สัปดาห์เดียว นศ.ฆ่าตัวตาย 6 คน ศธ.กำชับ มหาวิทยาลัย จับสัญญาณผิดปกติ

จากกรณี ข่าวนักศึกษาก่อเหตุฆ่าตัวตาย โดยรายงานข่าวพบว่า ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดเหตุนิสิตนักศึกษาก่อเหตุกระโดดจากที่สูง โดยเลือกใช้สถานที่เป็นอาคารเรียนและหอพักจำนวน 6 ราย โดยเมื่อวันที่ 28 ก.พ. มีนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กระโดดจากอาคารหอพักได้รับบาดเจ็บอาการสาหัส ต่อมา วันที่ 1 มี.ค. มีนิสิตชั้นปีที่ 4 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระโดดลงมาจากอาคารคณะนิติศาสตร์ ภายในมหาวิทยาลัย และเสียชีวิต

หลังจากนั้น เมื่อวันที่ 4 มี.ค. เกิดเหตุนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ กระโดดจากอาคารรัตนพิทยา มหาวิทยาลัยขอนแก่น จนเสียชีวิต และล่าสุด วันที่ 6 มี.ค. มีนิสิตชั้นปีที่ 3 คณะบริหารธุรกิจ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กระโดดลงมาจากอาคารเรียนเสียชีวิต และล่าสุดเมื่อคืนที่ผ่านมา นศ.หนุ่มเพิ่งเรียนจบได้กระโดดหอพัก เสียชีวิตนั้น

เมื่อวันที่ 7 มีนาคม นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ตนในฐานะจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น พบว่าช่วงที่ผ่านมา มีเหตุการณ์นักเรียน นักศึกษา กระโดดตึกและเสียชีวิต เรื่องนี้ควรให้ความสำคัญที่เรื่องสุขภาพจิต ซึ่งปัญหาสุขภาพจิต เป็นความเจ็บป่วยทางจิต ไม่ใช่เรื่องว่าเครียดหรือไม่เครียดอย่างเดียว และผู้ที่ป่วยโรคซึมเศร้า เมื่อมีอาการจะมาบอกให้เขาคิดดีๆ คิดบวก ไม่ได้ผล เนื่องจากสารเคมีในสมองหลั่งออกมาเขาก็จะคิดแต่เรื่องลบ จะต้องได้รับการบำบัดรักษาที่ถูกต้อง

ปัจจุบัน เด็กส่วนใหญ่ป่วยโรคซึมเศร้ามากขึ้น และมีความเสี่ยงในเรื่องสุขภาพจิต ส่วนจำนวนเด็กและเยาวชนที่ป่วยโรคซึมเศร้ามีมากหรือไม่นั้น ตนไม่มีข้อมูล แต่สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากความเครียดในการเรียน ดังนั้น สถานศึกษาทุกระดับตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานไปจนถึงมหาวิทยาลัย ควรต้องมองเห็นความสำคัญในมิติสุขภาพจิตโดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย เข้ามาร่วมกันสร้างระบบดูแลสุขภาพจิตเด็กในโรงเรียน

“ที่ผ่านมาผมได้พยายามสื่อสารเรื่องนี้ไปที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ด้วย แต่ไม่สำเร็จง่ายๆ เพราะเวลาคนมองเรื่องนี้ ก็มองว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้านั้น เครียด หรือทำไมอ่อนแอ แต่จริงๆ เป็นเรื่องที่ต้องมองให้ลึกซึ้งในเรื่องของสุขภาพจิต เพราะฉะนั้น มหาวิทยาลัย ก็ต้องให้ความสนใจเรื่องสุขภาพจิต ครูเองก็ต้องคอยสังเกต เพราะคนที่คิดจะฆ่าตัวตายทุกคน 3 ใน 4 จะบอกคนใกล้ชิด จะแสดงออกว่าจะทำ หรือทิ้งร่องรอย

ดังนั้น ถ้าจับสังเกตคนใกล้ชิดได้ ต้องกล้าถามว่าเขามีความคิดนี้หรือไม่ เมื่อได้คำตอบก็รีบช่วย ขณะเดียวกันก็สามารถสังเกตได้จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น ไม่ยอมกินข้าว แยกตัวไม่เข้าสังคม กิจกรรมอะไรก็ไม่ทำให้มีความสุข ถ้าเป็นแบบนี้ต่อเนื่องประมาณ 1 สัปดาห์ ก็ต้องคอยดูแล หรือถ้าใช้คำพูด เช่น โลกนี้ไม่น่าอยู่ อยากตาย มีการเตรียมตัว เหล่านี้ก็ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงทางการแพทย์ก็จะมีกระบวนการดูแล ซึ่งพ่อแม่ หรือคนกว้างๆ อาจจะไม่รู้” นพ.ธีระเกียรติ กล่าว

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน