ศาลอุทธรณ์นครพนมนัด สืบพยานคดีครูจอมทรัพย์ ยธ. มั่นใจนำสืบรื้อคดี วันแรกเตรียมพยาน 5 ปาก มุ่งประเด็นรถครูไม่เคยชน โดยนำรถไปนครพนมแล้วเพื่อให้ศาลเดินมาเผชิญสืบ ด้านตร.ก็เตรียมชี้พิรุธคำให้การ 2 ครั้งไม่ตรงกัน

จากกรณีนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร วัย 54 ปี อดีตข้าราชการครูโรงเรียนบ้านม่วงไข่ประชาราษฎร์สงเคราะห์ ต.ด่านม่วงคำ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ที่ออกมาร้องทุกข์กับกระทรงยุติธรรม ว่าถูกกล่าวหาขับรถชนนายเหลือ พ่อบำรุง เสียชีวิต ที่บ.สร้างเม็ก ต.ท่าลาด อ.เรณูนคร จ.นครพนม เมื่อวัน 11 มี.ค. 2548 จนถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 3 ปี 2 เดือน กระทั่งได้รับการอภัยโทษออกมา เมื่อปี 2558 หลังติดคุก 1 ปี 6 เดือน โดยล่าสุดศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณารื้อคดีใหม่ โดยมีกำหนดนัดสืบพยานในระหว่างวันที่ 8-10 ก.พ.นี้

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่จ.นครพนม นายพงศา ราตรี ทนายความกระทรวงยุติธรรม ในฐานะคณะทำงานฝ่ายกฎหมายศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรม ได้นำทีมฝ่ายกฎหมายลงพื้นที่ เพื่อเตรียมพร้อมนัดพยานสำคัญขึ้นสู่ศาลตามนัด โดยนายพงศากล่าวว่า มีพยานฝ่ายผู้ร้องที่จะนำขึ้นสืบพยานในศาลครบ ทีมพยานปากสำคัญ 5 ปาก รวมถึงนางจอมทรัพย์ด้วย

นายพงศากล่าวต่อว่า โดยในวันที่ 8 ก.พ.นี้ จะเป็นการสืบพยานฝ่ายผู้ร้องคือนางจอมทรัพย์ รวมถึงได้รวบรวมเอกสารหลักฐานในการยืนยันว่าครูจอมทรัพย์ไม่ได้กระทำผิดจริง ทั้งนี้ทางฝ่ายกฎหมายกระทรวงยุติธรรม ระบุว่าผลการตัดสินจะต้องรอกระบวนการของศาล มีหน้าที่สำคัญคือการนำพยานหลักฐานขึ้นสืบพยาน ตามข้อเท็จจริงทั้งหมด

ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัด ยธ. กล่าวว่า ทางคณะทำงานในคดีของนางจอมทรัพย์ได้มีการประชุมเพื่อเตรียมความพร้อมเมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งได้ประชุมกันว่าจะนำพยานบุคคลขึ้นเบิกความกี่ปาก พยานของเจ้าหน้าที่ผู้รวบรวมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และขั้นตอนไหนบ้างกี่ปาก และพยานของผู้ชำนาญการด้านการตรวจพิสูจน์อีกกี่ปาก ประเด็นก็คือว่าเราจะใช้ทนายความอย่างน้อย 2 คน โดยคนแรกจะเป็นทนายความคนเก่าที่ดูเรื่องในการรื้อฟื้น พยานหลักฐานตัวไหนที่เป็นพยานหลักฐานที่ไม่เคยนำสืบในศาลชั้นต้นเราจะนำเข้ามา เป็นพยานตั้งแต่นางจอมทรัพย์ และพยานอื่นๆ ที่เป็นประจักษ์พยานและพยานแวดล้อม รวมแล้ว 7 ปาก

พ.ต.อ.ดุษฎีกล่าวต่อว่า อาจจะเปิดด้วยพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่รวบรวมหลักฐาน ที่เชื่อมั่นว่านางจอมทรัพย์เป็นผู้บริสุทธิ์มาเปิดคดีก่อน ต่อด้วยนางจอมทรัพย์ประจักษ์พยาน พยานแวดล้อม สุดท้ายก็พยานผู้เชี่ยวชาญซึ่งจะมีทั้งทางกรมการขนส่งทางบกและคณะอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี รวมถึงพยานเอกสารจากทางวิศวกร โตโยต้าแห่งประเทศไทย รวม 10 ปาก โดยทั้งหมดจะมุ่งเน้นไปที่เรื่องของรถยนต์ของนางจอมทรัพย์ว่า ไม่เคยเกิดอุบัติเหตุแม้แต่น้อย ซึ่งได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปที่จ.นครพนมแล้ว เพื่อประโยชน์ในการที่ทนายความจะขอความเมตตาให้ผู้พิพากษาเดินมาเชิญสืบว่าร่องรอยการชนเป็นอย่างไร

“เราไม่ได้หนักใจอะไร เรามั่นใจ อย่าใช้คำว่าหนักใจ เพราะว่ายิ่งเราทำงานไป มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึก แต่ต้องบอกก่อนว่ามันเป็นความลับกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ที่เราจำเป็นต้องทำแบบนี้ เพราะเราคุยกันแล้วว่าการทำงานของเรา ถึงแม้หน้าที่จะแตกต่างกันแต่เราทำเพื่อส่วนรวม เพื่อประชาชน เพื่อสังคมอยู่แล้ว ในการทำหน้าที่ที่แตกต่างกันมันดีซะอีก จะได้ให้สังคมประจักษ์ว่าหลักฐานที่ต่างคนต่างได้มาเป็นอย่างไร เราพร้อมจะแลกเปลี่ยนข้อมูล หลักฐานกับทาง ตร. อยู่แล้ว” พ.ต.อ.ดุษฎีกล่าว

พ.ต.อ.ดุษฎีกล่าวต่อว่า การที่สื่อมวลชนให้ความสนใจและเสนอข่าวสารไป บางทีประชาชนทั่วไปสนใจมากจนมองกลายเป็นเรื่องเรียลลิตี้ไป เป็นเรื่องของการโหวตว่าใครผิดใครไม่ผิด ซึ่งมันไม่ใช่ มันต้องเป็นเรื่องของการนำพยานหลักฐานมาเสนอต่อศาล และให้ศาลเป็นคนตัดสิน ส่วนที่ปรากฏอยู่บนโซเชี่ยลมีเดียนั้น เป็นเรื่องของคนที่อินกับเรื่องนี้ และลงไปทำงานเรื่องนี้เอง เหมือนกับเป็นพวกแฟนคลับ ซึ่งตรงนี้มันไม่ใช่การต่อสู้คดีอยู่ที่พยานหลักฐานเรา ที่สามารถทำให้ศาลกลับคำตัดสินได้ ซึ่งคนที่ลงพื้นที่ไปหาหลักฐานด้วยตัวเองก็ถือว่ามีเจตนาดี








Advertisement

พ.ต.อ.ดุษฎีกล่าวด้วยว่า ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไร และจะเอาผิดกับพนักงานสอบสวนหรือไม่ ตรงนี้มันเป็นเรื่องของต้นสังกัด ซึ่งต้องดูว่าเขาทำงานครบถ้วนหรือยัง เพราะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หลายอย่างในสมัยนั้นมันไม่มี เขาได้ทำตามอำนาจหน้าที่ของเขาเต็มที่แล้วจากพยานที่เขาได้มา โดยส่วนตนแล้วก็ยังไม่เห็นถึงความบกพร่อง ดังนั้นต้องค่อยๆ ดูค่อยๆ ไป อย่าเพิ่งคิดไปก่อน เพราะคิดไปก่อนมันไม่ไปให้ความเป็นธรรมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

รายงานงานข่าวแจ้งว่า ทางบก.ภ.จว.นครพนม รวมถึงสภ.เรณูนคร พื้นที่รับผิดชอบคดี ซึ่งถือเป็นฝ่ายคัดค้านคำร้องรื้อฟื้นคดีนี้ ก็เตรียมพร้อมในเรื่องของพยานหลักฐาน โดยพนักงานอัยการ จ.นครพนม มีพยานปากสำคัญมากถึง 8 ปาก ที่จะสืบพยานในวันที่ 9-10 ก.พ. โดยมีพยานปากสำคัญคือนายสับ วาปี และนายเสริฐ รูปสะอาด ที่เคยมีหลักฐานพิรุธในการให้การตำรวจ ว่าเป็นคนขับรถชนคนตายตัวจริง เนื่องจากมีการให้การ 2 ครั้งไม่ตรงกัน โดยครั้งแรกพบว่านายเสริฐเป็นคนขับ ส่วนครั้งที่ 2 พบว่า นายสับเป็นคนขับ นอกจากนี้ยังมีนายอุบล ไชยบัน ที่เป็นเจ้าของรถยนต์ บค 56 มุกดาหาร คันที่ถูกอ้างว่าเป็นรถที่ชนนายเหลือเสียชีวิต โดยเจ้าของยืนยันว่าช่วงเกิดเหตุ รถยนต์อยู่กับตนเอง ทั้งนี้ทางตำรวจยังไม่มีการดำเนินคดีเกี่ยวกับขบวนการรับจ้างทำผิดแทน จนกว่าจะมีผลการพิจารณาตัดสินของศาล

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน