ทั้งๆที่เมื่อมีการลงนามในคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 5/2560 นำเอา “มาต รา 44” มาเป็นเครื่องมือ
ก็ “ชัด” อยู่แล้ว
แต่เมื่อมีคำสั่งที่ 12/2560 ออกมาตอกย้ำซำอีกในวันที่ 24 กุมภาพันธ์
ก็ยิ่งชัด”แจ้ง”จางปาง
เพราะบุคคลที่เข้ามาแทนที่ นายพนม ศรศิลป์ ในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
คือ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์
ก่อนหน้านี้เป็น ผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ
มอง “ภูมิหลัง” แล้วถือว่า “อเนกประสงค์”
เท่ากับชี้ทิศทางของการบริหารจัดการปัญหาอันเกี่ยวกับ”ธรรมกาย” อย่างชนิดต่อสายตรง
ส่งมาจาก “ยุติธรรม”
เหมือนกับทุกอย่างจะมาจากสมองก้อนโตของ นายสุวพันธุ์ ตันยุ วรรธนะ
1 ระยะเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ กำกับและดูแลสำนักงานพระพุทธ ศาสนาแห่งชาติ(พศ.)
ทำงานใกล้ชิดกับ นายพนม ศรศิลป์
ไม่ว่าปัญหาการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ไม่ว่าปัญหาอันเนื่องแต่วัดพระธรรมกาย
1 วันนี้ นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ มาคุม”ยุติธรรม”
สืบทอดงานอันเกี่ยวกับปัญหา”วัดพระธรรมกาย”ต่อจาก พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา
รับผิดชอบ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ”
เมื่อนำเอาความจัดเจนจาก”สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ” มายัง”กรมสอบสวนคดีพิเศษ”
คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 12/2560 ก็ปรากฏ
ในฐานะที่คร่ำหวอดอยู่กับงานด้าน”การข่าว” นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ย่อมรู้อยุ่เป็นอย่างดีในเรื่องจุดอ่อน จุดแข็ง
จุดอ่อนของ “พศ.” เป็นอย่างไร
จุดแข็งของ “ดีเอสไอ” เป็นอย่างไร และสมควรจะเสริมไปในกระสวนเช่นใด
ในที่สุดหวยมาออกที่ “ดีเอสไอ”
พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ไม่เพียงมีรากฐานการเป็นตำรวจ
“ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยจะทำไม่ได้”
อายุระดับ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ย่อมรู้เป็นอย่างดีว่า “คำขวัญ” นี้มาอย่างไรจึงไม่แปลกที่ “ตำรวจ”จะไปดูแล”งานศาสนา”
เพราะว่า “พ.ต.ท.พงศ์พร” นั้นมีจุดเด่นอย่างยิ่งอยู่ที่ “พราหมณ์ เสน่ห์”
เท่ากับชี้”ทิศทาง”ในการจัดการ”ธรรมกาย”