ทูลกระหม่อมฯ ประทานสัมภาษณ์ ปีนี้จะไม่โกรธใคร ถ้าคอมเมนต์เรื่องไม่จริงก็ไม่แคร์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (7 มีนาคม) ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จเยือนกรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ณ ศูนย์การจัดนิทรรศการ Messe Berlin Exhibition Ground สถานที่จัดงาน International Tourismus Borse (ITB) 2019 งานส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก

โดยทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประทานสัมภาษณ์สื่อมวลชนไทย เกี่ยวกับนโยบายการท่องเที่ยวเมืองรอง ใจความว่า การที่เราจะต้อนรับนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นแขกของเรา เราต้องเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับ ทำให้เขามีความสบายใจที่จะมาเที่ยว มาเยี่ยมบ้านเรา นักท่องเที่ยวเขาชอบเราเพราะทุกๆ ที่ทั้งเมืองหลักและเมืองรอง โดยเฉพาะเมืองไทยมีแหล่งท่องเที่ยวสวยงามจำนวนมาก ไม่ได้มีแค่ชายทะเล เราเองก็เคยไปหลายที่ จนบางทีก็รู้สึกประหลาดใจ โดยแต่ละที่ก็มีอัตลักษณ์ และมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง นับเป็นเสน่ห์ของแต่ละที่แต่ละชุมชน เราเป็นเจ้าของบ้าน เราต้องมีความภูมิใจในอัตลักษณ์ และแสดงอัตลักษณ์ของตัวเอง เพราะเรามีสิ่งที่คนอื่นไม่มี เพราะฉะนั้นเราต้องชูอัตลักษณ์ให้มันแตกต่าง

“เราพูดมาเสมอว่า คนไทยจะต้องมีจิตใจที่เป็นมิตร มีความเต็มใจที่จะบริการ ทำให้ทุกคนสะดวกสบาย มีความสุขที่จะมาบ้านเรา ชาวต่างชาติเขาคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดเวลาไปเยือนสถานที่ต่างๆ คือความปลอดภัย ถ้านักท่องเที่ยวมาแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย จะทำให้ไม่อยากกลับมาเที่ยวอีก เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยให้นักท่องเที่ยวรู้สึกปลอดภัย ต้องช่วยกันดูแล ให้อยู่ดีกินดี มีความสุข อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องดูแลคนไทยกันเองด้วย ในการที่จะโปรโมตแหล่งท่องเที่ยวบ้านเรา และทุกคนต้องช่วยกันร่วมมือร่วมแรง ในการทำงานของข้าพเจ้าก็คือ ร่วมแรงร่วมใจ ให้ทุกคนช่วยกัน ทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นเพื่อนกัน ททท.ได้โปรโมตเมืองรอง 55 จังหวัด พวกเราทุกคนต้องให้โอกาส สามารถมีโอกาสที่จะต้อนรับและเป็นเจ้าของบ้าน สามารถที่จะทำงานร่วมกัน”

“เมืองไทยสวยทุกที่ เท่ทุกเวลา… เพราะบางทีเราไปจังหวัดนี้ ยังไม่รู้ว่ามีสถานที่หรือของดีอะไร ต้องถามกัน ดังนั้นเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่ต้องช่วยกันโปรโมตและประชาสัมพันธ์ เพราะบางทีสิ่งดีๆ ก็อยู่ที่ปลายจมูก เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันนำข้อมูลเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ทุกๆ ที่ไปเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะหน้าร้อน ฝน หรือหนาว โดยเมืองไทยมีทั้งภูเขาและทะเล ศิลปวัฒนธรรม วัดวาอารามที่สวยงาม”

ทูลกระหม่อมฯ ทรงกล่าวต่อว่า ในการทำงานทูบีนัมเบอร์วันได้มีโอกาสไปต่างจังหวัด ปัจจุบันไปได้ครบทุกจังหวัดแล้วเพราะต้องไปทำงานแล้ว และเมื่อมีเวลาว่างจึงได้ไปเที่ยวในสถานที่ใกล้ๆ แต่บางครั้งก็ไม่ได้ไปเพราะต้องไปเช้ากลับเย็นหรือควบ 2 จังหวัด และจากการไปก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับเด็ก ๆ และผู้ปกครอง ยอมรับฟังกันและกัน ได้คุยกับผู้คนเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ เช่น ความเป็นอยู่ ยาเสพติด ปัญหาปากท้อง ซึ่งปัญหามีเยอะมาก ซึ่งเราก็อยากเข้าไปช่วยเหลือแก้ไข แต่เราไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง เพราะบางเรื่องก็ยาก ลึกล้ำ เราก็แก้ไม่ได้ทั้งหมด เพราะเราทำเรื่องยาเสพติดไม่ได้ ขณะที่ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องปากท้อง อย่างไรก็ตาม

บางทีไปไกลๆ ก็จะทำงานควบ 2 จังหวัด หากมีเวลาว่างก็จะค้างประมาณ 1 คืน เมื่อมีเวลาว่างไปในแหล่งท่องเที่ยว มีโอกาสได้ค้นพบสิ่งต่างๆ ที่ได้ไป เช่น นครพนม ที่เป็นเมืองริมโขง เป็นเมืองพญานาคพ่นน้ำขนาดใหญ่มากและสวยงามมากซึ่งก็พญาศรีสัตนาคราช ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิที่เราต้องไปกราบไหว้ ส่วนที่มุกดาหารก็มีพญานาคที่วัดรอยพระพุทธบาทภูมโนรมย์มีพญานาคคอยปกป้องพระพุทธรูปองค์สีขาวก็ศักดิ์สิทธิ์มากและได้ไปอธิษฐานที่นั่น

“โดยมากเดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าชอบไปวัด เพื่อทำให้จิตใจสงบ จะได้ไม่แก่ไม่เป็นอัลไซเมอร์ เพราะโกรธเกรี้ยวโมโหโทโส อารมณ์เสียก็จะเป็นสาเหตุโรคอัลไซเมอร์ได้ และปีนี้พระท่านบอกว่าไม่ให้เราโกรธใคร ซึ่งเราก็จะไม่โกรธเพราะเราไม่อยากแก่และเป็นอัลไซเมอร์ และเดี๋ยวนี้เมื่อไปเที่ยวที่ไหนก็พยายามถ่ายรูปสวยๆ มาลงในไอจี พยายามหาวิธีเขียนที่สนุก เพราะถ้าเขียนแบบวิชาการจะน่าเบื่อ คนก็ไม่อยากไปเที่ยว ว่ามีตรงไหนบ้างที่น่าสนใจเป็นการโปรโมตการท่องเที่ยวที่ได้ผล”

ทูลกระหม่อมฯ ยังได้ทรงตอบคำถาม เรื่องการใช้สื่อโซเชี่ยลนั้น ว่า เวลาสื่ออะไรออกไป เราจะใช้โซเชี่ยลเป็นหลักคือไอจี เพราะสื่อโซเชี่ยลไปได้รวดเร็วเข้าถึงทุกที่ทุกแห่งได้ผลดีกว่าด้านอื่น ได้ผลดีเยี่ยม และมีโอกาสได้โต้ตอบกัน ซึ่งต้องเปิดใจกว้างรับฟังทุกคอมเมนต์แม้ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ทุกคนสามารถคุยกับข้าพเจ้าได้ถ้ามีเวลาก็จะพยายามตอบ คนมาแสดงความคิดเห็นหลายคนก็ให้กำลังใจมาก ซึ่งเรารู้สึกขอบใจ ซาบซึ้งใจที่พวกเรามาให้กำลังใจทำให้สามารถที่จะกำมีกำลังใจทำงานดีๆ ต่อไป

แต่บางครั้งสื่อออนไลน์ก็มีข้อเสียที่ต้องระมัดระวังในการใช้ อย่างบางคนใช้ในการด่ากัน แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้โกรธอะไรเพราะมองว่าคนด่าทำให้เราหันมามองตัวเอง ได้ปรับปรุงตัวเองไม่ต้องชมตลอดเวลา อย่างเมื่อก่อนเคยเปิดเฟซบุ๊กสาธารณะก็มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก ก็มันดี แต่ตอนหลังๆ ก็เยอะไป ก็เลยปิด และถ้าเป็นเรื่องไม่จริงก็ไม่แคร์ ปีนี้พระท่านบอกว่าไม่ให้โกรธหรือโมโหใคร ตามสุภาษิตที่ว่าโกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ปีนี้จะไม่โมโหใครเลย เพราะถ้าโกรธและโมโหก็จะทำให้เราแก่เร็วและเป็นอัลไซเมอร์

ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์@ข่าวสด ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน