สบส.รับลูก ‘บิ๊กตู่’ ช่วย หมอนวด ถอนทะเบียน เหตุสมาคมฯผู้สอนทำผิดระเบียบราชการ เผยให้โอกาสชี้แจงอีก หากไม่ทำอาจเพิกถอน ขณะที่สมาคมฯไม่พอใจ ส่งหนังสือถึงสบส.หากไม่หยุด จะฟ้อง ฐานทำเสื่อมเสีย
ตามที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) ตรวจพบการขอขึ้นทะเบียน หมอนวด ที่ผ่านการอบรมจากสมาคมแห่งหนึ่งอย่างผิดปกติ จนต้องระงับการขึ้นทะเบียนกว่า 9 หมื่นราย เพราะพบว่าไม่ปฏิบัติตามระเบียบราชการ ไม่ทำตามกฎหมาย จนนายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วง และให้กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ช่วยเหลือนั้น
วันที่ 20 มี.8. นพ.ภัทรพล จึงสมเจตไพศาล ผู้อำนวยการกองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า จริงๆ ต้องบอกก่อนว่า สบส.ระงับการขึ้นทะเบียนหมอนวดเฉพาะที่อบรมกับสมาคมที่เปิดสอนนวดแห่งเดียวเท่านั้น เพราะที่อื่นปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ได้มีปัญหาอะไร ซึ่งสามารถขึ้นทะเบียนได้ มีเพียงสมาคมนี้เท่านั้นที่
สบส.ได้รับข้อร้องเรียนจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.) ศรีสะเกษและสสจ.เชียงใหม่ ในเรื่องคนที่มาขึ้นทะเบียนโดยใช้ใบของสมาคมฯ ซึ่งตรวจสอบแล้วว่าไม่ถูกต้อง ทั้งเรียนไม่ครบ ทั้งมีการซื้อ และจากฐานข้อมูลวัน สต๊อปเซอร์วิสของสบส. ก็ตรวจสอบพบว่า มีการขึ้นทะเบียนมากจนผิดสังเกต อย่าง 1 คนมาขอขึ้นทะเบียน 20-30 ใบเหมือนถูกมอบอำนาจมา
เมื่อเราเห็นก็มาตรวจสอบข้อมูลพบว่า วันหนึ่งจบกัน 300-400 คน หมายถึงลงวันจบพร้อมกันเยอะขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะตามกฎหมายจะระบุว่า หากสถานศึกษา หรือที่ใดจะขอเปิดโรงเรียน หรือสอนนักเรียนต้องขอเป็นโรงเรียนเอกชน ในเรื่องการการเรียนการสอนเรื่องนวดก็เช่นกัน แต่หากไม่ขอตามกฎของกระทรวงศึกษาธิการ ก็สามารถทำได้ แต่การอบรมต้องไปเกิน 7 คนต่อหลักสูตร และห้ามเปิดเป็นเฟรนไชส์ด้วย
Wดังนั้น สมาคมนวดต่างๆ หากจะทำก็ต้องทำตามกฎหมาย แต่กรณีนี้จบออกมาวันเดียว 300-400 คน ถือว่าไม่ถูก ย้อนแย้งกันแล้ว” นพ.ภัทรพล กล่าว
นพ.ภัทรพล กล่าวอีกว่า ทางสบส.จึงทำหนังสือไปขอข้อมูลกับทางสมาคมแห่งนี้ให้ชี้แจง ซึ่งเขาก็บอกว่า ไม่มีศูนย์สาขา ไม่มีการเปิดเฟรนไชส์ และทราบดีว่าต้องอบรมไม่เกิน 7 คนตามกฎระเบียบที่วางไว้ จึงขอให้ส่งรายชื่อนักเรียนที่ผ่านการอบรมกับสมาคมฯ เข้ามาปรากฏว่า ส่งมา 2 ครั้ง
ครั้งแรกคือ 70,000 คน ครั้งที่ 2 อีก 20,000 คนในระยะเวลา 10 กว่าปี ซึ่งว่ามากเกินไป เพราะหากนับตามกฎระเบียบที่อบรมได้ไม่เกิน 7 คนต่อหลักสูตรต่อรุ่น มากสุดจริงๆ ก็ไม่น่าจะเกิน 4-5 พันคนด้วยซ้ำ แต่นี่มากเป็น 9 หมื่นคน แบบนี้เราก็ต้องตรวจสอบ เพราะการนวดเกี่ยวกับคุณภาพ เกี่ยวกับความปลอดภัย จึงต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด และให้ระงับเรื่องนี้ก่อน
ที่ผ่านมาอธิบดี สบส.ได้สั่งการให้สมาคมฯชี้แจงเรื่องนี้ ปรากฏว่าก็ไม่ได้ชี้แจงเข้ามา แต่ขอขยายเวลาในการชี้แจงไป 30 วัน คือวันที่ 30 พฤศจิกายนก็ยังไม่ชี้แจง และอนุกรรมการที่ดูแลหลักสูตรนี้ก็เชิญสมาคมฯมาชี้แจงเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก็ยังไม่มาอีก แต่กลับส่งหนังสือยื่นเป็นโนติสด้วยซ้ำว่า ให้ทางสบส.ยกเลิกหนังสือสั่งการสสจ. ทั่วประเทศที่ว่าให้ระงับขึ้นทะเบียนหมอนวดแทน
“ไม่งั้นจะดำเนินคดีทั้งดคีแพ่ง และคดีอาญากับทาง สบส. เพราะแจ้งว่า ทางสบส.ทำให้สมาคมฯ ถูกดูหมิ่น ซึ่งเราตกใจมาก นี่เราผิดหรือ ในเมื่อมีข้อมูลชัด” นพ.ภัทรพล กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าสามารถเอ่ยชื่อสมาคมแห่งนี้ได้หรือไม่ นพ.ภัทรพล กล่าวว่า ขณะนี้ขอไม่เอ่ยชื่อ เนื่องจากขอระวังไว้ก่อน เพราะมีหนังสือจากสมาคมฯมาเช่นนี้ว่า ทำให้เขาเสื่อมเสีย แต่เราก็ยืนยันว่าที่ต้องระงับ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายที่กำหนดไว้ และเพื่อให้คุณภาพดีด้วย แต่ในส่วนของหมอนวดที่ถูกเพิกถอน สบส.ไม่ได้ทิ้ง เราได้ประสานกับสมาคมนวดอื่นๆ ซึ่งมีอีกหลายแห่งกว่า 10 แห่งจะมาให้การอบรมต่อ เพื่อให้ได้ใบรับรองหมอนวดเพื่อประกอบอาชีพได้ต่อไป
เมื่อถามว่า หลังจากนี้จะดำเนินการกับสมาคมฯอย่างไรต่อ นพ.ภัทรพล กล่าวว่า สบส.กำลังทำหนังสือถึงสมาคมฯ ให้ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องภายใน 15 วัน หากไม่ทำก็จะนำไปสู่การพิจารณาว่าจะเพิกถอนหลักสูตรต่อไป แต่จะเพิกถอนหลักสูตรอย่างไรนั้นต้องไปดูในรายละเอียดด้วย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของศูนย์สาขาที่มีการเปิดนั้น ขณะนี้ได้ขอให้ทาง สสจ.ได้ประสานไปยังศูนย์เหล่านี้ว่า ไม่สามารถปฏิบัติต่อได้ หากจะทำขอให้มาขออนุญาตจากทาง สบส. ให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ความผิดในเรื่องนี้จะมีอะไรบ้าง ผู้อำนวยการกองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ กล่าวว่า เรื่องนี้มี 2 ส่วน คือ ความผิดฐานแรก เป็นการไปปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ เรียกว่าคำสั่งทางปกครอง สูงสุดคือการเพิกถอนหลักสูตร ความผิดฐานที่ 2 คือ อาญาหรือทางแพ่ง โดยกรมไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่คือประชาชนที่ไปอบรม หรือไปเอาใบรับรองโดยเข้าใจว่าเป็นหน่วยงานของรัฐ
กลุ่มเหล่านี้ได้รับผลกระทบ เพราะไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้ ก็สามารถเป็นเจ้าทุกข์ในการดำเนินคดีได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ขอย้ำคือ สมาคมฯ แห่งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสุข ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรมการแพทย์ การการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เพียงแต่มาขออาศัยที่ราชพัสดุ มาตั้งในกระทรวงฯ เท่านั้น