาของลูกๆ ก็ยังช่วยผ่อนผันไปได้ อย่างไรก็ตามมีคนที่ไม่ได้อยู่ข้างชาวบ้าน เข้ามาพูดว่าหากออกมาเคลื่อนไหวเรื่องพี่บิลลี่มากๆ อาจจะมีจุดจบเหมือนพี่บิลลี่” น.ส.พิณนภากล่าว

วันเดียวกัน นายลอรอง เมยอง รักษาการ ผู้แทนประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นโอเอชซีเอชอาร์) ให้ความเห็นต่อกรณีเดียวกันว่า ยูเอ็นโอเอชซีเอชอาร์ติดตามคดีที่เกี่ยวข้องกับการบังคับสูญหายนายพอละจีอย่างใกล้ชิด พร้อมเข้าพบดีเอสไอหลายครั้งและเรียกร้องให้ตรวจสอบคดีอย่างละเอียดและเป็นอิสระ แม้ว่ากระทรวงยุติธรรมรวมทั้งดีเอสไอมีคำมั่นสัญญาที่จะให้ความสำคัญกับคดีนี้ แต่มติของดีเอสไอที่จะไม่รับคดีบิลลี่และยุติการตรวจสอบคดีทนายสมชาย นีละไพจิตร มีความขัดแย้งกับคำมั่นสัญญาของรัฐบาล

นายลอรองกล่าวว่า เมื่อเดือนม.ค. 2559 ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เรียกร้องรัฐบาลไทยให้การรับประกันว่า ครอบครัวของบุคคลที่ถูกบังคับให้สูญหายจะได้รับการช่วยเหลือทุกอย่างในการค้นหาสมาชิกในครอบครัวของพวกเขา ประกันว่าจะมีกระบวนการดำเนินคดีและลงโทษผู้ที่กระทำผิดและผู้อยู่เบื้องหลังอย่างเป็นธรรม และสร้างคำมั่นสัญญาในการดำเนินการไม่ให้การกระทำที่เลวร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ขณะนี้คณะทำงานด้านการบังคับให้บุคคลสูญหายของสหประชาชาติกำลังตรวจสอบ 82 กรณีที่บุคคลถูกบังคับให้สูญหายในประเทศไทยอยู่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน