ไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง จนเป็นมะเร็ง เจ้าบ่าวเผยคำสัญญาสุดท้ายเจ้าสาวป่วยมะเร็ง
จากกรณีที่โลกออนไลน์พากันชื่นชมและแชร์เรื่องราวสุดประทับใจ ของ “คุณกุ๊ก” ชายหนุ่มที่ตัดสินใจแต่งงานกับ “คุณเดียร์” แฟนสาว ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็ง และกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา
โดยมีการจัดพิธีเล็ก ๆ แต่อบอุ่น ภายในห้องพักผู้ป่วย ซึ่งเจ้าสาวยังคงใส่สายออกซิเจนอยู่ตลอดเวลา รวมถึงมีการสวมแหวนแต่งงานบนเตียงผู้ป่วย ท่ามกลางความยินดีของครอบครัวและเพื่อนฝูง ทั้งนี้ ชาวเน็ตต่างร่วมส่งกำลังใจเจ้าสาวป้ายแดงหายป่วยในเร็ววัน สุดท้ายปาฏิหาริย์ไม่มีจริง
ล่าสุดรายการโหนกระแส วันที่ 11 ม.ค. โดย “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์- ศุกร์ เวลา 13.30-14.10 น. ทางช่อง 28 ได้เปิดใจสัมภาษณ์ “กุ๊ก กิจเจริญ ไชย” ซึ่งเจ้าตัวขอแชร์เรื่องราวของตนเป็นอุทาหรณ์
คุณกุ๊กทำงานอะไร?
กุ๊ก : “ฟิตเนสเมเนเจอร์ อยู่ที่รามคำแหงและสามเสน รู้จักกับเดียร์เพราะเพื่อนแนะนำให้รู้จักกันประมาณ 5-6 ปี ก่อนหน้านี้เดียร์เป็นนางพยาบาล ตอนแรกไปกินเลี้ยง เดียร์มาด้วย แล้วเราก็ได้เจอกัน ก็คบกันมาประมาณ 4 ปี แต่รู้จักกันมานาน”
เขานิสัยใจคอยังไง?
กุ๊ก : “เฮฮา ใจดี”
คุณบอกวันนี้อยากมาเป็นอุทาหรณ์ ทำไมเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เดียร์ป่วยได้ยังไง?
กุ๊ก : “จริงๆ เกิดจากไวรัสตับอักเสบบี ที่เรื้อรังจนกลายเป็นมะเร็งตับ ตัวเดียร์ก็ไม่เคยทราบว่าตัวเองเป็น การตรวจค่าตับแต่ละปีก็ไม่มีขึ้น เพราะแต่ละปีเขาก็เช็ก มันไม่ขึ้น ถ้าจะตรวจหามะเร็งตับ ต้องตรวจแบบละเอียดหรือเจาะจง ถ้าตรวจทั่วไปจะไม่เจอ”
มะเร็งตับเกิดมาตามหลัง ไวรัสตับอักเสบบี ไม่มีอาการมาก่อน?
กุ๊ก : “ไมมีอาการ และไม่รู้ เราคิดว่าเป็นกรดไหลย้อน เป็นกระเพาะ ตอนแรกเป็นลมพิษตอนต้นปี 61 เราก็รักษา เจาะเลือดหาว่าแพ้อะไรก็ไม่เจอเป็นลมพิษขึ้นทั้งตัวแล้วก็คัน ก็ไปเจาะเลือดตรวจตามปกติเลย ไม่มี ค่าตับก็ปกติ หลังจากนั้นมีการจุกแน่น ปวดท้องมาเรื่อยๆ ก็คิดว่าเป็นเพราะการกินข้าวไม่ตรงเวลาหรือกินอาหารรสจัด”
หนักขึ้นคืออะไร?
กุ๊ก : “เจ็บท้องและจุกจนแน่น เรอ เป็นสองเดือนหลังที่หนัก คือส.ค. –ก.ย. ปี 61 จุกบริเวณลิ้นปี่ ปวดแบบทนได้ ไปทำกิจกรรม ใช้ชีวิตปกติ แต่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเริ่มเป็นมะเร็ง”
ภาพที่คุณไปเที่ยวทะเลกัน?
กุ๊ก : “เมื่อประมาณ พ.ค. –มิ.ย. ตอนไปเที่ยวก็มีอาการ ทานอาหารเช้าเสร็จก็แน่น เราก็คิดว่าเป็นกรดไหลย้อน สักพักอาการหายไป”
หลังจากนั้น ทำไมมารู้ว่าเป็นมะเร็ง?
กุ๊ก : “ต้องบอกก่อนว่าผมพาเธอไปที่บ้านเพื่อขอแต่งงาน วันที่ 15 ต.ค. ที่แปดริ้วฉะเชิงเทรา เราไปบอกญาติผู้ใหญ่ คุยกันแล้วว่าจะแต่งปี 62 หลังจากนั้นก็กลับมาตรวจ เช้าตื่นมาเดียร์แน่น เราก็สงสัยทำไมไม่ได้ทานอะไร ทำไมแน่นท้อง พอไปเข้าห้องนอนแล้วเรียกผมเข้าไปบอกว่าเป็นก้อนบริเวณชายโครงด้านขวา กดไปเจอเป็นก้อนกลมๆ ก็ไปหาหมอที่รพ.
ก่อนหน้านั้นเคยคลำเจอที่ท้องแต่มันหายไป ก็ไม่ได้เอะใจ คิดว่าเป็นอย่างอื่นมากกว่า เราไป รพ.เพื่อเช็กก็ยังไปหาหมอตรวจเรื่องกรดไหลย้อน โรคกระเพาะ ให้ส่องกล้องดู พอบอกคลำเจอก้อน หมอก็ให้อัลตร้าซาวด์ ปรากฏว่าเจอก้อนที่ตับ ประมาณ 4-5 ก้อน ก้อนใหญ่ที่สุดขนาด 13 ซม. คุณหมอก็วินิจฉัยค่ามะเร็ง ธรรมดาเลขตัวเดียว แต่อันนี้ขึ้นไปเป็นแสน หมอวินิจฉัยเลยว่ามันคือมะเร็ง”
น้องรู้มั้ย?
กุ๊ก : “รู้ครับ นั่งฟังอยู่ด้วยกันเราก็ตกใจ เศร้า แล้วก็ร้องไห้ กอดกันอยู่ใน รพ. สองคน แต่ตัวกุ๊กคิดว่ายังไงก็มีวิธีรักษา ก็ปลอบเขาให้กำลังใจ วันนั้นยังถ่ายรูปลงอยู่เลย ว่าไม่ว่ายังไงจะอยู่ข้างๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
เหตุการณ์นี้คือเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา?
กุ๊ก : “ครับ 16 ต.ค. หลังจากนั้นเราไป รพ.ช่วงเช้า ทางญาติเดียร์อยู่ รพ.พระนั่งเกล้า เราเลยตรงไปที่นั่นเพราะคิดว่าน่าจะสะดวกเรื่องสิทธิต่างๆ เรื่องค่าใช้จ่าย ก็ได้วันนัดทำซีทีสแกน ญาติเขาก็เริ่มรู้แล้วเพราะเป็นพยาบาลอยู่ที่นั่น น่าจะรู้ว่าเป็นขั้นไหนระยะไหน แต่ตัวกุ๊ก ตัวเดียร์ เราไม่ทราบ เราก็กลับมาที่บ้าน กินข้าวเหมือนเดิมปกติ กลางคืนสามสี่ทุ่มเดียร์เจ็บท้องมากๆ เราก็เลยรีบไป รพ.พระนั่งเกล้า สรุปว่าก้อนมันแตก”
ก้อน 13 เซนฯ นั่นน่ะเหรอ?
กุ๊ก : “ไม่รู้ก้อนไหน แต่ด้วยตับเวลาเลือดออก มันจะหยุดเอง สมานแผลเอง ก็พักรักษาตัว 10 วัน ออกจากพระนั่งเกล้าไปหาหมอที่ศิริราชต่อ จากศิริราชได้วันนัดเป็นวันที่ 9 พ.ย จะเข้าไปให้เคมีทางเส้นเลือดเพื่อให้ก้อนมันยุบ นัดวันที่ 9 พ.ย. แต่กลับมาอยู่ได้ 7 วัน ก้อนก็แตก หลังจากนั้น เราก็ไปหาหมอ ไปก่อนเวลานัด
หมอตรวจก็ให้แอดมิด อยู่ที่นั่นอีก 25 วัน ภายใน 25 วันมีเส้นเลือดจากก้อนที่แตก แตกอีก 2 ครั้ง เดียร์ปวดท้องหนักอีก 2 ครั้ง ก็เข้าไปอุดเส้นเลือดทั้งสองครั้ง ออกมาก็ต้องนอนนิ่งๆ 8 ชม. หลังอุดไปสองครั้งอาการก็ดีขึ้น เดียร์กินข้าวได้ ร่าเริงสดใสเหมือนเดิม ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้กำลังใจเดียร์ดีมาก เขาเป็นสู้และเข้มแข็งมาก เขาพูดกับผมว่าต่อให้เริ่มใหม่อีกครั้งเขาก็จะสู้”
วันนั้นคุณดูแลความรู้สึกและหัวใจคุณยังไง?
กุ๊ก : “เราให้กำลังใจกันตลอด พูดคุยเรื่องความเชื่อ ความคิด และเชื่อเรื่องคิดบวก อารมณ์ความรู้สึก เราสองคนเชื่อเรื่องกฎแรงดึงดูด ความรู้สึกดีๆ ที่จะสร้างเซลล์ใหม่ๆ ให้รู้สึกดี และได้กำลังใจจากครอบครัว จากเพื่อน คนที่มาวันแรกๆ จนถึงวันสุดท้าย”
สุดท้ายตัดสินใจแต่งงานที่รพ.?
กุ๊ก : “ด้วยคิดบวกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องคิดถึงหลักความจริง ด้วยความที่มันแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าที่จะดร็อปลงเลย ก็ตัดสินใจว่าเราต้องทำอะไรที่เราอยากทำ อย่างน้อยให้เขารู้สึกเขามีความสุข มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ให้รู้สึกว่าอยากทำอะไรแล้วไม่ได้ทำ
จริงๆ ฤกษ์มา 30 31 แต่เดียร์เลือกเป็นวันที่ 29 เราคุยเรื่องนี้วันที่ 28 ตอนเที่ยง หลังจากนั้นก็บอกเพื่อนในกลุ่ม เขาก็ช่วยจัดแจงทุกอย่าง ชุดแต่งงาน ดอกไม้ที่ใช้ในพิธี ก็จัดออกมาตามภาพตามวิดีโอที่เห็น วันที่ 29 ธ.ค.”
เขามีความสุขมาก?
กุ๊ก : “ใช่ครับ เป็นวันที่นางมีสติมากที่สุดเป็นวันสุดท้าย เพราะวันที่ 30 เดียร์มีอาการเบลอ เริ่มจำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ว่าพูดอะไรออกไป”
เป็นความทรงจำสุดท้ายที่เธอมีกับคุณ?
กุ๊ก : “ใช่ครับ หลังจากนั้นเดียร์เริ่มเบลอขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่วันที่ 30 ฉลองปีใหม่ก็ฉลอง 3 คน เดียร์ แม่ แล้วก็ผมอยู่ในห้องรพ. ให้กำลังใจกัน อวยพรกัน แล้วก็ใช้ชีวิตใน รพ.นั้น ต่อมาจนถึงวันที่ 7 จริงๆ 5-6 เดียร์หลับไปสองวัน โดยตื่นขึ้นมาแล้วหลับต่อ วันที่ 7 ประมาณ 4 โมง
ผมตัดสินใจให้อาหารทางสายยาง เพราะคิดว่าน่าจะมีแรง ให้ทางจมูก นางก็ตื่นขึ้นมาทักทายคน ยิ้มและพูดคำว่าไหว ถามว่าไหวมั้ยก็บอกว่าไหว ทำมือโอเค เยี่ยม ร่าเริง มันดูมีหวัง ปาฏิหาริย์ แล้วนางหลับไปตอนหกโมงครึ่ง ทุ่มนึงก็หลับ หลังจากนั้นสี่ทุ่มผมอยู่ข้างๆ จับมือ เหลือบขึ้นไปมองหน้าก็ไปแล้ว”
ส่งยิ้มทักทายครั้งสุดท้ายของเธอ?
กุ๊ก : “ใช่ครับ วันนั้นเป็นวันสุดท้าย พยาบาลมาบอกแล้วว่าที่น้องตื่น เขาตื่นขึ้นมาลา แต่ผมไม่ทราบ เขาบอกทางคุณแม่และเจ้ๆ ทั้งหลาย ก็ยังมีหวัง ยังเชื่อ ก่อนหน้านั้นที่ผมถามเดียร์วันที่มีสติ เชื่อมั้ยว่าจะหาย เขาก็ยังพูดเหมือนเดิมว่าเชื่อว่าจะหาย”
คุณมีอะไรอยากเตือนผู้ชมทางบ้าน?
กุ๊ก : “อยากเตือนเรื่องของคนที่มีความรัก คู่รัก คนที่มีคนที่เรารักอยู่ อยากเตือนเรื่องเวลา การใส่ใจพูดคุยกันหรือการน้อยใจทะเลาะกัน ผมกับเดียร์มีทะเลาะกันในช่วงแรก และมานั่งคุยว่าไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่อยากต่างคนต่างเงียบแล้วเรื่องก็จบไป
มันมีคำสัญญาที่เราคุยกันไว้คือถ้าทะเลาะกัน หรือไม่เข้าใจ ใครขอโทษก่อนคนนั้นชนะ เรื่องเวลาอยากให้คิดถึงเวลาให้มากๆ จะไปไหน ไปเที่ยว ไปคุยกัน การพูดคุยที่มีความรู้สึกดีๆ ให้กันอยากให้ทำ ตอนทียังมีเวลาและโอกาส เราห่วงเรื่องความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ แต่พอเกิดเหตุการณ์นี้ ความสำเร็จอยู่รอบตัว อยู่ที่มุมมอง การที่เรามีครอบครัวดีๆ มีเพื่อนดีๆ มีคนเข้าใจเรา
อันนี้คือความสำเร็จจริงๆ ทำให้รู้ตรงนี้ พูดถึงเรื่องเวลา เวลาคนทะเลาะกัน เวลามันสั้นมากๆ น้อยเกินกว่าที่จะโกรธ จะเกลียดหรือน้อยใจกัน ถ้านึกย้อนไปได้ อยากให้เอาเวลานั้นมาคุยกันให้เข้าใจกันมากกว่า บอกรักกันทุกวันจะดีกว่า”
ในวันที่คุณเดียร์จากไป คุณกุ๊กอ่านคำลาครั้งสุดท้าย?
กุ๊ก : “ตอนที่นางตื่นขึ้นมา กุ๊กพูดแล้วว่าไม่ต้องห่วงจะอยู่ข้างๆ ไม่ต้องห่วงอะไรเลย ขอให้สบายๆ ไม่ต้องคิดมาก”
ตอนนั้นหมอกำหนดเวลามั้ย?
กุ๊ก : “หมอดูวันต่อวัน เพราะมันสุดท้ายแล้วครับ ทางการแพทย์แผนปัจจุบัน มันทำอะไรไม่ได้แล้ว เชื้อเริ่มกระจายไปที่ปอด ทำให้เดียร์หายใจลำบาก”
เคยวาดฝันเรื่องมีลูกด้วยกันมั้ย?
กุ๊ก : “อยากมี 1 คน ทีแรกคุยกันว่าไม่อยากมี อยู่กันสองคน แต่ก็คิดว่าน่าจะมีสักคนเพื่อให้ครอบครัวสมบูรณ์”
วันนี้จะทำยังไงต่อ?
กุ๊ก : “ก็อย่างที่บอก ถ้าวันนี้เป็นกุ๊กที่นอนอยู่ตรงนั้น กุ๊กอยากให้คนที่อยู่เข้มแข็ง เดินต่อก้าวต่อไป ไม่อยากให้จมหรืออยู่กับอะไรที่แย่ๆ เก็บแต่เรื่องดีๆ ไว้ดีกว่า”
ถ้าวันนี้ คุณเดียร์มองอยู่หรือรับรู้ได้ อยากพูดอะไร?
กุ๊ก : “ผมรู้ว่าเขามองอยู่ ก็อยากบอกว่าไม่ต้องห่วง ฉันดูแลตัวเองได้ ไม่มีอะไรที่เธอต้องห่วง เธอรู้ว่าฉันรักเธอมากแค่ไหน”