“ไผ่ วันพอยท์” รุดให้การตร.ปส. สอบ 3 ช.ม. ปมที่มาลัมโบร์กินี เผยรู้จักบอยกับเบนซ์ในฐานะลูกค้า ให้ช่วยตรวจสภาพรถให้ก่อนซื้อ แถมยังไม่ได้ค่านายหน้าด้วย ปส.ไล่บี้ต่อ สอบธุรกรรม ร้าน Area 51 ของ “เบนซ์ เรซซิ่ง” สงสัยเลี่ยงภาษี หลังมีข้อมูลขายรถหรูไปร่วม 20 คัน แต่เสียภาษีไม่สมเหตุสมผล รวมทั้งปมรายได้ที่นำมาผ่อนรถลัมโบร์กินี ขณะที่ตร.ยังสงสัยบอย-เบนซ์ ใครเป็นเจ้าของรถตัวจริง ตม.สั่งสอบร.ต.อ.รับฝากรถให้แก๊งไซซะนะ ที่สุวรรณภูมิ โฆษกตร.แจงรูปถ่ายเจ้าพ่อยากับ 3 ตร.

เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่ บช.ปส. พล.ต.ต.ชาตรี ไพศาลศิลป์ รอง ผบช.ปส. เผยความคืบหน้ากรณีติดตามขยายผลจับกุมเครือข่ายยาเสพติดของนายไซซะนะ แก้วพิมพา ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานผ่านตัวกลางติดต่อบุคคลเข้าให้ปากคำในฐานะพยาน แต่ได้รับแจ้งกลับมาว่า ไม่สามารถติดต่อบุคคลเหล่านั้นได้ ซึ่งในความคิดเห็นส่วนตัว เชื่อว่าบุคคลเหล่านั้นยังไม่พร้อมเข้าให้ข้อมูล ซึ่งในวันนี้ตนได้นัดหมายจำนวน 3 คน ซึ่งประกอบด้วย น.ส. ธัญรัตน์ วีระเดช เจ้าของรถโฟล์ก ทะเบียน กจ 51 กทม. ซึ่งมีเลขทะเบียนตรงกับรถลัมโบร์กินี ของเบนซ์ ที่ครอบครองอยู่ เจ้าของเต็นท์รถ ย่านพระราม 3 ที่เบนซ์อ้างว่า ได้ซื้อมาจากเต็นท์ดังกล่าว และ นายไผ่ ลิกค์ หรือไผ่ วันพอยท์ ลูกอดีตนักการเมือง ส่วนประเด็นการซักถามนั้น เนื่องจากว่าเจ้าหน้าที่มีข้อมูลว่า นายไผ่ กับนายบอย มีความสนิทสนมกัน ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่าทั้งสองคนมีความชื่นชอบและรักการแข่งรถ ซึ่งนายไผ่อาจให้คำแนะนำได้เนื่องจากมีธุรกิจการตกแต่งรถอยู่ด้วยจึงอาจให้คำแนะนำได้ ซึ่งในส่วนนี้จึงต้องเชิญตัวมาให้ขัอมูล

พล.ต.ต.ชาตรีกล่าวอีกว่า ส่วนเจ้าของเต็นท์นั้น ตำรวจทราบว่า นายบอยและนายเบนซ์ไปซื้อรถคันนี้ด้วยกัน จึงต้องสอบถามเจ้าของเต็นท์ว่า ใครมีพฤติการณ์เป็นผู้เลือกซื้อรถและตัดสินใจเลือกรถคันนี้กันแน่ เนื่องจากทั้ง 2 คน ยังให้การไม่ตรงกัน โดยนายเบนซ์อ้างว่าเป็นเจ้าของรถโดยยืมเงินนายบอย 6 ล้านบาท เพื่อมาดาวน์รถและใช้คืนไปแล้วบางส่วน ขณะที่นายบอยก็อ้างเป็นเจ้าของรถโดยเป็นผู้ออกเงิน แต่ยืมชื่อนายเบนซ์ซื้อเท่านั้น ซึ่งหากทั้ง 3 คนยังไม่ติดต่อกลับมาหรือยังไม่เข้าให้ข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในวันพรุ่งนี้จะออกหมายเรียก หากยังไม่มาก็จะออกหมายจับตามขั้นตอนทันที ขณะที่นายเบนซ์ทางตำรวจจะนัดให้เข้ามาให้ปากคำเพิ่มเติมภายในเดือนนี้ เนื่องจากยังมีข้อสงสัยในหลายประการและเอกสารในการประกอบธุรกรรมการเงินยังไม่ชัดเจน โดยเจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำลูกน้องของนายบอยไปแล้วในเบื้องต้น หลังพบความเชื่อมโยงแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้

พล.ต.ต.ชาตรีกล่าวอีกว่า การตรวจสอบธุรกรรมร้านแต่งรถ Area 51 ของนายเบนซ์พบว่า มีการซื้อขายรถหรูไปแล้วกว่า 20 คัน แต่เมื่อตรวจสอบการเสียภาษี พบว่าไม่สมเหตุสมผล คือตัวการเสียภาษีน่าจะไม่ตรงกับความเป็นจริง ทางเจ้าหน้าที่จึงกำลังไล่ตรวจสอบดูบัญชีย้อนหลังว่ามีการเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ อีกทั้งขณะนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อเพิ่มเติมจากนายเบนซ์ ในเรื่องรายได้ในขีดความสามารถของการผ่อนชำระรถลัมโบร์กินีอีกด้วย

ต่อมาเวลา 11.30 น. พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบช.ปส. กล่าวว่า จากกรณีที่ในโลกโซเชี่ยลของประเทศลาว มีการโจมตีการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยว่า การจับกุมนายไซซะนะไม่มีของกลาง ซึ่งในเรื่องดังกล่าวตนไม่ได้วิตกกังวลใดๆ นี่เป็นเรื่องชาวบ้านคุยกัน แต่การทำงานของตำรวจเป็นเรื่องของรัฐกับรัฐ รัฐบาลไทยกับลาวก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรกัน

จะเห็นว่าการทำงานของตน ไม่เน้นจับยาแต่เน้นแยกคน แยกทรัพย์เครือข่ายยาเสพติด รถลัมโบร์กินี ของเบนซ์ เรซซิ่ง เป็นเพียง 1 ในรถเป้าหมายที่ตำรวจยึดไว้ตรวจสอบ ยังมีรถหรูอีก 20 คัน ที่มีราคามากกว่า 20 ล้านบาท ที่อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานอายัดมาตรวจสอบ ยังอยู่ติดขัดเพียงเอกสารบางอย่างเท่านั้น ซึ่ง นายไซซะนะเปรียบเหมือนนางพญาผึ้งตัวหนึ่งซึ่งยังมีอีกหลายรัง ส่วนที่มีตำรวจ สตม. เข้าไปเกี่ยวข้องนั้นคงต้องให้ ทางสตม.แยกไปสอบกันเอง ซึ่งทาง บช.ปส. ทำงานระดับประเทศมีความร่วมมือประสานงานกันกับมาเลเซีย ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา ซึ่งในหลายๆ ประเทศก็ประสานข้อมูลและร่วมมือกันดำเนินการปราบปรามอยู่เช่นเดียวกัน

ต่อมาเวลา 13.20 น. นายไผ่ ลิกค์ หรือไผ่ วันพอยท์ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน บช.ปส. เพื่อให้ข้อมูลในฐานะพยาน ซึ่งได้กล่าวก่อนเข้าให้การว่า เพิ่งได้รับการคิดต่อเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง ซึ่งตนรู้จักในฐานะลูกค้า ซึ่งมาขอคำแนะนำและให้ช่วยตรวจสอบสภาพรถมีการเฉี่ยวชนมาหรือไม่ ซึ่งก็พอทราบว่า รถคันดังกล่าวมีราคาประมาณ 14 ล้านบาท ซึ่งก็น่าจะใช้เงินประมาณ 4-6 ล้านบาท มาดาวน์ ก่อนขอตัวเข้าไปพบพนักงานสอบสวนด้านใน

ต่อมาเวลา 16.00 น. ไผ่ให้สัมภาษณ์อีกครั้งหลังให้การเป็นเวลานานกว่า 3 ชั่วโมงว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ได้เรียกตนมาเพื่อสอบถามความเป็นมาที่ได้มารู้จักกับบอยและเบนซ์ ซึ่งตนเองก็ตอบไปเหมือนกับที่ตอบพี่นักข่าวไปในตอนแรกว่า รู้จักกันในฐานะของลูกค้ารายหนึ่ง ซึ่งตนเองเคยพบกับบอย 2 ครั้ง และเบนซ์เพียงครั้งเดียวในวันที่เขาเดินทางมารับรถเท่านั้น ซึ่งรู้จักกันเพราะตนเองทำธุรกิจซื้อขาย นำเข้าและตกแต่งรถยนต์ซูเปอร์คาร์เท่านั้น หรือจะเรียกว่าเป็นนายหน้าก็น่าจะได้ และจนถึงขณะนี้ตนเองก็ยังไม่ได้รับเงินค่านายหน้า จากการขายรถคันนี้เลย ซึ่งตนไม่ได้ซีเรียสอะไรแม้จะไม่ได้สตางค์ ซึ่งรถคันนี้เดิมเป็นทะเบียนรถในจังหวัดสงขลา จำทะเบียนไม่ได้ เพราะผ่านมากี่มือแล้วตนไม่รู้

ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกอย่างไรที่สังคมมองว่า รถซูเปอร์คาร์เป็นแหล่งฟอกเงิน ไผ่กล่าวว่าไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะทุกคนก็มีสิทธิคิดทั้งนั้นไปตามข่าว แต่ก่อนคนดีๆ เขาก็มีขับกันปกตินะครับ ส่วนนายไซซะนะ ตนเพิ่งรู้ว่าก็มีรถซูเปอร์คาร์ ซึ่งในวงการก็มองไม่ออกว่ารถคันไหนจริงไม่จริงหรือสวมทะเบียนมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 25 ม.ค. ที่ผ่านมา มีคำสั่งจาก พ.ต.ท.หญิง อิศลักษมิ์ เฉลิมศรี รองผู้กำกับการ รักษาราชการแทนผู้กำกับการฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองขาเข้า (ตม.ขาเข้า) ด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ออกคำสั่ง ฝ่ายตม.ขาเข้า ตม.สุวรรณภูมิ ที่ 1/2560 เรื่อง แต่งตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณี ร.ต.อ.ภัทรพล ถ้วยทอง รองสว.ตม.ขาเข้า สุวรรณภูมิถูกกล่าวหาเกี่ยวข้องกับนายไซซะนะ แก้วพิมพา นักค้ายาเสพติดชาวลาว จากการสืบสวนพบว่า ร.ต.อ.ภัทรพลมีการติดต่อทางโทรศัพท์กับผู้ร่วมขบวนการค้ายาเสพติดเครือข่ายนายไซซะนะในการรับฝากรถยนต์ ของกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดรายนี้ มาจอดที่อาคารจอดรถท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำหรือละเว้นการกระทำอันเป็นการเสียหายแก่ราชการ แก่ระเบียบแบบแผนของข้าราชการตำรวจ โดยให้พ.ต.ท.ชัยพร ออฟูวงศ์ รองผกก.ตม.ขาเข้า สุวรรณภูมิ เป็นประธานกรรมการสอบ ทั้งนี้ หากการสืบสวนข้อเท็จจริงพบว่า มีการกระทำผิดวินัยในเรื่องอื่น นอกเหนือจากนี้หรือมีผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้องให้รีบรายงานโดยเร็ว

ด้านพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกตร. กล่าวถึงรูปภาพนายไซซะนะถ่ายคู่กับ เจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ว่าจากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าภาพดังกล่าวเป็นภาพถ่าย เมื่อประมาณ 2 ปีเศษ โดยเจ้าหน้าที่ในภาพเป็นตำรวจ สภ.ท่าลี่ จ.เลย จำนวน 2 นาย และ เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จ.เลย จำนวน 1 นาย โดยขณะถ่ายภาพนั้นอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกให้แก่ คาราวานจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเข้ามาทางด้าน จ.หนองคาย และจะออกจากไทยทางจุดตรวจผ่านแดนถาวร บ้านนากระเซ็ง อ.ท่าลี่ จ.เลย โดยก่อนกลับคณะคาราวานในภาพดังกล่าว ได้ขอถ่ายภาพร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้ง 3 นาย เชื่อว่าทั้ง 3 นายไม่น่ามีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายยาเสพติดแต่อย่างใด แต่เพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น ทางผู้บังคับบัญชาก็ได้มีคำสั่งให้ ร.ต.ท.วไลศักดิ์ อินทิรักษ์ รอง สว.ตม. จว.เลย หน.ชุดจุดตรวจด่านนากระเซ็น ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.บก.ตม.4 เพื่อสะดวกต่อการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้วเพื่อให้เกิดความโปรงใสต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า เหตุที่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าวเกิดจากเมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติด วางกำลังเข้าจับกุมนายไซซะนะ ที่สนามบินสุวรรณภูมินั้น มีการวางกำลังปิดจุดเข้าออก และตำแหน่งที่จอดรถ เพื่อที่จะจับกุมนายไซซะนะที่เดินทางมาจาก จ.ภูเก็ต เพื่อมาเอารถลัมโบร์กินีที่จอดอยู่ที่สุวรรณภูมิเพื่อเดินทางต่อไปยัง จ.อุดรฯ แต่พบว่าระหว่างวางกำลังจับกุมนั้น ร.ต.อ. คนดังกล่าวถือกุญแจเตรียมมาให้นายไซซะนะ แต่เมื่อพบว่า นายไซซะนะโดนจับกุม ก็เดินหนีไปและทิ้งกุญแจไว้ที่บริเวณเคาน์เตอร์ธนาคารแห่งหนึ่งในสนามบิน

จากการสอบสวนร.ต.อ.ภัทรพล ให้การว่าได้มีคนไทยคนหนึ่ง ซึ่งมาทราบภายหลังว่าเป็นลูกน้องของนายไซซะนะ ได้ติดต่อมาให้ช่วยอำนวยความสะดวกแก่นายไซซะนะด้วย เนื่องจากเป็นลูกค้าวีไอพี จึงถือกุญแจรถยนต์ไปให้นายไซซะนะ แต่ไม่ทราบว่าเป็นผู้ต้องหาค้ายาเสพติดรายใหญ่ทางฝั่งลาว เมื่อเกิดเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมตัวนายไซซะนะ จึงไม่ได้เอากุญแจรถยนต์เข้าไปให้ ซึ่งข้อมูลจากการสอบสวนทั้งหมดได้รายงานให้ผู้บัญชาการตรวจคนเข้าเมืองทราบแล้ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน