ไม่ใช่5ชั่วโมง “ดีเอสไอ-ไก่อู” รับแล้วเวลาเสียชีวิตสาวธรรมกาย ญาติเคลื่อนศพถึงบ้านที่พะเยาแล้ว แม่วัย 78 ร่ำไห้รอรับข้ามคืน “บิ๊กตู่”แจงออกทีวี ปมธรรมกายทำตามกฏหมาย นัยรัฐไม่รังแกพระ “บิ๊กเจี๊ยบ”วอนธัมมชโยมอบตัว เสียสละแค่คนเดียวเพื่ออีกหลายพันคนไม่ต้องเดือนร้อนแทน ตำรวจ่อหมายจับพระสนิทวงศ์ยุยงปลุกปั่น หากเจอตัวรวบทันที รวบ 11 พระ 14 ต่างด้าวคาตลาดป้าเช็ง โยงถูกจ้างมาป่วน

“บิ๊กตู่”แจงรัฐไม่รังแกพระ

เมื่อวันที่ 3 มี.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. กล่าวในรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนตอนหนึ่งว่า เรื่องที่อยากทำความเข้าใจคือกรณีวัดพระธรรมกาย ขอให้เจ้าหน้าที่ พุทธศาสนิก ชน ประชาชนทั่วไปทั้งประเทศได้อดทน ใช้สติปัญญาและวิจารณญาณในการแยกแยะการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ต้องแยกแยะให้ได้

“ผมอยากให้ฟังทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่-วัด-พระ-ประชาชน-สื่อ ก็คงจะต้องนำมาประมวลผลแยกแยะให้ออกว่าประเด็นอยู่ที่เรื่องอะไรที่ทำให้เกิดการยืดเยื้ออยู่ทุกวันนี้ เพราะรัฐต้องการจะรังแกพระและวัดจริงหรือเปล่า หรือเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทุจริต เรื่องกฎหมาย หรือการบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า ประเด็นการเมือง ขอให้ทุกท่านลองนึกย้อนกลับไปอย่างเป็นกลางแล้วแยกแยะให้ได้ว่าเราจะทำยังไงกันต่อไป” นายกฯ กล่าว

ก่อนหน้านั้น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลกรณีการเสียชีวิตของ น.ส.พัฒนา เชียงแรง ชาวจังหวัดพะเยา หน่วยแพทย์อาสาของวัดพระธรรมกาย ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการรายงานผลชันสูตรพลิกศพการเสียชีวิตแบบเป็นลายลักษณ์อักษร แต่คงไม่เกี่ยวกับเงื่อนเวลาในการช่วยเหลือ และบริเวณวัดพระธรรมกายมีสถานพยาบาลที่ชัดเจน แต่เพื่อสร้างความมั่นใจว่าประชาชนจะได้รับการดูแล พล.อ.ประยุทธ์จึงให้นำชุดพยาบาลจากทหารบก และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ไปจัดตั้งในพื้นที่ดังกล่าวโดยให้มีนายแพทย์ไปประจำการ เป็นการทำงานคู่ขนานไปกับทางวัดพระธรรมกาย โดยสั่งการไปเมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา

“บิ๊กเจี๊ยบ”วอนธัมมชโยมอบตัว

ที่หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก (นปอ.) พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ในฐานะผู้บัญชาการ กกล.รส. กล่าวถึงการสนับสนุนดีเอสไอ ในการบังคับใช้กฎหมายกับวัดธรรมกายว่า ขอพูดในประเด็นแรกถึงเรื่องการเสียชีวิตของบุคลากรในวัดธรรมกาย 2 คน ขอแสดงความเสียใจกับทางสองครอบครัว และไม่อยากให้ใครนำการสูญเสียทั้งสองครอบครัวมาใช้ประโยชน์ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม เพราะไม่สร้างสรรค์ เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วทุกฝ่ายเสียหมด และที่เสียมากที่สุดคือครอบครัวของผู้เสียชีวิต

พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้สังคมควรต้องพิจารณาด้วยเหตุผลว่าอะไรเกิดขึ้นอยู่ข้างหน้า กฎหมายถือว่าเป็นเรื่องสำคัญและเป็นหลักของบ้านเมือง อย่าเอาความเชื่อมาอยู่เหนือกฎหมาย และรัฐต้องดำรงเจตนารมณ์ในการบังคับใช้กฎหมาย ไม่อยากเห็นคน 3-4 พันคน ต้องมาทนทุกข์ทรมานลำบากเพราะคนเพียงคนเดียว สิ่งที่เห็นอยู่ในปัจจุบันถึงแม้ทุกคนจะบอกว่าเต็มใจที่จะมา ทั้งพระ เณร ลูกศิษย์ ก็ตาม

เมื่อถามว่าขณะนี้พระธัมมชโยติดต่อมาหรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัยกล่าวว่า ยังไม่มีใครติดต่อเข้ามาและเชื่อมั่นว่ายังอยู่ในวัด ไม่เช่นนั้นคงไม่มีมาตรการต่อต้านมากขนาดนี้ ขอให้ท่านก้าวออกมาคนเดียวก็จบ ประชาชน 3-4 พันคน จะได้ไม่ต้องมาลำบาก ทหารไม่ต้องไปยืนตากแดดตากลม ถามว่าทหารมีความสุขหรือไม่ บอกได้เลยทหารอยากหันหน้าไปทางชายแดนมากกว่า ทุกคนมีความทุกข์ในใจ คนเกือบหมื่นคนมีความทุกข์ คนเพียงคนเดียว มีความสุขถามว่าสังคมจะเอาอย่างไร สำหรับมาตรการต่างๆ ที่เจ้าหน้าที่จะกดดันนั้น เป็นไปตามกรอบหน้าที่ของดีเอสไอ ที่ต้องดำเนินการในแต่ละวัน ให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมายทุกอย่างมีเริ่มต้นก็ต้องมีจบ

“บิ๊กแดง”ยันดูแลประชาชน

ส่วนที่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 1 พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกกล.รส. กองทัพภาคที่ 1 กล่าวถึงกรณีการนำเสนอเรื่องมีคนเสียชีวิตในวัดพระธรรมกาย หลังมีการใช้มาตรา 44 ควบคุมพื้นที่ว่า เรื่องนี้เป็น 1 ใน 10 ประเด็นที่ต้องมีการปฏิรูปของสื่อว่าจะทำอย่างไรไม่ให้สื่อตกเป็นเครื่องมือยั่วยุการให้ข่าวสารที่ผิด ซึ่งขณะนี้ต้องแยก เรื่องกฎหมายที่ใช้กับผู้ที่ทำผิดกับ มาตรา 44 อยากให้สื่อช่วยชัดเจนในเรื่องนี้ การบังคับใช้ มาตรา 44 คือการช่วยให้คนทำงานได้ง่ายขึ้นในพื้นที่ ฉะนั้นขอให้แยกออกจากกัน ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะม.44 การที่พล.อ.ประยุทธ์ประกาศใช้ก็เพื่อเป็นกฎหมายรองรับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ และในทางกลับกันหลังการประกาศใช้ มาตรา 44 ตำรวจ ทหาร และดีเอสไอ ได้อำนวยความสะดวกให้ประชาชนได้ง่ายขึ้น

“ส่วนที่มีคนเสียชีวิตทั้ง 2 เหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพได้ออกมาชี้สาเหตุการตายอย่างชัดเจนแล้ว ทหารไปช่วยงานศพ แต่สื่อว่าทหารไปรื้องานศพ สื่อจะช่วยรัฐอย่างไร ทหารเขาไปช่วยจัดสำรับอาหารพระ ไปช่วยล้างจาน แต่ฝ่ายตรงข้าม ผู้ไม่ประสงค์ดีบอกว่าทหารไปรื้องานศพ สื่อจะช่วยกันอย่างไร ผู้ว่าฯ ปทุมธานี ก็หนักใจในส่วนนี้เหมือนกัน” เเม่ทัพภาคที่ 1 กล่าว

พล.ท.อภิรัชต์กล่าวว่า ได้เน้นย้ำทหารอยู่เสมอว่าให้บริการประชาชน ทำไมสื่อไม่ไปถ่ายภาพตอนที่เราบริการเด็กไปโรงเรียน ภาพทหารรับส่งประชาชน จนวินมอเตอร์ไซค์ประท้วงทำมาหากินไม่ได้ เพราะทหารรับส่งฟรี ตอนนี้ประชาชนข้างในอาจจะเดือดร้อนเพราะมีการปิดกั้นบางส่วนเพื่อสกรีนคน แต่เมื่อเราทำเขาเดือดร้อนแล้วเราจะเยียวยาช่วยเหลือเขาอย่างไร นี่คือสิ่งที่ทหารทุกหน่วยต้องคิด ซึ่งเราก็เอื้อประโยชน์ให้ประชาชน โดยการจัดรถรับส่งให้ฟรี ดูแลทุกอย่างให้ฟรี

มหาเถรฯถกธรรมกายไม่คืบ

วันเดียวกัน พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)เปิดเผยว่า ได้เข้ารายงานตัวต่อนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลพศ. นายออมสินเน้นย้ำให้ทำหน้าที่ประสานงานเกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย เพื่อให้การทำงานร่วมกับ ดีเอสไอ คณะสงฆ์ และเจ้าหน้าที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ส่วนในเรื่องการทำงานของ พศ. นายออมสินยังไม่ได้มอบหมายเรื่องใดมาเป็นพิเศษ เพียงแต่เน้นย้ำในเรื่องของวัด พระธรรมกายเท่านั้น

รายงานข่าวแจ้งว่า ตามที่มหาเถรสมาคมมีมติให้กรรมการมหาเถรฯ 3 รูป เป็นผู้แทนมหาเถรฯ ไปดำเนินการเจรจาหาทางออกเกี่ยวกับกรณีวัดพระธรรมกายยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เนื่องจากทางวัดพระธรรมกายยังไม่ไว้ใจในการทำหน้าที่ของดีเอสไอ ตัวแทน มหาเถรฯ จึงทำได้เพียงขอให้ไม่ให้เกิดการเผชิญหน้าเท่านั้น และหาทางแก้ไขปัญหาเป็นรายวันตามสถานการณ์ไป เช่น การให้พระ เณรของวัดพระธรรมกายสามารถออกไปสอบบาลีได้ การจัดส่งอาหารเข้าไปในวัดพระธรรมกายที่จะจัดพระสงฆ์ไปคอยเจรจาให้สามารถจัดส่งอาหารเข้าไปในวัดพระธรรมกายได้เป็นมื้อๆ และงดให้มีการจัดส่งอาหารสด เพื่อป้องกันการกักตุนอาหารไว้เพื่อประกอบอาหารภายในวัด

บรรยากาศบริเวณตลาดกลางคลองหลวง สถานที่ปักหลักพักค้างของพระและศิษย์ วัดพระธรรมกาย ถนนบางขัน-หนองเสือ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ตรงข้ามถนนเลียบคลองแอล 2-3 มีลูกศิษย์ใส่บาตรพระกันตามปกติ แต่บางตากว่าที่ผ่านมา ขณะที่ถนนประตู 5-6 ตำรวจควบคุมฝูงชนยังคงปฏิบัติหน้าที่กันตามปติ โดยพระสงฆ์จากวัดพระธรรมกายออกมาบิณฑบาตได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษจากเจ้าหน้าที่ที่ดูแลความสงบเรียบร้อย ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ดีเอสไอยังคงเข้มงวดตรวจบัตรพระสงฆ์ที่จะเข้าไปบิณฑบาตในตลาดกลางคลองหลวง ส่วนที่ประตู 7 บรรยากาศเงียบเกือบจะเข้าสู่ภาวะปกติ มีตำรวจปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่มาติดต่อกับทางวัดเหมือนทุกวันที่ผ่านมา

หมายจับพระสนิทวงศ์

วันเดียวกัน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ร่วมประชุมประเมินสถานการณ์และแนวทางปฏิบัติการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย เพื่อติดตามจับกุมตัวพระธัมมชโย ที่บก.ตชด.ภาค 1 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักษ์ศักดิ์สกุล รองอธิบดีและโฆษกดีเอสไอ พศ. ตำรวจ และกรมการปกครอง

ต่อมาพ.ต.อ.ทรงศักดิ์ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า จากกรณีที่พระสนิทวงศ์ไม่มาปรากฏตัวแถลงข่าวเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา โดยส่วนตัวแล้วไม่ทราบสาเหตุ แต่ยืนยันว่าดีเอสไอยังไม่ได้มีการควบคุมตัวพระสนิทวงศ์แต่อย่างใด พร้อมย้ำว่าพระสนิทวงศ์ถูกออกหมายเรียกแล้ว 2 ครั้ง ฐานฝ่าฝืนคำสั่งคสช. หากไม่เข้ามารายงานตัวเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการออกหมายจับต่อไป ส่วนการดำเนินการความผิดฐานยุยงปลุกปั่นฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ฝ่ายกฎหมายอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน ส่วนการออกหมายเรียกพระสงฆ์ 14 รูปนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างออกหมายเรียกครั้งที่ 2

พ.ต.อ.ทรงศักดิ์กล่าวถึงกรณีเตรียมดำเนินคดีกับกลุ่มพระสงฆ์และบุคคลที่ฝ่าฝืนคำสั่งคสช.ว่า ขณะนี้ได้ออกหมายเรียกกลุ่มบุคคลซึ่งเป็นอดีตการ์ดในการชุมนุมทางการเมืองในอดีตที่ผ่านมา และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องรวม 30 คน โดยฝ่ายกฎหมายแจ้งความดำเนินคดีกลุ่มบุคคลที่ฝ่าฝืนตำสั่งคสช.ต่อสภ.คลอง หลวง 16 คดี สภ.คลองห้า 14 คดี และกองปราบปรามอีก 2 คดี ทั้งหมดเกิดขึ้นหลังจากที่มีการประกาศใช้กฎหมายมาตรา 44 เข้ามาดำเนินการวัดพระธรรมกาย

ด้าน พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1) เปิดเผยว่า ดีเอสไอได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย ที่ กองบังคับการปราบปรามแล้ว เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ที่ผ่านมา เพื่อดำเนินคดีใน 2 ข้อหา คือ ความผิดตามประมวลกฏหมายมาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่น และความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยอยู่ระหว่างการรวมรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินการขอศาลอาญา รัชดาฯ ออกหมายจับพระสนิทวงศ์ต่อไป ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอควบคุมพระสงฆ์และสามเณร รวม 11 รูป ประชาชน 6 คนและ บุคลต่างด้าวอีก 14 คน มาสอบสวน เบื้องต้นตำรวจ จะดำเนินคดีในฐานฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.

กำแพงพระขวางรื้อเต็นท์

ส่วนกรณีการออกหนังสือเรียก 4 ผู้ประกอบการและผู้สนับสนุนในส่วนของเต็นท์ที่เข้ามาติดตั้งภายในพื้นที่ควบคุมพิเศษตามประกาศคสช.ให้เข้ามาชี้แจงเหตุผล พ.ต.อ.ทรงศักดิ์กล่าวว่าขณะนี้ได้มีผู้ประกอบการเดินทางเข้ามารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่แล้ว 2 ราย ส่วนอีก 2 รายยังไม่ได้รับการประสาน การออกหนังสือเรียกมานั้น เพื่อทำความเข้าใจถึงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งให้นำเต็นท์ที่มีการติดตั้งไว้ในบริเวณตลาดกลางคลองหลวงออกจากพื้นที่ทั้งหมดด้วย หากไม่มีรายงานตัวก็จะต้องมีการดำเนินการตามกระบวนการต่อไป

ต่อมาเวลา 13.30 น. เจ้าหน้าที่ดีเอสไอเตรียมรื้อเต็นท์ภายในตลาดกลางคลองหลวง โดยเชิญเจ้าของเต็นท์ไปหารือ โดยเจ้าของยินยอมให้เจ้าหน้าที่รื้อถอน เนื่องจากหมดสัญญาเช่าแล้ว แต่พบพระสงฆ์จำนวนมากนั่งสวดมนต์ล้อมรอบบริเวณรอบเต็นท์ ทำให้เจ้าหน้าที่เกรงว่าถ้าเข้าไปรื้อแล้วจะมีการปะทะกับมวลชนและพระภิกษุสงฆ์ จึงได้นำเรื่องปรึกษาหารือกับทางเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ส่วนกลุ่มมวลชนที่อยู่ในตลาดกลางคลองหลวงเวลานี้ ทางด้านกลุ่มมวลชนได้มีการเรี่ยไรเงินให้พระภิกษุสงฆ์เพื่อจะนำไปซื้อเต็นท์มากางให้กับมวลชนที่อยู่ภายในตลาดได้เหมือนเดิม

จับพระ-ต่างด้าวโยงจ่อป่วน

เวลา 16.00 น. พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีดีเอสไอ พร้อมกำลังทหารควบคุมตัวพระภิกษุ-สามเณร จำนวน 11 รูป บุคคลต่างด้าวชาย-หญิง 14 คน และชาวบ้าน 6 คน ที่โกดังในตลาดป้าเช็งใกล้ตลาดไท ขณะกำลังจัดเตรียมสถานที่ให้คณะศิษย์ที่ตลาดกลางคลองหลวงย้ายจุดไปชุมนุมที่โกดังดังกล่าว เบื้องต้นพบการติดตั้งระบบไฟ กล้องวงจรปิด นำเอาถังน้ำขนาดใหญ่มากัน และใช้สแลนขึง จึงควบคุมตัวไปสอบปากคำที่ บก.ตชด.ภ.1

ต่อมาพ.ต.อ.ทรงศักดิ์เผยถึงกรณีที่จับ พระสงฆ์ สามเณร และชาวต่างด้าว ที่ตลาดป้าเช็งคลองหลวงว่า พบว่าเดินทางมาจากจังหวัดอุบลราชธานี การข่าวชัดเจนว่ามีการย้ายถิ่นฐานจากตลาดกลางคลองหลวงมาที่ตลาดป้าเช็ง เพื่อจะมาก่อความไม่สงบ ในพื้นที่จากหลักฐานทางไลน์ โดยมีนายจ้างชักนำเข้ามา จึงนำตัวมาสอบสวนที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 เพื่อคัดกรองพบพระสงฆ์ 3 รูปไม่มีใบสุทธิ ส่วนสามเณรอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าบวชจริง หรือไม่ ถ้าพบว่าบวชไม่จริงก็จะแจ้งความดำเนินคดี และพบหลักฐานการโอนเงินหลักแสนบาท โดยจะตรวจสอบว่าการโอนเงินเชื่อมโยงต่อเหตุการณ์ครั้งนี้หรือไม่ ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า พระธัมมชโยได้ติดต่อ ขอมอบตัวนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง

อ้างพุทธยุโรปจ่อฟ้องยูเอ็น

ต่อมาเวลา 09.00 น. พระมหาทศพร ปุญญงฺกุโล พระลูกวัดพระธรรมกาย ออกแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชนแทนพระสนิทวงศ์ วุฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย ที่เคยเป็นผู้แถลงประจำ โดยชี้แจงกรณีการเสียชีวิตของ น.ส.พัฒนา เชียงแรง โดยยืนยันว่า พระมหานพพร ปุญฺญชโย ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย ติดต่อเจ้าหน้าที่ดีเอสไอในเวลา 13.31 น. ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่ทราบว่าเสียแล้ว เพื่อช่วยประสานงานความเรียบร้อย

นอกจากนั้นในคำแถลงยังระบุว่า ผู้เสียชีวิตเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ย่อมทราบอาการป่วยของตนเองจึงได้ร้อง “ขอยาพ่น” จากเพื่อน เพื่อมาระงับอาการที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เสียเวลาติดด่านเจ้าหน้าที่ เพราะเป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษตาม ม.44 ต้องผ่านถึง 5 ด่าน ประกอบกับถูกตัดสัญญาณโทรศัพท์ เพราะ ม.44 จึงเป็นเหตุให้เสียชีวิต

ส่วนกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ศิษยานุศิษย์ตั้ง “กองทุนเยียวยาช่วยเหลือสหกรณ์” เท่ากับจำนวนเงินที่นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตผู้บริหารสหกรณ์ฯ นำมา บริจาค จำนวน 1,057 ล้านบาท เมื่อสหกรณ์ได้รับการเยียวยาจากศิษย์วัดแล้ว ความเสียหายของสหกรณ์ในส่วนที่ศุภชัยนำมาบริจาคให้หลวงพ่อจึงหมดไปแล้ว ปัจจุบันรัฐบาลทุ่มงบประมาณไม่ต่ำกว่า 48 ล้าน นำกองกำลังมาตามจับพระธัมมชโย โดยอ้างเหตุความเสียหายของสมาชิกสหกรณ์ซึ่งไม่เกี่ยวกันแล้ว ทำไมไม่เอางบประมาณกว่า 48 ล้านไปช่วยสมาชิกสหกรณ์ที่กำลังลำบาก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสหกรณ์บ้าง มีอะไรแอบแฝงหรือไม่

สำหรับกรณีการประชุมองค์กรพุทธโลก ณ เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ ขอแจ้งว่า กรณีวัดพระธรรมกายไม่มีในวาระการประชุมปกติ แต่เป็นวาระจร ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายอย่างเร่งด่วนและกว้างขวาง เนื่องจากวัดพระธรรมกายซึ่งเป็นองค์กรพุทธไทย ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ขณะนี้ทางกระทรวงต่างประเทศ ของประเทศอังกฤษ ตอบรับเรื่องของวัดพระธรรมกายแล้ว และแจ้งว่าจะนำเรื่องนี้ส่งต่อให้ผู้เกี่ยวข้อง ทั้งท่านเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ทั้งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศจะได้เข้าพูดคุยเรื่องสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพทางการนับถือศาสนากับพล.อ.ประยุทธ์ต่อไป นอกจากนั้นสมาคมชาวพุทธทวีปยุโรปยืนยัน มีการยื่นหนังสือร้องเรียนต่อองค์กรสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กรณีวัดพระธรรมกายถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน จากรัฐบาลที่ใช้ ม.44 ที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่องค์กรสหประชาชาติ

ดีเอสไอ-ไก่อูรับไม่ใช่ 5 ชม.

วันเดียวกัน พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ ดีเอสไอ และรองโฆษกดีเอสไอ กล่าวชี้แจงกรณีมีการสับสนเรื่องเวลาการเสียชีวิตของ น.ส.พัฒนา เชียงแรง ที่มีการให้ข้อมูลในวันแรกที่เกิดเหตุว่าเสียชีวิตมาแล้ว 5 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา ว่า ข้อมูลดังกล่าว เป็นข้อมูลเบื้องต้นหลังจากเจ้าหน้าที่กู้ชีพได้เข้าไปพบศพ น.ส. พัฒนาที่อยู่ภายในห้องพัก และประเมินสภาพศพเบื้องต้นในที่เกิดเหตุ จึงคาดว่าเสียชีวิต มาแล้ว 4-5 ชั่วโมง จากนั้นแพทย์พร้อมด้วยพนักงานสอบสวนนำศพกลับไปชันสูตรพลิกศพยังโรงพยาบาลอีกครั้ง

พ.ต.ต.วรณันกล่าวอีกว่า ต่อมาในช่วงเย็นวันเดียวกันทางทีมโฆษกดีเอสไอประสานไปยังแพทย์ผู้ตรวจชันสูตรพลิกศพ เพื่อสอบถามความชัดเจนเกี่ยวกับการเสียชีวิต แพทย์ได้รายงานว่า หลังตรวจชันสูตรพลิกศพเบื้องต้นแล้ว ทราบว่าน.ส.พัฒนาเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 2 ชั่วโมงนับจากที่แพทย์ได้เข้าไปชันสูตรพลิกศพ น่าจะเสียชีวิตประมาณ ช่วงเที่ยงนิดหน่อย อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิต ของน.ส.พัฒนาเป็นการตายผิดธรรมชาติ โดยสำนวนชันสูตรพลิกศพเป็นของสภ. คลองหลวงร่วมกับแพทย์ ซึ่งพนักงานสอบสวนจะได้ติดตามต่อไป

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่เกิดความสับสนเรื่องเวลาการเสียชีวิตของ น.ส.พัฒนา เชียงแรง เภสัชกรสาววัดพระธรรมกาย ที่เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว ซึ่งในวันแรกที่เกิดเหตุคาดว่าเสียชีวิตแล้ว 4-5 ชั่วโมง ก่อนที่แพทย์จะเข้าชันสูตรศพ แต่ขณะนี้ผลชันสูตรออกมาแล้วว่าเสียชีวิตก่อนชันสูตรศพ 2 ชั่วโมงคือในเวลา 12.00 น. ความชัดเจนเป็นอย่างไรว่า คงต้องถามกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เจ้าหน้าที่ตำรวจ และมูลนิธิที่เข้าไปถึงในที่เกิดเหตุก่อน ในส่วนของรัฐบาลก็ได้ชี้แจงในรายละเอียดเบื้องต้นตามี่ได้รับรายงานมา ต้องไปถามหน่วยงานที่กำกับดูแลเป็นหลัก

แม่ร่ำไห้รอศพถึงบ้าน

ส่วนที่บ้านเลขที่ 44 ม.3 ต.เชียงแรง อ.ภูซาง จ.พะเยา สถานที่จัดงานศพของ น.ส.พัฒนา เชียงแรง ซึ่งเคลื่อนศพไปถึงเมื่อเวลา 00.00 น. ที่ผ่านมา นางคำจวน เชียงแรง อายุ 78 ปี มารดาผู้เสียชีวิต นอนไม่หลับอยู่รอศพลูกกลับถึงบ้าน ร่ำไห้อย่างสุดซึ้งกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของลูกสาวคนเล็ก โดยครอบครัวกำหนดตั้งศพบำเพ็ญกุศลให้ทุกคืนที่บ้านจนถึงคืนวันที่ 8 มี.ค. และฌาปนกิจในวันที่ 9 มี.ค. ถือว่าเก็บศพเขาไว้ 9 วัน 9 คืน นับจากวันที่เสียชีวิตคือวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา

นางคำจวนกล่าวว่า น.ส.พัฒนา หรือ หล้า เป็นลูกสาวคนสุดท้องในจำนวนลูกทั้งหมด 6 คน พ่อของหล้าเสียไปกว่า 30 ปีแล้ว เมื่อไม่มีพ่อต่อมาหล้าจึงถือเป็นกำลังหลักของครอบครัว ดูแลทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะดูแลแม่ที่ไม่สบาย ป่วยด้วยโรคประจำตัวที่เป็นโรคหัวใจ ความดัน ทุกเดือนจะกลับมาบ้านเพื่อพาแม่ไปหาหมอตามนัด กลับบ้านครั้งหนึ่งจะพาแม่ไปหาหมอและอยู่ดูแลจนแม่สบายขึ้นนานประมาณ 2 สัปดาห์ จะขับรถกลับกรุงเทพฯ เพื่อไปทำงานหาเงินส่งมาให้แม่ที่บ้าน บ้านหลังที่อยู่ปัจจุบันนี้ก็ด้วยน้ำพักน้ำแรงของลูกสาวคนนี้ ตอนนี้ไม่มีหล้าแล้วแม่ยังไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ พอทราบข่าวลูกสาวไม่อยู่แล้ว เหมือนมีใครมาเด็ดหัวใจแม่ไป

น.ส.พัฒนากล่าวต่อว่า พบหน้ากันครั้งสุดท้าย เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หล้าขับรถกลับบ้านมาพาแม่ไปหาหมอ และกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้าที่จะได้รับข่าวลูกสาวเสียชีวิตประมาณ 10 วัน ไม่สามารถติดต่อทางโทรศัพท์ได้เลย จนกระทั่งพี่ชายได้ข่าวทางโทรทัศน์มาบอกให้แม่ แม่เสียใจมาก จนถึงขณะนี้แม่แทบทานข้าวไม่ได้เลย เสียใจน้ำตาซึมตลอดเวลา ปกติแล้วน้องสาวของตนไม่เคยป่วยหรือมีอาการไม่สบายมาก่อน ดังนั้นเหตุผลการเสียชีวิตต้องรอให้พี่ชายและ พี่สาวที่รับศพของน้องหล้ากลับมายืนยันด้วยผลการชันสูตรที่ชัดเจน

บูชาเจดีย์- ศิษย์วัดธรรมกายกว่า 100 คน พร้อมด้วย พระสงฆ์ สวดมนต์บูชา มหาธรรมกายเจดีย์ บริเวณหน้าประตู 7 เนื่องจากเข้าไปประ กอบพิธีด้านในไม่ได้ เมื่อ 3 มี.ค.

รอรับลูก – นางคำจวน เชียงแรง อายุ 78 ปี มารดา น.ส.พัฒนา เชียงแรง หรือหล้า ผู้ช่วยเภสัชกร ศิษย์วัดธรรมกายที่เสียชีวิตจากหอบหืดกำเริบ ในพื้นที่ควบคุมตาม ม.44 นั่งกอดรูปภาพลูกสาวด้วยความเสียใจ ขณะรอรับศพกลับบ้านต.เชียงแรง อ.ภูซาง จ.พะเยา โดยญาติกำหนดเผาศพวันที่ 9 มี.ค.นี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน