ปส.ไม่ปล่อย สอบ “เบนซ์ เรซซิ่ง” อีกรอบ 16 ก.พ. หลังพบพยานหลักฐานขัดกับคำให้การของบอย จึงเปิดโอกาสให้นำหลักฐานการครอบครองรถลัมโบร์กินีมาชี้แจง แต่การสืบสวนของตร.ยืนยันครอบครองไม่ถูกต้อง อาจถูกเอาผิดฐานสมคบ-สนับสนุนทำผิด คาดสรุปสำนวนในสัปดาห์นี้ แย้มจับผู้ต้องหาเอี่ยวเครือข่ายอีกอย่างน้อย 1 คน ผบช.ปส.เผยพบ “อุสมาน สะแลแมง” แก๊งยาโยงไซซะนะหนีกบดาน ที่ลาว โดยทำศัลยกรรมใบหน้าตบตาจนท. พบสนับสนุนกลุ่มป่วนใต้ด้วย เหตุต้องใช้ เส้นทางขนยาไปมาเลย์

เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่บช.ปส. พล.ต.ท. สมหมาย กองวิสัยสุข ผบช.ปส. เปิดเผยถึงความคืบหน้าการสืบสวนจับกุมเครือข่ายยาเสพติดไซซะนะและสอบสวนนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือเบนซ์ เรซซิ่ง ว่าใน วันที่ 16 ก.พ. ตำรวจจะเรียกนายเบนซ์ เจ้าของรถหรูลัมโบร์กินี รุ่นกัลลาโด้ มาสอบปากคำเพิ่มเติมเป็นครั้งที่สอง เนื่องจากพบว่า พยานหลักฐานยังขัดแย้งกับคำให้การของ นายณัฐพล นาคคำ หรือบอย ผู้ต้องหาค้ายาเสพติดเครือข่ายไซซะนะ และเป็นเพื่อนของนายเบนซ์ โดยจะเปิดโอกาสให้นายเบนซ์ นำพยานหลักฐานเกี่ยวกับการครอบครองรถมาให้พนักงานสอบสวน เพื่อชี้แจงการ ครอบครองรถว่าได้มาอย่างถูกต้องหรือไม่

พล.ต.ท.สมหมายกล่าวอีกว่า จากแนวทางการสืบสวนของตำรวจยังยืนยันว่าเป็นการครอบครองอย่างไม่ถูกต้อง และอาจถูกดำเนินคดีในความผิดตามพ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยา เสพติด ในข้อหาสมคบหรือสนับสนุน ผู้กระทำความผิด โดยคาดว่าหากสอบสวน นายเบนซ์เสร็จสิ้นจะสรุปสำนวนได้ภายในสัปดาห์นี้ และเชื่อว่าจะจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ได้อีกอย่างน้อย 1 คน แต่ยังเปิดเผยรายละเอียดไม่ได้

พล.ต.ท.สมหมายกล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนการติดตามตัวนายอุสมาน สะแลแมง หนึ่งในผู้ต้องหาเชื่อมโยงเครือข่ายไซซะนะที่ยังหลบหนีอยู่ ทางการข่าวพบว่านายอุสมานได้ทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าและหลบหนีอยู่ในสปป.ลาว อีกทั้งยังพบว่ามีการสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย เนื่องจากเป็นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดไปสู่มาเลเซีย ซึ่งข้อมูลต่างๆ นั้น บช.ปส.ได้ประสานกับทางการสปป.ลาวอยู่ตลอด ขณะที่การตรวจยึดยาบ้า 2.6 ล้านเม็ดที่บ้านเช่าย่านสุวินทวงศ์ กทม.นั้น จากการสืบสวนพบเป็นของเครือข่ายชาวม้งผาขาว ซึ่งขณะนี้เคลื่อนไหวเรื่องการขนยาเสพติดตามแนวชายแดน

ด้านนายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงการควบคุมนายไซซะนะ และนายณัฐพล นาคคำ หรือบอย ว่าขณะนี้เป็นผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี โดยถูกควบคุมตัวอยู่ที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง กรุงเทพมหานคร โดยนายไซซะนะถูกควบคุมตัวอยู่ในแดนความมั่นคงสูง หรือ แดน 10 โดยเจ้าหน้าที่เรือนจำได้แยกให้นายไซซะนะนอนเพียงลำพัง ส่วนนายณัฐพล อยู่แดนความสูง หรือแดน 9 ดังนั้น ซึ่ง เครือข่ายยาเสพติดของนายไซซะนะที่ถูกจับกุมตัวได้นั้น จะไม่ได้พบหรือพูดคุยกัน โดยได้รับรายงานว่าช่วงเวลากลางวันนาย ไซซะนะลงมาจากเรือนนอน เพื่อใช้ชีวิตประจำวันตามปกติที่เรือนจำกำหนดไว้ให้

รายงานข่าวจากกรมราชทัณฑ์แจ้งว่า ระหว่างที่นายไซซะนะถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ ได้มีพี่สาวเดินทางมาขอเยี่ยมนายไซซะนะ และปกติแล้วจะมีทนายความเข้ามาพบนายไซซะนะ ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ทนายความจะมาพบลูกความ อย่างไรก็ตาม นายไซซะนะยังเขียนจดหมายไปถึงภรรยา โดยส่งไปที่จ.หนองคาย เพื่อขอความช่วยเหลือจากบุคคลสองคนในฝั่งประเทศลาว โดยระบุเป็นชื่อเล่น พร้อมทั้งฝากดูแลลูกให้ดีด้วย ส่วนนายณัฐพลนั้น มีแฟนสาวเดินทางมาเยี่ยม ทั้งนี้ จากการตรวจสุขภาพพบว่าทั้งหมดมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ไม่มีโรคประจำตัว และไม่ได้เรียกร้องอะไรจากทางเรือนจำเป็นพิเศษ

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. กล่าวถึงการ กวาดล้างเครือข่ายไซซะนะว่า นี่คือผลงานของตำรวจ คสช. และรัฐบาล ในการจับกุมและดำเนินคดี ขอให้เห็นว่านี่คือส่วนที่ดี ที่เขาทำ หากรัฐบาลนี้ไม่เข้ามา ไม่กำชับกำกับดูแลตำรวจเรื่องนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ นี่แสดงให้เห็นถึงการร่วมมือระหว่างประเทศ ตามที่ได้มอบหมาย ตามนโยบายแก้ไขปัญหายา เสพติดระหว่างประเทศทั้งประเทศจีน รัสเซีย จึงได้ข้อมูลมาสอบสวนดำเนินคดี ส่วนความ เชื่อมโยงกับเครือข่ายภาคใต้นั้นมีมานานแล้ว แต่ในเมื่อครั้งนี้มีการจับกุมเครือข่ายขนาดใหญ่ได้ เจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบว่าเชื่อมโยงกับเครือข่ายบุคคลในภาคใต้หรือไม่ ซึ่ง เจ้าหน้าที่กำลังทำงานอยู่

“ผมให้ปปง.ไปติดตามเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะเครือข่ายดังกล่าวตรวจสอบได้หลายทาง ทั้งตำรวจ เส้นทางการเงิน การสืบสวน เพราะรัฐบาลเอาจริงเอาจังเรื่องนี้ ฉะนั้นขอร้องว่าเมื่อเขาทำมาก็อย่าเพิ่งไปดูถูก ว่าสอบสวนอะไรก็ไม่สำเร็จ ทำอะไรก็ออกมาเหมือนเดิม ผมยืนยันว่าไม่ให้เหมือนเดิม เว้นแต่ว่าทำอะไรไม่ได้ หากทำได้ก็จะทำหมด ไม่เคยดึงเรื่องอะไรไว้ทั้งสิ้น” นายกฯ กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน