พี่สาวร่ำไห้รุดรับศพน้องสาวธรรมกายที่เสียชีวิตสลด เสียใจที่ช่วยเหลือไม่ทันเพราะโทรศัพท์ถูกตัดสัญญาณเผยก่อนเกิดเหตุพยายามจะขอเข้าไปเยี่ยมแต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าจึงกลับพะเยา แต่ยังไม่ถึงบ้านก็ทราบน้องสิ้นใจแล้ว ด้านแพทย์ระบุปอดอักเสบติดเชื้อสาเหตุการตาย ดีเอสไอเตรียมเรียกพระ-ศิษย์ เล็งพระสนิทวงศ์แจ้งข้อหามาตรา 116 ยุยงปลุกปั่น บิ๊กตู่โวยมาตรา 44 ไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้คนตาย ด้าน รมต.ออมสินเผย 4 พระเถระผู้ใหญ่ร่วมถกสำนักพุทธฯ-ดีเอสไอหาทางออก โฆษกตร.หน่วยกู้ภัยแจงขั้นตอน-ไทม์ไลน์ช่วยชีวิตศิษย์ธรรมกาย

บิ๊กตู่โต้ตายรายที่ 2-ติดด่านตรวจ

เมื่อเวลา 10.40 น. วันที่ 2 มี.ค. ที่เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเสียชีวิตของลูกศิษย์ธรรมกายเป็นรายที่สองว่า เขาชี้แจงกันหรือยังว่าเสียชีวิตในวัดตรงไหน ในห้องปิดล็อกหรือไม่ ตายมากี่ชั่วโมงแล้ว คิดกันบ้าง ไม่ต้องมาถามตน ส่วนที่อ้างว่าสาเหตุเพราะติดด่านมาตรา 44 นั้น คงไม่ใช่ ใครจะไม่ให้เข้าไปดู มันเป็นข้ออ้างแล้วสื่อจะบ้าตามเขาทำไม สื่อก็เป็นเครื่องมือเขาแบบนี้ ตนชี้แจงไปกี่ครั้งแล้วจะเอาอะไรอีก

“ผมไม่เคยไปกำหนดสื่อเลย พูดแล้วก็ชี้แจง แต่ท่านจะมากำหนดผมไม่ได้ จำเอาไว้ ในเมื่อผมแตะท่านไม่ได้ ท่านก็อย่ามาแตะผม ที่ถามกันว่าวัดธรรมกายเขาต้องการปฏิบัติตามหลักไอโอ (จิตวิทยา) เขาพูดความจริงหรือเปล่า ถ้าจริงก็รับ ไม่จริงก็ไม่รับ สื่อต้องไปพูดความจริง ไม่ใช่ไปต่อความยาวสาวความยืด คิดถึงเจ้าหน้าที่ที่เขาทำงานนอนอยู่สามพันคน เขาร้อน คิดถึงลูกเมีย คิดกลับมาทางนี้บ้าง ไม่ใช่ไปทำให้กับคนที่ทำผิดกฎหมายตลอด ไปฟังเขาตลอด แก้ปัญหาไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

เมื่อถามว่าประเมินว่าสถานการณ์ขณะนี้เป็นการปกป้องพระธัมมชโยหรือปกป้องวัด นายกฯ กล่าวว่า เขาประเมินว่าธัมมชโยยังอยู่ ถ้าไม่อยู่เขาก็คงให้เจ้าหน้าที่เข้าไปแล้ว ถ้าจะบอกว่าไม่มีคนอยู่ ถ้าไม่อยู่จริงๆ คงให้เจ้าหน้าที่เข้าไปทุกอย่างก็จบ ให้เข้าไปตรวจ เพราะเจ้าหน้าที่ต้องทำงาน คุณจะมาบอกว่าผิดเล็กผิดน้อย แล้วอ้างคนบางคนว่าผิดมากกว่า อ้างอย่างนี้ได้ที่ไหนใครทำกัน พฤติกรรมเลียนแบบอย่างนี้ใช้ไม่ได้ อย่าไปขยายความให้เขาแบบนี้

ท้อถูกหารบพระ-ทำลายศาสนา

เมื่อถามว่าในการข่าวมีการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นขบวนการอะไร แล้วมาเขียนเป็นตุเป็นตะไปหมด สื่อมีข้อมูลทั้งหมด แต่ต้องการให้ตนตอบกับสิ่งที่มีปัญหากับคนอื่น สื่อต้องบอกให้เขาหยุดการต่อต้านเจ้าหน้าที่ ถ้าคิดว่าทำถูก บริสุทธิ์ก็ออกมาต่อสู้คดีทางกฎหมาย อย่าใช้วิกฤตศรัทธาประชาชนเป็นเกราะป้องกันตัวเอง ถ้าไม่ผิดก็คือไม่ผิด ปัญหาแบบนี้เกิดมากี่ครั้งแล้ว หลายคนหนีไปต่างประเทศ หลายคนที่ทำก็ยอมรับโทษ แต่บางพวกไม่รับ ทำอยู่อย่างนี้ สื่อก็ให้ท้ายอยู่แบบนี้

“วันนี้ผมจำเป็นต้องพูด เพราะเบื่อ ทุกคนคือคนไทยต้องมีหลักคิด ทำอะไรต้องมีหลักคิด อย่าใช้หลักการของสื่ออย่างเดียว วันนี้ประเทศมีปัญหาจะทำกันแบบปกติได้อย่างไร ผมเชื่อว่าสื่อทุกคนมีจรรยาบรรณ คิดเป็น แต่ต้องลดปัญหาให้ผมบ้าง ให้กฎหมายและเจ้าหน้าที่ทำงาน ไปฟังอีกข้างที่พูดเป็นสิบเรื่อง ซึ่งมันจริงบ้างไม่จริงบ้าง แต่นำมาเผยแพร่ให้เขาอีก มันจะให้สงบสุขได้อย่างไร ศาสนาจะปลอดภัยอย่างไร ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้าได้อย่างไร คิดตรงนี้ อย่าคิดว่าผมกำลังรบกับพระ กำลังทำลายศาสนา ถ้าวิจารณ์กันแบบนี้ ก็ท้อใจเหมือนกันแต่ท้อไม่ได้ เพราะต้องยืนตรงนี้” นายกฯ กล่าว

วิษณุแย้มมีเรื่องใหญ่ให้ผอ.พศ.ทำ

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีพ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เดินทางเข้าพบเพื่อรายงานตัวและรับมอบนโยบายในการทำงานหลังได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ว่า ใช้เวลาพูดคุยกันไม่นาน ตนได้มอบนโยบายไปเพียงว่าภารกิจเรื่องวัดพระธรรมกายเป็นภารกิจเฉพาะหน้า ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องการ ดึงพ.ต.ท.พงศ์พรมาทำ แต่เรื่องใหญ่ที่ต้องมาสานต่อมีอีกหลายเรื่อง รวมถึงยังมอบนโยบายไปอีก 2-3 เรื่อง แต่ตนไม่สามารถบอกได้ อย่างไรก็ตามการมอบนโยบายไม่ได้เน้นเรื่องวัดพระธรรมกาย เพราะพ.ต.ท.พงศ์พรรู้เรื่องนี้ดีกว่าตนอยู่แล้ว เพราะมาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ

นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลงานสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พ.ต.ท.พงศ์พร เข้าพบเพื่อรายงานตัวในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ ว่า ผอ.พศ.คนใหม่พบตนใช้เวลาไม่นานนักเพราะต่างคนต่างมีงานทำด่วน จึงเป็นเพียงการเข้ารายงานตัวเข้ารับตำแหน่งใหม่ และให้เห็นหน้ากันเท่านั้น ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก ส่วนการมอบนโยบายการทำงานต้องพูดคุยกันอีกครั้งหนึ่ง

“ผมให้ข้อมูลได้เพียงว่าพระ 4 ท่าน คือ 1.สมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามเจ้าคณะใหญ่หนกลาง 2.พระพรหมมุนี (สุชิน อคฺคชิโน) พระเลขาฯสมเด็จพระสังฆาชฯ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร 3.พระพรหมโมลี (สุชาติ ธมฺมรตโน) เจ้าคณะภาค 5 ผู้ช่วย เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ 4.พระพรหมบัณฑิต เจ้าอาวาส วัดประยุรวงศาวาส ที่จะได้พูดคุยกับ สำนักพุทธฯและดีเอสไอ แต่ตนยังไม่ทราบผลเป็นอย่างไร ยังไม่รับรายงานว่าพบกันหรือยัง และจะมีการพูดคุยกันเรื่องอะไรบ้าง แต่เชื่อว่าเมื่อเปลี่ยนผอ.สำนักพุทธฯใหม่แล้วทุกอย่างคงจะดีขึ้น คงต้องรอดูกันต่อไป อย่างไรก็ตามการเจรจาเป็นการทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้น ซึ่งก็ดีอยู่แล้ว”นายออมสินกล่าว

ดีเอสไอยอมรับคุมตัว”อัยย์”

ที่บก.ตชด.ภาค 1 พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และรองโฆษกดีเอสไอ กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนายอัยย์ เพชรทอง ที่ตลาดกลางคลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 1 มี.ค. ว่า เนื่องจากดีเอสไอได้ออกหนังสือเรียกนายอัยย์ให้มารายงานตัวในวันที่ 3 มี.ค.นี้ แต่เมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่พบนายอัยย์เดินทางไปที่ตลาดกลางคลองหลวง หลังพยายามจะอ้างเรื่องการเสีย ชีวิตของน.ส.พัฒนา เชียงแรง จากโรคหอบหืด เมื่อวันที่ 1 มี.ค. และนำประเด็นนี้มาใช้ในการเคลื่อนไหว เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปเชิญตัวนายอัยย์มาซักถามที่บก.ตชด.ภ.1

พ.ต.ต.วรณันกล่าวต่อว่า ทั้งนี้ จากการสอบปากคำพบว่าที่ผ่านมานายอัยย์มีพฤติการณ์เคลื่อนไหวการต่อต้านการปฏิบัติหน้าที่ของ เจ้าหน้าที่ จึงให้ฝ่ายกฎหมายไปร้องทุกข์ดำเนินคดีกับนายอัยย์ที่สภ.คลองหลวง ซึ่งมีหลายข้อหาด้วยกัน แต่เนื่องจากนายอัยย์ยังไม่มีความผิดซึ่งหน้า จึงได้แจ้งข้อหาและปล่อยตัวกลับไป ในส่วนของดีเอสไอได้ออกคำสั่งห้าม นายอัยย์เดินทางไปที่ตลาดกลางคลองหลวงอีก หากเจ้าหน้าที่พบก็ถือเป็นความผิดซึ่งหน้าและจะถูกจับกุมดำเนินคดีฐานขัดคำสั่งคสช.ทันที

ขู่งัดม.116 เล่นงานพระ-ศิษย์

รองโฆษกดีเอสไอกล่าวถึงกรณีวัดพระธรรมกายจะออกมาอธิบายเกี่ยวกับการเสียชีวิตของน.ส.พัฒนา ว่าเราได้ประชุมเพื่อหารือกันว่าหากปล่อยให้กระทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะเป็นปัญหาและอุปสรรคในการทำงานมากขึ้น อาจจะเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบในบ้านเมือง เช่นเดียวกับกรณีของนายองอาจ ธรรมนิททา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ที่ถูกดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้หรือไม่ ซึ่งทางฝ่ายกฎหมายกำลังพิจารณาอยู่ หากเข้าข่ายความผิดฝ่ายกฎหมายก็คงไปร้องทุกข์ดำเนินคดีอีกครั้ง

“อยากฝากไปถึงประชาชนว่าข้อมูลที่ท่านได้รับตามโซเชี่ยลต่างๆ อยากให้ระมัดระวังในการรับ ซึ่งรับได้แต่อย่าส่งต่อ เพราะหากข้อมูลที่ท่านส่งต่อไปเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จขึ้นมา ก็อาจเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ได้ ซึ่งเรากำลังมองว่าตรงนี้เป็นกลยุทธ์สำคัญของฝ่ายผู้ต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้อยู่ ซึ่งตอนแรกเราก็พยายามจะไม่ปิดกั้นการรับรู้ข่าวสาร แต่ตอนหลังมันไม่ใช่ มันเป็นข่าวสารบิดเบือน ทำให้สงคมสับสน” รองโฆษกดีเอสไอกล่าว และว่า การเสียชีวิตครั้งนี้ ในทางกฎหมายเรียกว่าการตายผิดธรรมชาติ คือยังไม่ปรากฏเหตุการเสียชีวิตว่าเสียชีวิตจากสาเหตุอะไร ซึ่งต้องรอเจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพก่อน

พ.ต.ต.วรณันกล่าวถึงการดำเนินคดีเกี่ยวกับมาตรา 116 ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งคลิปวิดีโอและข้อความบนเฟซบุ๊กที่มีการเผยแพร่มาตรวจสอบ เหมือนกับกรณีของนายองอาจว่านอกจากเรื่องขัดคำสั่งคสช.แล้ว จะมีความผิดอื่นรวมอีกหรือไม่ หากมีเราก็จะต้องให้ฝ่ายกฎหมายไปแจ้งความร้องทุกข์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีต่อไป เบื้องต้นได้ตรวจสอบของพระสนิทวงศ์ วุฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้มีการขัดหมายเรียกที่ดีเอสไอได้ออกไปก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ เรากำลังพิจารณาถึงพระสงฆ์รูปอื่นด้วย

เล็งเอาผิด”พระสนิทวงศ์”เร็วๆ นี้

พ.ต.ต.วรณันกล่าวต่อว่า ส่วนการดำเนินการในส่วนของการออกหมายเรียกผู้สนับ สนุนวัดพระธรรมกาย ขณะนี้มีการออกหมายเรียก 3 ผู้ประกอบการและผู้สนับสนุนในส่วนของเต็นท์ ที่เข้ามาทำการติดตั้งภายในพื้นที่ควบคุมพิเศษตามประกาศคสช.ที่ 5/2560 เพื่อให้เข้ามาชี้แจงเหตุผล ส่วนผู้ประกอบการรายอื่นๆ ขณะนี้ยืนยันว่าไม่อนุญาตให้เข้ามาติดตั้งในพื้นที่โดยเด็ดขาด สำหรับการดำเนินการผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 นั้น ขณะนี้ฝ่ายกฎหมายอยู่ระหว่างยืนยันตัวบุคคล เพราะมีการใช้ช่องทางออนไลน์ในการเผยแพร่ข่าวสาร ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึงตัวพระสนิทวงศ์ด้วยเช่นกัน ซึ่งคาดจะมีความชัดเจนในเร็วๆ นี้

พ.ต.ต.วรณันกล่าวถึงกรณีที่ทางวัดจะพาสื่อมวลชนเข้าไปดูห้องที่เกิดเหตุ ผู้ช่วยเภสัชเสียชีวิต ในประเด็นนี้ทางดีเอสไอขอย้ำว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้ปิดกั้นสื่อ หากมาแจ้งที่ประตู 7 ก็สามารถเข้าไปได้ แต่ต้องเข้าไปได้ทุกสื่อ หากทางวัดเจาะจงให้เข้าเพียงบางสื่อ เจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้เข้าเลย เพื่อให้สื่อทำงานได้อย่างสะดวกและเสมอภาคกัน พร้อมย้ำว่าจุดที่ลูกศิษย์เสียชีวิตเป็นบริเวณภายนอกรั้ววัดซึ่งเป็นที่พักของเจ้าหน้าที่วัดพระธรรมกาย อยู่ตรงข้ามกับประตู 14 ของวัด

บิ๊กป้อมชี้ในวัดก็มีสถานพยาบาล

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีผู้เสียชีวิตในวัดธรรมกายจะทำให้เกิดเป็นปัญหาบานปลายหรือไม่ว่า เรื่องวัดธรรมกายจะเป็นประเด็น มาโทษเจ้าหน้าที่ได้อย่างไร ถามว่าในวัดพระธรรมกายมีสถานพยาบาลหรือไม่ ซึ่งก็มีและดีด้วยก็ต้องสอบสวนกันไป และความจริงก็เกิดจากคนคนเดียว เป็นปัญหาใหญ่โต บ้านเมืองยุ่งเหยิงอย่างนี้ ก็เพราะคนคนเดียว ก็ต้องคิดดูให้ดี

ผู้สื่อข่าวถามว่าจากนี้จะคัดกรองผู้ป่วยออกจากพื้นที่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า เรื่องนั้นต้องเป็นเรื่องของวัดพระธรรมกาย ไม่ใช่เรื่องของเจ้าหน้าที่ หรือถ้าจะให้ตนคัดกรอง จะให้เข้าไปหรือไม่ จะยอมไหม ให้ตนไปคัดกรอง จะให้เจ้าหน้าที่ ตำรวจ ทหาร ดีเอสไอ มส. พระ ฝ่ายปกครอง ร่วมมือกัน หรือจะให้ใครก็เลือกมา พร้อมเข้ากันทั้งหมด เข้าไปดูแล้วว่าถ้าไม่มีคนที่มีหมายจับอยู่ก็จบ และให้เจ้าหน้าที่ไปดูว่าข้างในนั้นมีอะไรบ้าง ให้ความร่วมมือเจ้าหน้าที่

โต้จ้องยึดที่-ทรัพย์สินธรรมกาย

เมื่อถามว่ามีความพยายามให้เห็นว่าการที่ทำให้มีคนตายเพราะมาตรา 44 ทำให้ต้องตรวจเข้มงวด รองนายกฯ กล่าวว่า “ไม่ใช่เลยๆ ไม่ใช่ว่ามีมาตรา 44 แล้วทำให้เกิดคนตาย ทั้งคนขับ ทั้งนิติเวช ก็ออกมาให้สัมภาษณ์กันหมดทุกอย่าง และข้างในนั้นก็มีสถานพยาบาล พูดอย่างนี้เป็นการปลุกระดม เรื่องแค่นี้จะมาไอโออะไรกัน ผมว่ามันไม่ใช่ เราคนไทยด้วยกันทั้งนั้น ถ้าคิดว่าไม่ผิดก็ไม่ผิด แต่เมื่อมีการบอกว่าผิดก็ออกมารับแล้วเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม บ้านเมืองมีกฎหมาย สื่อเองก็ต้องบอก ขอให้ช่วยกัน จะมาบอกว่าเป็นประเด็นที่ต่อสู้กันได้อย่างไร เราไม่ได้ต่อสู้กัน”

ต่อข้อถามว่า มีการปล่อยข่าวว่ารัฐบาลจะเข้ายึดวัดมากกว่าที่จะเข้าจับธัมมชโย รอง นายกฯ กล่าวว่า “ไปยึดอะไร โธ่เอ้ย ของอยู่กับที่แล้วรัฐบาลจะต้องเสียกำลังเข้าไปยึดอะไร ผมไม่เห็นมีความจำเป็น สื่อก็บอกแทนผมไปเลยว่าไม่จริง” เมื่อถามว่าการข่าวรายงานหรือไม่ว่าธัมมชโยยังอยู่ภายในวัดหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่รู้ เราไม่แน่ใจ ตอนแรกก็นึกว่าอยู่ เอากำลังไปโดยที่ไม่คิดจะใช้มาตรา 44 แต่รู้สึกว่าขัดขวางเหลือเกิน ขัดขวางเพราะอะไร ปกป้องสถานที่ หรือปกป้องกลุ่มคนกันแน่ พอขอเข้าไปดูแล้วไม่ให้เข้าก็ยิ่งสงสัยว่าอยู่หรือไม่ เมื่อถามว่า สัญญาณโทรศัพท์คนใกล้ชิดธัมมชโยมีรายงานยังจับสัญญาณได้อยู่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า อันนั้นเป็นเรื่องของการข่าว ปล่อยเขา

ไพสิฐเตรียมเรียกรายงานตัวเพิ่ม

ที่บก.ตชด.ภ.1 พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษกล่าวถึงการดำเนินการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย ว่า นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมว.ยุติธรรม ได้กำชับให้ดีเอสไอปฏิบัติตามแผนที่มีตลอดเวลา โดยทุกอย่างให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งการจะดำเนินคดีต่างๆ ก็มีขั้นตอนอยู่แล้ว ส่วนจะดำเนินคดีกับใครบ้าง ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการรวบรวมพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่

อธิบดีดีเอสไปกล่าวว่าตั้งแต่มีปฏิบัติการตรวจค้นวัดพระธรรมกายมานั้น เจ้าหน้าที่ได้เก็บหลักฐานของผู้ที่เข้าข่ายการกระทำความผิดไว้หมดแล้ว และหลังจากนี้ก็จะมีการเรียกบุคคลเหล่านี้เข้ามารายงานตัวเรื่อยๆ แต่ไม่ขอเปิดเผยว่าเป็นใครบ้าง เช่นเดียวกับที่ตลาดกลางคลองหลวง ที่มีประกาศห้ามบุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ก็ได้เก็บรวบรวมหลักฐานไว้หมดแล้ว

บ.ก.ลายจุดเผยทหารให้หยุดพูด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบ.ก.ลายจุด นักเคลื่อนไหวและ นักกิจกรรมทางการเมือง โพสต์ข้อความทาง เฟซบุ๊กว่า ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารโทรศัพท์มาหา พร้อมขอให้หยุดแสดงความเห็นเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์การปิดล้อมของวัดพระธรรมกาย โดยหากไม่หยุด จะมีการเชิญตัวมาพบที่กองทัพเร็วๆ นี้

“ทางกองทัพให้คนโทร.หา ขอให้หยุดแสดงความเห็นเรื่องธรรมกาย หากไม่เชื่อจะเชิญมาพบที่กองทัพเร็วๆ นี้ ฟังแล้วเหงือกสั่นเลย” และ “เรื่องธรรมกายคนคุยกันครึ่งประเทศทำไมถึงมีปัญหากับผม”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายสมบัติได้เสนอว่า “การปิดสัญญาณโทรศัพท์มือถือที่ธรรมกายไม่ได้ช่วยทำให้ค้นหาผู้ต้องหาตามหมายจับได้ ผมเสนอว่าเอาทหารมาสัก 2 หมื่นคน แล้วเปิดวัดค้นวันเดียวให้จบ แล้วถอนกำลังกลับคืนวัดให้ชาวบ้านกับพระเขาทำกิจของสงฆ์ต่อ”

พี่รุดรับศพ-โวยตัดสัญญาณ

เมื่อเวลา 12.30 น. นางศิริญญา คำจีน พี่สาวน.ส.พัฒนา เชียงแรง อายุ 48 ปี ผู้ช่วยเภสัชกรสถานพยาบาลของวัดพระธรรมกาย ได้เดินทางมาที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ พร้อมกับญาติๆ โดยนางศิริญญากล่าวว่าตนเองทราบข่าวว่าน้องไม่สบายตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. เพราะได้โทรศัพท์ติดต่อกัน เวลานั้นสัญญาณโทรศัพท์ในวัดพระธรรมกายยังไม่ถูกตัด ต่อมาวันที่ 28 ก.พ. ประมาณ 23.00 น.ได้ส่งไลน์มาหาน้องสาว เพื่อสอบถามว่าหายดีหรือยัง ซึ่งน้องสาวของตนได้อ่านไลน์แต่ไม่มีการตอบกลับ ขณะนั้นตนมาจาก จ.พะเยา เพื่อมาหาลูกชายที่ จ.ปราจีนบุรี และจะแวะไปเยี่ยมน้องสาวที่วัดพระธรรมกาย แต่ไม่สามารถเข้าไปในวัดได้ จึงกลับบ้านที่ จ.พะเยา และยังไม่ทันจะถึงบ้านก็มีโทรศัพท์มาบอกว่าน้องสาวเสียชีวิตแล้ว

“รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะเป็นน้องคนสุดท้องและไม่สามารถที่จะช่วยเหลือน้องสาวได้เพราะสัญญาณโทรศัพท์ถูกตัด ปกติแล้วน้องสาวของตนไม่ได้เป็นโรคหืดหอบ มาทำงานเป็นผู้ช่วยเภสัชกรสถานพยาบาลของวัดพระธรรมกายและอยู่ที่วัดมาประมาณ 30 ปีแล้ว และไม่อยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับทุกคน สมควรที่จะหยุดกันได้แล้วกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับวัดพระธรรมกายไม่ว่าจะใครก็ตามและถ้าสัญญาณโทรศัพท์ใช้ได้ น้องสาวก็คงไม่เสียชีวิต” นางศิริญญากล่าว

ด้านแพทย์สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ ได้ลงในหนังสือรับรองการเสียชีวิตของนางสาวพัฒนาว่าเพราะปอดอักเสบ ติดเชื้อ

วัดพระธรรมกายพาดูห้องที่สาวตาย

เมื่อเวลา 13.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ประตู 7 ฝั่งถนนบางขันธ์-หนองเสือ ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เจ้าหน้าที่วัดได้นำสื่อมวลชนเข้าตรวจสอบพื้นที่บริเวณที่น.ส.พัฒนา เสียชีวิตขณะนำส่งเจ้าหน้าที่ อีกทั้งยังนำคณะสื่อมวลชนไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ถูกชายเข้ามาทำลายที่อาคารภาวนา 60 ปี และประตู 9 และประตู 15 ที่มีตู้คอนเทนเนอร์วางขว้างประตูในกำแพงวัดด้วย ด้านทางเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้ให้สื่อมวลชนทุกสำนักได้กรอกข้อมูลประวัติก่อนเข้าภายไปในวัดพระธรรมกายด้วย

สำหรับจุดที่ 1 ทางเจ้าหน้าที่วัดได้นำสื่อมวลชนเข้าตรวจคือหมู่บ้านศาสนูปถัมภ์ เฟส 1 ชั้นที่ 4 ห้องเลขที่ 1404 ตั้งอยู่ที่คลองแอล 2 ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นห้องพังของน.ส.พัฒนา

ด้านชายผู้ดูแลหมู่บ้านศาสนูปถัมภ์ เฟส 1 กล่าวว่า ทางน.ส.พัฒนาเป็นคนเก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร มีหน้าที่เป็นเภสัชกรที่หน่วยกู้ชีพรัตนเวช พอเลิกงานก็เข้าห้องทันที ซึ่งขณะที่เสียชีวิตนั้นตนไม่ทราบว่าเสียชีวิตกี่โมง แต่รู้เพียงว่ารถพยาบาลมาตอนประมาณเวลา 12.31 น. เท่านั้น

กู้ภัยเผยนาทีงัดห้องช่วยเหลือ

เมื่อเวลา 16.00 น. ที่บก.ตชด.ภ.1 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยสหพล ศรีสมบัติ อาสาสมัครป่อเต็กตึ๊ง และทีมชุดกู้ภัยรวม 3 ทีม ที่เข้าร่วมกันทำการช่วยเหลือน.ส.พัฒนา ที่เสียชีวิตในห้องพัก บริเวณพื้นที่วัดพระธรรมกาย 58 ไร่

นายสหพลกล่าวถึงลำดับเวลาในการเข้าช่วยเหลือผู้ป่วยภายในวัดพระธรรมกายว่า ได้รับแจ้งเหตุเวลา 11.52 นาที โดยรับแจ้งว่าให้ไปรับผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยหอบ เวลา 12.10 น. ป่อเต็กตึ๊ง พยาบาล และร่วมกตัญญูออกเดินทางไปยังประตู 7 วัดพระธรรมกาย ถอยรถเข้าจุดจอดพบเจ้าหน้าที่ด้านในวิ่งมาหาแจ้งเป็นพยาบาล และเพื่อนคนไข้ โดยขอให้ไปรับตัวคนไข้ด้านหลังจึงเคลื่อนรถออกจากประตู 7 เวลา 12.12 น. ตลอดเส้นทางมาเจ้าหน้าที่ตั้งด่านหลายจุด แต่รถไม่ได้จอดแม้แต่ด่านตรวจเดียวจนถึงอาคาร ซึ่งทหารได้ปล่อยผ่านเลย เพราะจะเข้าไปรับคนไข้วิกฤต โดยเวลา 12.20 น. ได้หยุดที่หน้าประตูบ้านพักพยาบาลและแจ้งให้เปิดประตู เวลา 12.22 น. ถึงตัวอาคาร ขึ้นไปห้อง 1404 ชั้น 4 โดยทีมแพทย์เตรียมอุปกรณ์ขึ้นปฏิบัติการ เมื่อถึงด้านบนก็ได้รับทราบว่าเข้าไม่ได้ ตนจึงปีนขึ้นไปดูตรงช่องลม และเห็นสภาพผู้ป่วยนั่งขัดสมาธิก้มหน้า จึงตัดสินใจพังประตู จากนั้นได้พยายามปั๊มหัวใจอยู่ 5 นาที ก่อนลงความเห็นว่าผู้ป่วยไม่มีชีพจรแล้วจึงเดินทางกลับ

ผลชันสูตรสมบูรณ์ต้องใช้เวลา

ด้านพ.ต.อ.กฤษณะกล่าวว่า ภาพรวมคือเจ้าหน้าที่ใช้เวลา 17 นาที หลังได้รับข้อความจากศูนย์สั่งการถึงตัวผู้ตาย บวกกับที่เจ้าหน้าที่พยายามปั๊มหัวใจ 5 นาที จุดเกิดเหตุไม่ได้ใกล้หรือไกลจนเป็นนัยยะสำคัญ ข้อกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่กักรถไม่เป็นความจริง ล่าสุดแพทย์ได้ออกหนังสือรับรองการตายแล้ว โดยระบุว่า ปอดอักเสบติดเชื้อ เพื่อให้ญาตินำไปออกใบมรณบัตร ส่วนผลการตรวจชันสูตรฉบับสมบูรณ์ยังต้องใช้เวลา ทั้งนี้ ภายในห้องพักของผู้เสียชีวิตพบยาจำนวนหนึ่ง เป็นยาขยายหลอดลม ยาฆ่าเชื้อ ซึ่งได้ส่งของกลางให้แพทย์แล้ว

รองโฆษก ตร.กล่าวอีกว่า อาสามัครกู้ชีพชุดแรกถอยออกมาเวลา 12.32 น. หลังจากนี้จะดูว่าใครมุสาวาทาหรือไม่ ส่วนเจ้าหน้าที่กู้ชีพชุดที่ 2 ได้รับแจ้งให้ไปตรวจสอบจุดเดียวกันนี้ในเวลา 13.30 น. โดยมีพนักงานสอบสวนและทีมแพทย์เข้าไปชันสูตรผู้เสียชีวิต เมื่อไปถึงก็ชันสูตรเก็บหลักฐานตามปกติ โดยถ่ายภาพบันทึกภาพ และนำศพลงมาเวลาประมาณ 14.40 น. จากนั้นนำศพมาพิมพ์มือที่สภ.คลองหลวง และส่งศพไปที่โรงพยาบาล ในการทำงานไม่เห็นว่าการตัดสัญญาณโทรศัพท์จะสร้างปัญหาอะไร เพราะคนที่แจ้งเหตุก็ใช้โทรศัพท์ได้ ซึ่งเหตุการณ์นั้นดีเอสไอเก็บหลักฐานไว้หมดแล้ว หลังจากนี้จะมีการดำเนินคดีต่อไป

แถลงโต้- พระสนิทวงศ์ วุฒิวังโส ผอ.สำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย นำข้อความในไลน์ของน.ส.พัฒนา เชียงแรง แช็ตตอบโต้กับเจ้าหน้าที่รถกู้ชีพ ก่อนเสียชีวิตจากหอบหืดกำเริบ ยืนยันถึงเหตุทำให้เสียชีวิตเป็นเพราะรถพยาบาลติดด่านตรวจตามมาตรา 44

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน