หนุ่มนักธุรกิจ เผยสาเหตุต้องปีนเสา เงินหายจากบัญชี 8 ล้าน มีหลักฐานปลอมลายเซ็น

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 ก.พ. ที่ บริเวณทางด่วนหลังกระทรวงสาธาณสุข นายเอกวิชช์ เกษเจริญ อายุ 39 ปี นักธุรกิจ จ.นครสวรรค์ ได้ปีนเสาโทรศัพท์ความสูง 10 เมตร เพื่อต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตนเอง หลังจาก ถูกปลอมลายเซ็นเพื่อถอนเงินออกจากบัญชีของธนาคารกรุงไทย เป็นเงินกว่า 8.3 ล้านบาท ซึ่งได้ไปเรียกร้องกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และมีการเรียกร้องความเป็นธรรมมาแล้วกว่า 10 ปี แต่ไม่มีความคืบหน้า

สภ.เมืองนนทบุรี ได้เข้าตรวจสอบเหตุและขอให้ลงมาด้านล่าง โดยได้ส่งเจ้าหน้าที่ขึ้นไปช่วยปลดล็อคอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยพร้อมกับปลดป้ายข้อความให้ ก่อนจะลงมาด้านล่างด้วยความปลอดภัย อ่านข่าว : หนุ่มปีนเสาไฟสูงกว่า 10 เมตร ไลฟ์ขอความเป็นธรรม ธนาคารปลอมลายเซ็นสูญ 8 ล้าน!

นายเอกวิชช์ กล่าวว่า ตนเองเป็นเป็นเจ้าของกิจการร่วมค้าห้างหุ้นส่วนจำกัดคงเพชรศักดิ์ คอนสตรัคชั่น กับ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ต.ทวีกิจ เสถียรก่อสร้าง ได้ตัดสินใจเปิดบัญชีไว้กับธนาคารกรุงไทย สาขา สวรรค์วิถี จ.นครสวรรค์ ใช้ชื่อบัญชี กิจการร่วมค้าห้างหุ้นส่วนจำกัดคงเพชรศักดิ์คอนสตรักชั่นกับห้างหุ้นส่วน จำกัด ต.ทวีกิจเสถียร ก่อสร้าง

นายเอกวิชช์ กล่าวอีกว่า โดยเหตุเกิดเมื่อปลายปี พ.ศ.2551 เพื่อนสนิทปลอมลายมือชื่อ ใบมอบฉันทะ ไปถอนเงินจากธนาคาร สาขาปากน้ำโพ ในอำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 8,377,371 บาท เพื่อใช้หนี้ธนาคารดังกล่าว โดยอ้างว่า ได้รับการมอบฉันทะ จากตนแล้ว ซึ่ง ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ตนถูกปลอมลายเซ็นและไม่มีเอกสารใดๆ เกี่ยวกับตนเลยแต่ทางพนักงานธนาคารกรุงไทย สาขา สวรรค์วิถี จ.นครสวรรค์ กลับดำเนินธุรกรรมทางการเงินในบัญชีของตน แบบไม่ติดใจสงสัยแต่อย่างใด

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

นายเอกวิชช์ กล่าวต่อว่า ตนมีหลักฐานยืนยันการกระทำความผิด โดยมีการแจ้งความดำเนินคดี และผลการตรวจพิสูจน์ลายมือจากกองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าไม่ใช่ลายเซ็นของตน นอกจากนี้ยังพบว่า ทางธนาคารไม่ได้มีการคืนเงินให้กับผู้ฝาก และพบว่า พนักงานของธนาคารจงใจฝ่าฝืนระเบียบเงื่อนไข ให้เบิกเงินต่างสาขาโดยการมอบฉันทะ , มีการถอนเงินเป็นจำนวนมากแต่ไม่มีการโทรแจ้งกับเจ้าของบัญชี , ในขณะทำการถอนเงินไม่มีบัตรประชาชนของเจ้าของบัญชี , มีการปลอมสำเนาบัตรประชาชนโดยไม่ได้มีการเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง , กฎหมายกำหนดว่าการโอนสิทธิ์จะต้องมีการทำหนังสือแต่กรณีดังกล่าวไม่มีหนังสือ และ มีการโอนเงินเข้าบัญชีผู้อื่นโดยไม่ได้คืนให้กับเจ้าของบัญชี

โดยกรณีที่เจ้าของบัญชีไม่ได้ไปดำเนินการถอนเงินด้วยตัวเองพนักงานธนาคารควรต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษแต่เมื่อมีการพิจารณาจากพยานหลักฐานและพฤติการณ์ของพนักงานธนาคารจึงเชื่อว่ากรณีนี้เป็นการร่วมกันเป็นขบวนการฉ้อโกง

ที่ผ่านมาตนได้พยายามร้องเรียนปัญหาที่เกิดขึ้นต่อธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่มาแล้ว หลายครั้ง แต่ปรากฎว่าเรื่องถูกส่งกลับมาให้ตนดำเนินการแก้ไขปัญหาเอง จนล่าสุดตนจึงได้เดินทางมาร้องเรียนกับทางสมาคมผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นและทางสมาคมได้พาตนไปร้องเรียนที่ธนาคารกรุงไทยสำนักงานใหญ่

จึงได้รับคำตอบจากธนาคาร ว่า 1.ต้องการทราบว่าระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบ 11 ปี ธนาคารกรุงไทยดำเนินการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร 2.พยานหลักฐานชัดเจน ลายเซ็นปลอม พนักงานจงใจทำผิดระเบียบ สุดท้ายโอนเงินเข้าบัญชีผู้อื่นไม่ได้คืนให้ผู้ฝาก เหตุใดจึงละเว้นไม่ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด เพื่อติดตามเงินคืน 3.ตามที่ออกแถลงการณ์วันที่ 16/1 เป็นเท็จ ขอให้อธิบาย และขอทราบผลการดำเนินการตรวจสอบวินัยพนักงาน นอกจากนี้ ตนยังเดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียน กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แต่ไม่คืบหน้า

สำหรับคดีนี้ ตนฟ้องร้องธนาคารต่อศาล ซึ่งศาลขั้นต้นมีคำตัดสินเมื่อปี2560 ยกฟ้อง และ ศาลอุทธรณ์ มีคำตัดสิน ปี 2561 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และนายเอกวิชญ์ ยื่นฎีกาสู้คดีต่อ ขณะนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา

“ผมรู้สึกมืดแปดด้าน ไม่รู้จะหาทางออกยังไง เพราะ ไปขอความเป็นธรรมต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้าใดใด ตอนนี้บ้านของผมก็กำลังจะถูกยึด จึงได้ตัดสินใจ ปีนที่สูง ตั้งแต่ 6.00 น. เพื่อให้คนเห็นว่า ผมเดือดร้อน และต้องการเงินคืน ต้องขอโทษที่ทำให้ทุกคนลำบาก แต่ผมไม่รู้จะทำยังไง

ผมไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าตัวตาย เพราะผมเตรียมเข็มขัดนิรภัยเซฟตี้มาอย่างดี หาก ไม่มีความคืบหน้าอีก ผมก็จะไปนอนอยู่ด้านหน้า ธนาคารกรุงไทย สำนักงานใหญ่ เพื่อให้เห็นว่า ผมเป็นลูกค้าคนหนึ่งที่เดือดร้อน จากการกระทำของพนักงานธนาคาร แต่กลับไม่รับผิดชอบใดใด “ นายเอกวิชช์ กล่าว

ทั้งนี้ ด้านธนาคารกรุงไทย ได้ส่งข้อความชี้แจงในเรื่องดังกล่าวว่า ฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ ธนาคารกรุงไทย แจ้งว่า จากกรณีที่ นายเอกวิชช์ เกษเจริญ ลูกค้าธนาคารกรุงไทย สาขาสวรรค์วิถีและปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ได้มาร้องเรียนว่าถูกปลอมลายมือชื่อในเอกสารประกอบการถอนเงินจำนวนกว่า 8 ล้านบาท นั้น

ธนาคารขอเรียนว่า กรณีดังกล่าวลูกค้าได้ยื่นฟ้องธนาคารในคดีความแพ่งต่อศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิจารณาและมีคำพิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2560 ต่อมาลูกค้าได้ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาและมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561

โดยขณะนี้นายเอกวิชช์ เกษเจริญ ได้ยื่นฎีกา และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ซึ่งเมื่อศาลมีคำพิพากษาเป็นเช่นใด ธนาคารน้อมรับปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เนื่องจากศาลได้วินิจฉัยตามพยานเอกสารและหลักฐานต่างๆ รวมทั้งพยานบุคคลที่คู่ความทั้ง 2 ฝ่ายนำสืบพยานแสดงต่อศาล ซึ่งทุกฝ่ายไม่ควรล่วงละเมิดคำตัดสินของศาล

ที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทย ได้ชี้แจงกระบวนการตรวจสอบและให้ข้อมูลกับลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง และให้คำมั่นใจว่าธนาคารกรุงไทย ไม่เคยละเว้นการดำเนินคดีผู้กระทำความผิดต่อธนาคาร ทั้งนี้ ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ธนาคารยึดมั่นในการปฏิบัติงานตามหลักบบรรษัทภิบาล ดำเนินงานอย่างมืออาชีพ ด้วยความซื่อสัตย์และโปร่งใส ให้บริการลูกค้าตามแนวทางของหลัก Market Conduct

 

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน