ศาลนครพนม สืบพยานวันที่ 2 รื้อคดีครูจอมทรัพย์ อัยการซักเครียด นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ กว่า 3 ชั่วโมง พบพิรุธคำให้การเรื่องทะเบียนรถไม่ตรงกับที่ให้การเมื่อปี”48 ที่หลังเกิดเหตุ 2 วัน เจ้าตัวให้การกับตำรวจและในชั้นศาล ว่าเห็นป้ายทะเบียนครบถ้วน และไม่เห็นคนขับรถ อีกทั้งไม่เคยพูดถึงนางทองเรศ ที่อ้างว่าซ้อนท้ายจยย.มา เพิ่งจะมีชื่อโผล่มาตอน 12 ก.พ. 2557 หรือหลังจากเกิดเหตุผ่านไปแล้วเกือบ 10 ปี ต่อมาวันที่ 23 ก.ย.2558 นางทัศนีย์ให้การเพิ่มคือคนขับรถยนต์คันก่อเหตุเหมือนนายสับ วาปี ขณะที่เจ้าตัวเบิกความว่าไม่เห็นป้ายทะเบียนทั้งหมด และเห็นคนขับเป็นผู้ชายลงจากรถมา ต่อมาในช่วงบ่ายเป็นการสืบพยานในส่วนของฝ่ายอัยการ โดยเบิกตัว ตร.4 นาย พลเรือน 10 นาย โดยมุ่งชี้ให้เห็นว่ามีขบวนการรับจ้างรับผิดแทนเพื่อรื้อคดีจริง

เมื่อเวลา 09.09 น. วันที่ 9 ก.พ. ที่ห้องพิจารณาคดี 3 ชั้น 2 ศาลจังหวัดนครพนม ศาลนัดสืบพยานรื้อคดีนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร เป็นวันที่สอง โดยนางจอมทรัพย์เดินทางมาพร้อมนายพงศา ราตรี ทนายความฝ่ายผู้ร้อง ก่อนกล่าวสั้นๆ ว่า “ขอให้เป็นหน้าที่ของทนายให้ต่อสู้คดีในครั้งนี้” ก่อนที่จะขึ้นไปให้กำลังใจพยานที่เหลือ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเช้าวันนี้ศาลนัดสอบพยานฝ่ายนางจอมทรัพย์ ที่เหลืออีก 3 ปาก ประกอบด้วยนางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ วัย 61 ปี และนางทองเรศ วงศ์ศรีชา อายุ 51 ปี และสุดท้ายคือนายทักษิณ ไขสีดา

ขณะที่บรรยากาศในห้องพิจารณาคดี นางทัศนีย์ขึ้นเบิกความต่อศาลเป็นคนแรก โดยให้การว่า วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 17.00 น. วันที่ 11 มี.ค.2548 ได้ไปทำบุญงานแจกข้าวที่บ้านสร้างเม็ก ต.ท่าลาด อ.เรณูนคร มีนางทองเรศ วงศ์ศรีชา เพื่อนบ้านเป็นผู้นั่งซ้อนท้าย อยู่ร่วมงานจนถึงเวลา 19.30 น. จึงพากันกลับบ้านที่ ต.นาคู่ อ.นาแก จ.นครพนม ออกมาได้ 20 เมตร มีรถกระบะคันหนึ่งวิ่งแซงแล้วไปชนกับชายที่ปั่นรถจักรยานสวนทางมา สักพักมีชายเปิดประตูรถเดินลงมานั่งยองๆ ดูศพแล้วเดินขึ้นรถขับหนีออกไป โดยตนจอดรถมอเตอร์ไซค์ห่างจากท้ายรถกระบะประมาณ 10 เมตร เห็นป้ายทะเบียนรถเป็นอักษร บ ชัดเจน แต่อักษรตัวที่ 2 มองเห็นไม่ชัด ส่วนตัวเลข 56 นั้นเห็นชัดเจนที่สุด ส่วนหมวดจังหวัดนั้นมองไม่เห็น เหตุที่จำตัวเลขได้แม่นยำ เพราะจะเอาไปซื้อหวย แต่ด้วยความกลัวพวกตนไม่กล้าลงจากรถไปดูศพคนตายจึงพากันกลับบ้าน

นายทัศนีย์ให้การต่อไปว่า ต่อมามีลูกชายของนายเหลือ ผู้ตายมาหาที่บ้าน ถามว่าตนเห็นรถที่ชนหรือเปล่า จึงตอบไปว่าเห็น เขาขอร้องให้ไปให้ปากคำแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เรณูนคร จึงเดินทางไปหาพนักงานสอบ สวนคือ ร.ต.อ.ทงศักดิ์ โพธิ์เหน่ง (ยศในขณะนั้น) และได้ให้ปากคำตามที่เห็นมา แต่ไม่ได้ซักถามตนว่าคนขับเป็นหญิงหรือชาย หลังสอบเสร็จตนไม่ได้อ่านเนื้อหา พนักงานสอบ สวนเป็นผู้อ่านให้ฟัง ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้างเพราะหูสองข้างไม่ดี

“ต่อมาในปี 2549 ดิฉันไปเบิกความที่ศาลจังหวัดนครพนม เห็นจำเลยกลายเป็นผู้หญิง ก็รู้สึกตกใจเพราะผู้ก่อเหตุเป็นผู้ชาย จึงคิดในใจว่าเขาเป็นสามีภรรยากัน ถึงออกมารับโทษแทนกัน ในชั้นศาลได้บอกว่าคนขับนั้นเป็นผู้ชาย” นางทัศนีย์ให้การ

ต่อมาอัยการผู้คัดค้านได้ซักถามพยาน โดยนำเอกสารที่นางทัศนีย์เคยให้ปากคำในชั้นพนักงานสอบสวนและในชั้นศาลขึ้นมาแสดงต่อศาล ไล่เรียงตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนว่า นางทัศนีย์ไปให้ปากคำที่ สภ.เรณูนคร วันที่ 13 มี.ค.2548 หลังเกิดเหตุ 2 วัน มีการระบุยืนยันว่า รถยนต์คันที่ก่อเหตุยี่ห้อโตโยต้า ทะเบียน บค 56 สกลนคร

ซึ่งในสำนวนพนักงานสอบสวนถามว่าเห็นคนขับหรือเปล่า นางทัศนีย์ตอบว่าไม่เห็น วันที่ 28 มิ.ย.2549 นางทัศนีย์ไปเบิกคำต่อศาลจังหวัดนครพนม ในคดีดำหมายเลข 977/2548 และยืนยันว่ารถยนต์คันก่อเหตุทะเบียนบค 56 สกลนคร เพราะส่องไฟเห็นท้ายรถกระบะที่ห่างกันเพียง 5 เมตรเท่านั้น พร้อมกันนี้นางทัศนีย์ได้ลงลายมือชื่อรับรองไว้เป็นหลักฐาน

พนักงานอัยการซักค้านต่ออีกว่า ตลอดเวลานางทัศนีย์ให้ปากคำชั้นพนักงานสอบ สวนและในชั้นศาลนั้น ไม่เคยกล่าวถึงนางทองเรศ เพื่อนที่นั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์แม้แต่ครั้งเดียว เพิ่งจะปรากฏชื่อนางทองเรศ ในวันที่ 12 ก.พ.2557 หรือหลังจากเกิดเหตุผ่านไปแล้วเกือบ 10 ปี โดยนางทัศนีย์เดินทางไปยัง สภ.นาโดน อ.เรณูนคร บันทึกปากคำว่า วันเกิดเหตุมีนางทองเรศ หรือ แอ๋ว วงศ์ศรีชา เป็นผู้นั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ และเพิ่มรายละเอียดอีกว่าเห็นชายคนขับรถกระบะเป็นชายร่างสูงใหญ่ ใส่เสื้อสีทึบ ต่อมาวันที่ 23 ก.ย.2558 นางทัศนีย์ให้การในคดีรื้อฟื้นนี้ โดยในรายละเอียดมีชื่อนางทองเรศปรากฏอยู่ แต่คำให้การที่เพิ่มมาคือคนขับรถยนต์คันก่อเหตุเหมือนนายสับ วาปี

ทั้งนี้นางทัศนีย์ได้ตอบคำซักค้านของอัยการ โดยยืนยันว่าพนักงานสอบสวนไม่เคยถามว่าเห็นคนขับหรือไม่ หรือเรื่องนางทองเรศ ก็ไม่ได้ถามจึงไม่ได้บอก ส่วนเรื่องทะเบียนรถเจ้าตัวตอบว่าจำไม่ได้ อีกทั้งหลังสอบสวนก็ไม่ได้อ่านคำให้การ โดยพนักงานสอบสวนเป็นคนอ่านให้ฟัง จากนั้นพนักงานอัยการได้ขออนุญาตศาลนำคลิปวิดีโอที่นางทัศนีย์เปิดเผยแก่สื่อมวลชนมาเปิด จำนวน 2 คลิป ซึ่งนางทัศนีย์บอกว่ารถกระบะที่ขับชนคนตายท้ายกระบะมีหลังคา ซึ่งนางทัศนีย์ยืนยันว่าจริง ทั้งนี้รวมเวลาการซักถามเฉพาะนางทัศนีย์กว่า 3 ชั่วโมง ก่อนจะสืบพยานฝ่ายผู้ร้องที่เหลืออีก ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน โดยใช้เวลาสืบพยานรวมกันทั้ง 3 ปากนาน 5 ชั่วโมง ถือว่าเสร็จสิ้นการเบิกความในส่วนของผู้ร้อง โดยไม่มีนายสับ วาปี ผู้ออกมาอ้างว่าเป็นคนขับรถชนตัวจริงมาขึ้นศาลแต่อย่างใด

ต่อมาเวลา 14.30 น. เป็นการสืบพยานฝ่ายผู้คัดค้าน โดยมีบัญชีพยานเป็นตำรวจ 4 นาย และพลเรือนอีก 10 นาย รวมทั้งวัตถุพยานอื่นๆ รวมทั้งหมด 42 ราย พ.ต.อ.เกษม มุทาพร ผกก.สภ.เรณูนคร เปิดเผยก่อนขึ้นศาลว่า วันนี้ฝั่งพนักงานอัยการจะเบิกพยาน 3 ปาก เป็นกลุ่มคนที่อ้างว่าซื้อรถยนต์โตโยต้าทะเบียน บค 56 มุกดาหาร ต่อจากนายสับ วาปี มี นายเสริฐ รูปสะอาด บุคคลที่อ้างว่าเคยถูกชักชวนให้เข้าร่วมขบวนการรับจ้างรับผิดแทนครูจอมทรัพย์ให้เป็นคนขับรถชนคนตาย และมีนายอุบล ไชยบัน บุคคลที่อ้างว่า ซื้อรถมาจาก นายลัน โพนแก้ว อดีตผู้ใหญ่บ้านนันทวัน หมู่ 6 ต.กุดแข้ จ.มุกดาหาร ซึ่งทั้ง 2 คนนี้ก็จะขึ้นให้การในฐานะพยานฝั่งอัยการ

ขณะที่ในการสอบพยานในช่วงบ่าย นาย เสริฐ รูปสะอาด ให้การว่ารู้จักกับเพื่อนครูจอมทรัพย์ ต่อมาถูกชักชวนให้รับผิดแทนในคดีรถชนตาย โดยจะให้เงิน 2 แสนบาท ซึ่งได้บอกว่าขับรถไม่เป็น แต่ผู้ที่มาชักชวนบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนจะพาไปที่โรงพักเรณู นครแต่ก็ไม่ได้ขึ้นไป ก่อนจะพาไปให้การกับตำรวจว่าขับรถทะเบียน บค 56 มุกดาหาร โดยตลอดเวลาที่ให้การ ผู้ที่ชักชวนเป็นคนคอยให้ข้อมูลตำรวจแทน ซึ่งวันนั้นก็เห็นนายสับ วาปีกับภรรยา แต่ไม่ได้คุยกันจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก และเงินก็ไม่ได้ จนมีข่าวเรื่องรื้อคดีและนายสับออกมารับว่าเป็นคนชน

ส่วนวันที่ 10 ก.พ.อัยการจะเบิกพยานสำคัญ มีพนักงานสอบสวนชุดเดิมที่เคยทำคดี และหลักฐานสำคัญ เช่น การจดทะเบียนรถยนต์ บค 56 มุกดาหาร ใบบันทึกข้อความการรายงานความคืบหน้าข้อเท็จจริงชุดสืบสวนเดิม เป็นต้น ซึ่งทางฝั่งพนักงานอัยการจะยื่นพยานหลักฐานไปทั้งหมด 42 รายการ

ต่อมานายลัน โทนแก้ว เบิกความว่า ตนเป็นพี่เขยนายสับ วาปี เมื่อปี 2545 ตนพร้อมด้วยนายวันดี น้องเขยของนายสับเดินทางไปที่คลอง 16 ไม่ทราบว่าจังหวัดไหน แต่อยู่ใกล้ๆ กรุงเทพฯ เพื่อซื้อรถอีซูซุ สีเขียว เลขทะเบียน บค 56 มุกดาหาร ไม่มีหลังคา ต่อจากนายสับ ในราคา 25,000 บาท ให้นายวันดีเป็นคนขับกลับ นำมาใช้งานบรรทุกของในไร่ได้ประมาณ 2 ปี จึงประกาศขายในช่วงปลายปี 2547 โดยมีนายชัยพร ผู้ช่วยผญบ. พานายอุบล ไชยบัน มาซื้อรถของตนตกลงกันที่ราคา 33,000 บาท ตนได้มอบทะเบียนรถที่มีชื่อของนายสับให้ เพราะยังไม่ได้โอนมาเป็นชื่อตน นายอุบลจึงนำรถคันดังกล่าวกลับบ้านไป ทั้งนี้ 2-3 ปีที่ผ่านมา นายสับเคยติดต่อมาหาตนขอให้ช่วยไปเป็นพยานให้การว่าเป็นคนเร่ร่อนไม่ค่อยอยู่บ้าน ซึ่งตนปฏิเสธไปและไม่รู้ว่าจะให้ไปให้การที่ไหน

ต่อมานายอุบล ไชยบัน ขึ้นเบิกความว่า ปลายปี 2547 ตนได้ซื้อรถกระบะอีซูซุ สีเขียว บค 56 มุกดาหาร ต่อจากนายลัน แต่ชื่อในทะเบียนเป็นชื่อนายสับ วาปี ตนไม่ได้คิดอะไรเพราะเพียงจะนำมาใช้บรรทุกอ้อยและมันในสวน โดยปี 2548-2550 ตนได้นำรถไปตรวจสภาพและต่อพ.ร.บ. และต่อประกันในชื่อของตน จากนั้นได้ขายให้กับคนรับซื้อของเก่า ราคา 15,000 บาท ทั้งนี้ ประมาณ 2-3 ปีที่ผ่านมา มีคนมาติดต่อขอซื้ออะไหล่ชิ้นส่วนรถคันดังกล่าวจากตนแต่จำหน้าไม่ได้แล้ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน