รัฐมนตรี”ออมสิน”ขู่ลั่น ชี้ถ้าเจอตัวพระไชยบูลย์ต้องนำมาสึกแล้วนำไปดำเนินคดี ด้านสำนักพุทธฯส่งหนังสือเรียกคืนเครื่องสมณศักดิ์ หลังถอดถอนพ้นราชทินนามพระเทพญาณมหามุนี ระบุต้องคืนทั้งพัดยศ พร้อมสัญญาบัตร ส่วนศิษยา นุศิษย์ยังปักหลักตักบาตรทำบุญที่ตลาดกลาง-ประตู 7 วัดพระธรรมกาย ยันถูกถอดสมณศักดิ์ไม่มีผล เพราะเคารพศรัทธาที่ตัวหลวงพ่อไม่ใช่ที่สมณศักดิ์ ด้านศรีวราห์เล็งสอบเงินที่มาของพระลูกวัด เตรียมงัดข้อหาฟอกเงินเล่นงาน เผยตอนนี้คดีธัมมชโย-วัดพระธรรมกายบานปลายไปกว่า 350 คดีแล้ว ขณะที่ผบ.ตร.ลั่นงานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ดีเอสไอพาสื่อบุกสำรวจทางเข้าอาคารบุญรักษาพบขุดคูน้ำ วางถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ตั้งตู้คอนเทนเนอร์ขวาง

ป้อมชี้ธัมมชโยพระธรรมดาแล้ว

เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ที่อู่ราชนาวีมหิดลอดุลย เดช กรมอู่ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐ มนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีถอด ถอน พระเทพญาณมหามุนี(พระไชยบูลย์ สุทธิผล) พ้นจากจากสมณศักดิ์พระราชาคณะชั้นเทพ ระบุถูกกล่าวหาในคดีกระทําความผิดข้อหาร่วมกันฟอกเงิน สมคบกันฟอกเงิน และรับของโจรตามที่ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับ ที่ 942/2559 ลงวันที่ 17 พ.ค. 2559 และยังถูกกล่าวหาในคดีอาญาฐานอื่นอีกหลายฐานความผิดว่า เมื่อถอดจนหมดสมณศักดิ์แล้วก็ถือว่าเป็นพระปกติแล้ว ขอให้มามอบตัวและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทุกอย่างก็จะเดินไปได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับความแตกต่าง แต่เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งประเทศจะอยู่ได้ด้วยกฎหมาย หากคิดว่าตัวเองไม่ผิด ขอให้ออกมาเข้าสู่กระบวนการศาลซึ่งต้องเดินไปตามนั้น

ที่กระทรวงมหาดไทย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณีเดียวกันว่า ขณะนี้ยังไม่รายงานความเคลื่อน ไหวของมวลชนจากจังหวัดต่างๆ เข้ามาคัดค้านกรณีดังกล่าว เชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจ

ออมสินรู้ดีถ้าเจอก็นำตัวมาจับสึก

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงประกาศสำนักนายกฯ เรื่องถอดสมณศักดิ์พระเทพญาณมหามุนี ว่าเป็นเพียงการถอดสมณศักดิ์ ขั้นตอนจากนี้ต้องแล้วแต่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ตอนนี้พระธัมมชโยยังเป็นพระภิกษุอยู่ ยังไม่ได้ถูกจับสึก เพราะยังหาตัวไม่เจอ ซึ่งการสึกพระนั้นจะต้องนำตัวมาให้ได้ก่อนแล้วจึงจับสึก สำหรับการปกครองทางสงฆ์คณะสงฆ์ภายในวัดนั้นก็ไม่น่าจะมีผลอะไรต่อวัดพระธรรมกาย เพราะตามปกติไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว แต่มีพระรูปอื่นดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสแทน

ผอ.พศ.ชี้กระบวนการสึกเรื่องสงฆ์

ด้านพ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า หลังจากที่มีการถอดสมณศักดิ์พระธัมมชโยแล้ว ขั้นตอนจากนี้ไป สำนักพุทธฯ ต้องรอหนังสือจากสำนักนายกรัฐมนตรี และจะแจ้งเรื่องให้มหาเถรสมาคม (มส.) ได้รับทราบถึงการถอดออกจากสมณศักดิ์ จากนั้นแจ้งเรื่องไปยังพระธัมมชโยให้รับทราบ ในการส่งคืนพัดยศสมณศักดิ์ ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายมองว่า การถอดสมณศักดิ์เป็นการสึกพระธัมมชโยด้วยนั้น ขอชี้แจงว่า การถอดออกจากสมณศักดิ์กับการสึกเป็นคนละเรื่องกัน ต้องแยกให้ชัดเจน ถอดสมณศักดิ์คือ การถอดออกจากการเป็นพระราชาคณะชั้นเทพ สำหรับกระบวนการสึกนั้น ต้องให้เจ้าคณะปกครองดำเนินการตามระบบพระธรรมวินัย ซึ่งแยกจากกฎหมายบ้านเมือง

พ.ต.ท.พงศ์พรกล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องของการสึกของพระธัมมชโย ยังตอบเวลานี้ไม่ได้ เนื่องจากกระบวนการร้องเรียนการ กระทำผิดพระธรรมวินัยของพระธัมมชโยมีมานานแล้ว ไม่ใช่มาตอนที่ตนมารับตำแหน่ง โดยกระบวนการดำเนินงานอาจจะยังไม่กระจ่างแจ้งเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเรื่องของการฟอกเงิน กฎหมายบ้านเมือง กับพระธรรมวินัย ก็มีโทษที่ต่างกัน บางอย่างผิดกฎหมายบ้านเมือง แต่อาจไม่ผิดวินัยสงฆ์ บางอย่างผิดวินัยสงฆ์ แต่ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง ดังนั้น เรื่องการกระทำผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน รับของโจรมา และอีกหลายเรื่อง ได้มีการร้องต่อเจ้าคณะปกครองแล้ว ซึ่งอยู่ในกระบวนการพิจารณาโทษทางวินัยของสงฆ์ ซึ่งเจ้าคณะปกครองจะพิจารณาอย่างไร สำนักพุทธฯ ไม่สามารถไปก้าวล่วงได้

เตรียมขอรับพัดยศสมณศักดิ์คืน

“ขณะนี้ยังไม่สามารถพูดถึงเรื่องการสึกพระธัมมชโยว่าได้หรือไม่ได้ เพราะกระบวน การสงฆ์ก็ดำเนินการอยู่ ซึ่งต้องใช้ระยะเวลานานมาก เหมือนกับการฟ้องคดีอาญาของทางโลกที่ต้องใช้กระบวนการไต่สวนทั้งพยานบุคคล พยานหลักฐาน ที่ใช้ระยะเวลานานพอสมควร ที่สำคัญผลการสอบอธิกรณ์จะออกมาอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับการพิจาณาของเจ้าคณะปกครองตามพระธรรมวินัยด้วย ถือว่า เป็นเรื่องของคณะสงฆ์ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ สำนักพุทธฯ ยังไม่เจอตัวพระธัมมชโย หากเจอผมคิดว่า ทางดีเอสไอก็คงดำเนินการจับกุมแล้ว” ผอ.สำนักพุทธฯ กล่าว

นายบุญเชิด กิตติธรางกูร ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม กล่าวว่า การที่ พระสงฆ์ผู้ดำรงสมณศักดิ์ทุกชั้นยศรูปใด ได้มีพระราชโองการให้ถอดถอนออกจากสมณ ศักดิ์แล้ว สิ่งที่สำนักพุทธฯ ในฐานะที่มีหน้าที่รับสนองงานคณะสงฆ์ จะต้องดำเนินการ คือ 1.รอหนังสือจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แจ้งเรื่องพระราชโองการการถอด ถอนสมณศักดิ์ 2.นำเสนอมหาเถรสมาคม เพื่อโปรดทราบ 3.ทำหนังสือกราบทูล สมเด็จพระสังฆราช ทรงทราบ 4.ทำหนังสือนมัสการเจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าคณะภาค 1 เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เพื่อโปรดทราบ 5.ทำหนังสือนมัสการ พระไชยบูลย์ สุทธิผล วัดพระธรรมกาย เพื่อทราบ และ 6.ทำหนังสือเรียน ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปทุมธานี เพื่อขอรับพัดยศสมณศักดิ์คืน

ดีเอสไอ-ตร.ประชุมวางแผนค้น

เมื่อเวลา 08.30 น. ที่บก.ตชด.ภ.1 พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.ภ.1 เดินทางมาประชุมประเมินสถาน การณ์และการวางแนวทางปฏิบัติการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย เพื่อติดตามจับกุมตัวพระไชยบูลย์ ผู้ต้องหาตามหมายจับในข้อหาสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และรับของโจร ในคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด

ต่อมาเวลา 10.30 น. ที่บก.ตชด.ภ.1 พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เดินทางมาเข้าร่วมประชุมประเมินสถานการณ์และปฏิบัติการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย พร้อมกล่าวว่า สำหรับกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ขณะนี้มีความพร้อมที่จะสนับสนุนการทำงานของดีเอสไออยู่แล้ว และยังไม่มีความจำเป็นจะต้องเพิ่มกำลังแต่อย่างใด

ผบ.ตร.ลั่นงานเลี้ยงต้องมีวันเลิก

พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีพระธัมมชโยถูกถอดสมณศักดิ์นั้น เป็นขั้นตอนที่เราต้องทยอยทำ และเชื่อว่าจะทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ง่ายขึ้น ส่วนประเด็นที่มีการเรียกร้องให้ยกเลิกการใช้กฎหมายมาตรา 44 นั้น ตนมองว่ามาตรา 44 เป็นช่วยที่ดี ซึ่งในทุกคดีทุกเรื่องที่ผ่านมา รัฐบาลใช้มาตรา 44 แก้ปัญหา อีกทั้ง เชื่อว่ามาตรา 44 จะต้องถูกนำมาใช้อีกมากในการบริหารงานของรัฐบาล เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดแล้ว จะมาให้ยกเลิกสิ่งที่ถูกต้องได้อย่างไร ทั้งนี้ ตนว่าพวกที่เรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 44 เกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย ต้องกลับไปทบทวน และไตร่ตรองดูว่ารัฐบาลเขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง และไม่ใช้ในสิ่งที่ผิด อย่างไรก็ตาม มาตรา 44 ยังสามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วและดีขึ้น

เมื่อถามว่ายังเชื่อหรือไม่ว่าพระธัมมชโยยังอยู่ภายในวัดพระธรรมกาย ผบ.ตร. กล่าวว่า จะอยู่หรือไม่ ไม่รู้ แต่เรื่องพวกนี้มันควรจะจบได้แล้ว ตนไม่ได้อยากมีปัญหากับพวกศิษยานุศิษย์และสาวกของวัดพระธรรมกาย แต่อยากให้ดูว่าอะไรผิดอะไรถูก ทั้งนี้ สรุปว่างานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา ไม่มีงานเลี้ยงใดที่มีวันเลิกรา

ศรีวราห์ชี้คดีอื้อกว่า 350 คดี

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ. ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับพระธัมมชโยว่า การเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกาย จะสามารถดำเนินครั้งต่อไปได้เมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ในการพิจารณาแนวทางดำเนินการ ส่วนตนมีหน้าที่ดูแลเรื่องสำนวนคดีเท่านั้น ส่วนกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบเงินจำนวนกว่า 10 ล้านบาท ที่โอนผ่านมายังบัญชีของพระเสถียร คำบ่อ หนึ่งในพระสงฆ์ที่ถูกควบคุมตัวได้ที่ตลาดป้าเช็ง เมื่อวันที่ 3 มี.ค.และพบว่ามีการเบิกจ่ายเงินในบัญชี วันละเกือบ 1 หมื่นบาทนั้น ขณะนี้ดีเอสไอยังไม่ได้เข้าร้องทุกข์แต่อย่างใด แต่หากมีการร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนก็จะดำเนินการสืบสวนสอบสวนทันที โดยเบื้องต้นอาจเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหากับพระธัมมชโย และวัดพระธรรมกายกว่า 350 คดี ซึ่งมีการออกหมายจับเพิ่มกว่า 10 คดี และเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบสถานปฏิบัติธรรมของวัดพระธรรมกายในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่าด้วย

ตักบาตรปกติประตู 7-ตลาดกลาง

เมื่อเวลา 08.00 น.วันเดียวกัน ที่บริเวณประตู 7 วัดพระธรรมกาย มีประชาชนและศิษยานุศิษย์ได้นำอาหารมาใส่บาตรพระภิกษุสงฆ์ที่ออกบิณฑบาตเป็นประจำเหมือนเช่นทุกวัน เนื่องจากเข้าไปภายในวัดไม่ได้ ทั้งนี้เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้วพระภิกษุสงฆ์จะต้องเดินเข้าทางประตู 7 เพียงเท่านั้น เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ดีเอสไอคัดกรองอาหารและสิ่งของในบาตร

ส่วนบริเวณตลาดกลางคลองหลวง ในช่วงเช้าก็ยังมีการทำบุญใส่บาตรให้พระภิกษุสงฆ์ตามปกติ โดยลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย ได้ทำอาหารกล่อง และให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอนำใส่รถกระบะไปส่งให้พระภิกษุสงฆ์ที่อยู่ภายในวัด ซึ่งประชาชนที่อยู่ในเต็นท์นั้น ก็ได้พักผ่อนตามอัธยาศัย และมีประชาชน ไม่มากเท่าที่ควร แต่ก็ยังมีลูกศิษย์ของพระธรรมกายเข้ามาภายในตลาดกลางคลอง หลวงอยู่เรื่อย แต่จะต้องผ่านการตรวจของเจ้าหน้าที่ทหารพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดควบคุมฝูงชน เพื่อป้องกันเหตุแทรกซ้อน

ชี้ถอดสมณศักดิ์ไม่มีผลศรัทธา

เวลา 09.40 น. พระเสกสรร อัตตทโม พระแกนนำของวัดพระธรรมกายได้ออกมาแถลงว่า ต้องการให้รัฐได้ยกเลิก ม.44 ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ในการนำมาใช้กับพระภิกษุ พื้นที่ที่น่าจะนำไปใช้มากที่สุดก็คือสามจังหวัดชายแดนใต้ อาตมาและลูกศิษย์หลวงพ่อธัมมชโย ต้องการเข้าไปปฏิบัติธรรมภายในวัด ส่วนสิ่งของที่ลูกศิษย์นำมาถวายก็ไม่สามารถนำไปช่อยเหลือพระและคนที่อยู่ภายในวัดพระธรรมกายได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่ให้นำเอาเข้าไป จึงได้ทำโรงทานแจกชาวบ้านตำบลคลองสองและชาวบ้านตำบลคลองสาม เนื่องจากได้รับความเดือดร้อนในการออกไปประกอบอาชีพ ในส่วนตัวของอาตมานั้นหลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่มีหมายเรียกให้ไปรายงานตัวที่สภ.คลองหลวงนั้น ก็จะไปรายงานตัวแน่นอน แต่ที่วิตกกังวลมากก็คือกลัวจะไม่ได้กลับมานั่งอยู่ตรงนี้ ซึ่งก็ไม่เป็นไรอาตมาก็จะต่อสู้เพื่อขอความเป็นธรรมให้กับพระสงฆ์ ในส่วนของการถอดสมณศักดิ์พระเทพญาณมหามุนีนั้นลูกศิษย์ทุกคนไม่ได้วิตกกังวล เพราะทุกคนศรัทธาในตัวหลวงพ่อ ไม่ได้ศรัทธาที่สมณศักดิ์

ต่อมาวัดพระธรรมกาย ได้ชี้แจงว่า 1.วันที่ 19 ของการที่วัดพระธรรมกาย ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนและรัฐใช้งบประมาณไปแล้วไม่ต่ำกว่า 60-95 ล้านบาท ถ้านำเงินไปพัฒนาประเทศก็ได้ประโยชน์มากกว่า การนำงบประมาณมาล้อมวัด กับข้อหา “ขัดหมายเรียก” ที่มีค่าปรับเพียง 500 บาท เท่านั้น

แถลงอัดดีเอสไอขวางพิธีบูชาข้าว

2.เมื่อวาน วันอาทิตย์ที่ 5 ก.พ. วัดพระธรรมกายได้จัดพิธีบูชาข้าวพระ ซึ่งเป็นประเพณีที่ทำสืบทอดต่อกันมากว่า 50 ปีแล้ว มีพระภิกษุสามเณรและประชาชนจากทุกสารทิศเดินทางมาร่วมพิธี 10,000 กว่าคน ด้วยความสงบเรียบร้อย สิ่งนี้ก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าหลวงพ่อธัมมชโยเป็นที่เคารพรัก และมุ่งมั่นสั่งสอนศิษย์ตามบุญกิริยาวัตถุ 3 ประการ คือการทำทาน รักษาศีล และการเจริญสมาธิภาวนา แม้จะมีประชาชนร่วมงานจำนวนมาก สถานที่มีจำกัด แต่ก็นั่งสมาธิกันตามทางเดินเท้าบ้าง ใต้ต้นไม้บ้าง หรือตามลานกลางแจ้งโดยกางร่มนั่งสมาธิบ้าง

สำหรับพิธีบูชาข้าวพระนี้ได้จัดขึ้นที่หอฉันคุณยายอาจารย์จันทร์ และส่งสัญญาณพิธีกรรมไปยังประชาชนที่ร่วมพิธีอยู่ตามประตูต่างๆ ของวัด รวมถึงตลาดกลางคลองหลวงก็ได้เปิดไฟล์เสียงนำนั่งสมาธิของหลวงพ่อธัมมชโยอีกด้วย อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดายว่า ทางเจ้าหน้าที่ดีเอสไอตำรวจ ทหาร ยังคงไม่อนุญาตให้เข้าไปปฏิบัติธรรมภายในวัด ทั้งๆ ที่เป็นประเพณีอันดีงามของวัดพระธรรมกาย และไม่ได้สร้างความวุ่นวายตามที่เจ้าหน้าที่กังวลแต่ประการใด

ขอบคุณกสม.-แนะจับตาจนท.

3.คณะพระมหาเถระทั้งในและต่างประเทศ และบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก รวมถึงองค์กรพุทธนานาชาติ ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ของวัดพระธรรมกาย โดยองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน 4 แห่ง ที่เฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิด และคณะบุคคล – องค์กรระหว่างประเทศ จำนวนกว่า 30 องค์กร เรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 44

อีกทั้งขอขอบคุณ กรรมการสิทธิมนุษยชน ที่ออกแถลงการณ์แสดงความห่วงใย ต่อเหตุการณ์ของวัดพระธรรมกาย ขอยืนยันว่า คณะศิษย์ได้ใช้สติและอยู่ในความสงบ และไม่กระทำการที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด พร้อมทั้งเฝ้าระวัง การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ

4.สุดท้ายขอเชิญชวน เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ทหาร และตำรวจ ร่วมกิจกรรมบุญด้วยการ สวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อันเป็นแม่บท (หัวใจ) ของพระพุทธศาสนา 1 จบ ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเท่านั้น โดยสามารถส่งยอดสวดได้ที่ผู้ประสานงานด่านที่ท่านประจำอยู่ หรือ โทร.0-2831-1000 ก็ขอเชิญชวนใช้เวลาอย่างคุ้มค่า และเกิดบุญกุศลทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ

ผงะคูน้ำ-ถังน้ำมัน-ตู้ขนสินค้า

เมื่อเวลา 14.30 น. พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้พาสื่อมวลชนเข้าไปตรวจสอบ อาคารบุญรักษา ซึ่งคาดว่าพระธัมมชโย รักษาตัวและหลบซ่อนอยู่ โดยผ่านทางประตู 7 เมื่อเข้าไปถึงพบกับตู้คอนเทนเนอร์ขวางประตูอยู่ ทำให้ผ่านไปไม่ได้ จึงย้อนกลับออกมาทางประตู 8 ถนนเลียบคลองสอง ออกด้านทิศเหนือ เลี้ยวขวาเข้าเลียบคลองแอล 2-3 ผ่านประตู 9 และประตู 15 หลังจากนั้นได้เดินเท้าเข้าไปประมาณ 1 กิโลเมตร ก็ไปหยุดสังเกตการณ์ที่ริมสระบัว ด้านการข่าวว่าจับภาพถ่ายทางอากาศพบถังน้ำมัน 200 ลิตรนำมาตั้งเรียงรายอยู่ในพื้นที่อาคารบุญรักษา แต่ภายในนั้นมีน้ำมันหรือไม่ ต้องรอการตรวจสอบอีกครั้ง นอกจากนี้ทางวัดพระธรรมกายยังได้ขุดคูขวางกั้นพร้อมปล่อยน้ำซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีการขุดคูมาก่อน

ขณะเดียวกันพื้นที่อาคารบุญรักษาแห่งนี้ห้ามบุคคลภายนอกเข้าไปโดยเด็ดขาด ซึ่ง เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ มีคำสั่งให้บุคคลภายในออกนอกพื้นที่และห้ามมาทำการใดๆ ในพื้นที่นี้ ซึ่งเป็นการขัดขวางเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานได้ ตามมาตรากฎหมายคำสั่งที่ 17/2 560 ซึ่งหลังจาก การประเมินสถาน การณ์ทั้งหมดแล้ว จะนำเข้าในที่ประชุมปรึกษาหารือกันอีกครั้ง

วอนจนท.อย่ากดดัน-บีบคั้น

เมื่อเวลา 17.00 น. ที่ตลาดกลางคลองหลวง พระปลัดเสกสรรค์ อัตตทโม แกนนำกลุ่มศิษยานุศิษย์ที่ตลาดกลางคลองหลวง พร้อมด้วย พระสงฆ์และศิษยานุศิษย์จำนวนมาก ร่วมสวดมนต์ เป็นขวัญกำลังใจให้ผู้ชุมนุม ให้เกิดความสงบสุข และสันติภาพ พร้อมปล่อยนกแสดงสัญลักษณ์ขออิสรภาพคืน หลังจากใช้มาตรา 44 เข้ามาควบคุมพื้นที่วัดพระธรรมกาย

จากนั้น พระปลัดเสกสรรค์ แถลงข่าวกรณีสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้ามาตรวจสอบหนังสือสุทธิพระในตลาดกลางคลองหลวง 2 ครั้งแล้ว โดยขอยืนยันว่าพระในนี้เป็นพระจริงๆ ถ้าเป็นพระปลอมจะมาสวดธัมมจักและทำวัตรเช้าวัตรเย็นคงทำไม่ได้ พระและญาติโยมที่เข้ามาในบริเวณนี้ก็มานั่งสวดมนต์และประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างสงบ ทราบว่าเจ้าหน้าที่รัฐได้บีบบังคับญาติโยมที่อยู่ภายในตลาดกลางคลองหลวงให้ออกจากพื้นที่ จึงขอวิงวอนขอให้หยุดการกระทำดังกล่าวเสีย เราไม่ได้ขัดคำสั่งของเจ้าหน้าที่รัฐและสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ อย่าพยายามกดดันทางเรา

“ส่วนกรณีดีเอสไอ กำลังกดดันเจ้าของรถสุขาให้นำออกจากพื้นที่อีกทั้งยังให้เจ้าของไปแจ้งความที่ สภ.คลองหลวง เพื่อให้นำรถสุขาออกไป พวกเราได้หาทางปลดทุกข์ และเข้าสุขาที่ไหนก็ได้ แต่พวกเราจะอยู่ตรงนี้ต่อไป อยากถามเจ้าหน้าที่ว่า ท่านทำถูกแล้วหรือ ท่านรับเงินเดือนที่มาจากภาษีของประชาชนกลับมาทำกับประชาชนอย่างนี้มันเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพกันไหม ที่ใช้มาตรา 44 กับประชาชนและพระอย่างนี้ บางเรื่องมันก็เกินไป อย่าปฏิบัติกับเราเหมือนผู้ก่อการร้าย และใช้ยุทธวิธีทางทหารมาใช้” พระปลัด เสกสรรค์กล่าว

พร้อมติดคุก-แต่ไม่สึกแน่นอน

พระปลัดเสกสรรค์กล่าวอีกว่า อาตมายืนยันว่าจะไปพบเจ้าหน้าที่ตามหมายเรียกวันที่ 8 มี.ค.นี้ ยังไม่รู้ว่าโดนดำเนินคดีข้อหาอะไร หากไปพบเจ้าหน้าที่แล้วเขาไม่ให้กลับ ก็ยินดีติดคุก แต่ว่าพระเขาไม่ให้ติดคุกต้องให้ลาสิกขาก่อน ดังนั้นจะให้ใครมาถอดจีวรให้ตนลาสิกขาจะไม่ยอมเด็ดขาด แต่จะขอติดอยู่คุกไม่ว่าปีก็ช่าง เรื่องดังกล่าวโดยญาติโยมทางภาคใต้ ได้โทรศัพท์มาสอบถามด้วยความเป็นห่วง ก็บอกไปว่าพร้อมจะสู้ เพราะตนก็พระรูปหนึ่ง ถ้าไม่สู้ในตอนนี้บรรทัดฐานจะไม่มีเลย ขอประกาศเจตนารมณ์ตรงนี้หากเจ้าหน้าที่ทำอะไรทำเลย ยอมติดคุก แต่จะไม่ยอมสึก

พระปลัดเสกสรรค์กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นที่พระธัมมชโย ถูกถอดสมณศักดิ์นั้น อาตมาและศิษย์ทุกคนมองว่า ไม่ได้มีผล กระทบอะไร เนื่องจากเรากราบท่าน ในฐานะท่านเป็นพระธัมมชโย ไม่ใช่กราบที่สมณศักดิ์ ท่านสอนถึงการดำรงชีวิตเสมอว่า สิ่งที่ทำให้เรารู้แจ้งคือการปฏิบัติธรรมและการเสริมสร้างบุญบารมีการรักษาศีล ท่านก็ยังเป็นครูสอนการนั่งทำสมาธิ เรากราบท่านตรงนี้ เพราะฉะนั้นถึงท่านจะไม่มีสมณศักดิ์แล้ว ท่านก็ยังเป็นหลวงพ่อธัมมชโยของพวกเราเสมอ

ดีเอสไอเผยมวลชนเพิ่มมากขึ้น

เมื่อเวลา 17.30 น.ที่บก.ตชด.ภ.1 พ.ต.อ. ทรงศักดิ์ พร้อมด้วย พ.ต.ท.กรวัชร์ แถลงข่าวการปฏิบัติงานเข้าตรวจค้นบริเวณโซนดี ข้างอาคารบุญรักษา โดย พ.ต.ท.กรวัชร์ เปิดเผยว่า ในการเข้าตรวจพื้นที่พบมีรถแบ๊กโฮกำลังขุดร่องน้ำ จำนวน 5 ร่อง ตัดถนนเชื่อมระหว่างโซนเอ และโซนดี และปล่อยน้ำเข้าไป ลักษณะการขุดเป็นหลุมลึก ด้านหลังมีเต็นท์ทั้งของพระและมวลชนเรียงรายกันอยู่ในพื้นที่จำนวนมาก นอกจากขุดร่องน้ำแล้วในพื้นที่ยังมีการวางท่อปูนซีเมนต์ และมีถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร วางเว้นระยะห่างเท่าๆ กัน โดยมีกระสอบปิดฝาถังไว้ ในถังยังไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ว่าคือน้ำหรือน้ำมัน ถ้าเป็นน้ำมันจริงอาจจะเกิดระเบิดและเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่ขณะเข้าตรวจค้นได้ นอกจากนี้การเข้าพื้นที่ดังกล่าวมีพระภิกษุสวมหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้าตลอดเวลา พร้อมมวลชนจำนวนมาก ออกมาต่อต้าน จนเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปตรวจค้นได้ ต้องถอยร่น

“เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องถอยออกมา เพราะไม่อยากให้เกิดการกระทบกระทั่ง และอยากชี้แจงว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ดีเอสไอ และหน่วยที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยที่ร่วมทำงานในพื้นที่ ทำงานกันหนักมาตลอด แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าพื้นที่นี้ได้ อยากรู้เหมือนกันในพื้นที่นั้นมีอะไร ทำไมไม่ยอมให้เข้าไปตรวจค้น ถ้าให้ตรวจค้นได้ จะเชิญเจ้าหน้าที่ พศ.เข้าไปตรวจสอบด้วยว่าพระที่อยู่ในวัดพระธรรมกายเป็นพระจริงหรือพระปลอมกันแน่” พ.ต.ท. กรวัชร์กล่าว

พ.ต.อ.ทรงศักดิ์เปิดเผยต่อว่า จากการ ประเมินสถานการณ์ในรอบวัน มีมวลชนเข้ามาทำบุญในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น การทำงานของเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจดูแลความปลอดภัยสถานการณ์ยังปกติ ส่วนมาตรการบังคับใช้กฎหมาย เจ้าพนักงานได้ออกหมายเรียกแกนนำรวมทั้งพระที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายฝ่าฝืน คำสั่งให้มารายงานตัว จำนวน 200 ราย

ธรรมกายแจงคู รปภ.สถานที่

ด้านสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ได้โพสต์ข้อความชี้แจงกรณีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเปิดเผยภาพมุมสูงทางเข้า-ออกอาคารบุญรักษา ใกล้พื้นที่ 196 ไร่ ระบุพบการขุดร่องน้ำขวางถนน และพบถังน้ำมันเปล่า 200 ลิตร คาดว่าเป็นการสกัดกำลังเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าตรวจค้นนั้น วัดพระธรรมกายขอชี้แจงว่า เนื่องจากวันที่ 23 ก.พ. กลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่งไม่ทราบสังกัดได้บุกมาที่ประตูโซนอาคารบุญรักษา ตั้งแต่เวลาประมาณ 05.00 น. และบุกเข้าโดยพลการ ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า เวลาประมาณ 06.00 น. โดยไม่แจ้งภารกิจ ดังนั้น พระและญาติโยมจึงได้ขอให้ถอยกำลังออกไป

นอกจากนี้ วันต่อๆ ไปก็มีการขับรถมาชนที่ประตูทางเข้าถึง 2-3 ครั้ง ญาติโยมจึงได้ช่วยกันขุดร่องน้ำ เพื่อรักษาความปลอดภัยของพื้นที่ ไม่ได้มีเจตนาขัดขวางเจ้าหน้าที่แต่ประการใด ส่วนถังน้ำมันที่พบนั้นเป็นถังน้ำมันเปล่าที่นำมาเป็นหลักในการขึงซาแลนเท่านั้น เพื่อกันแดด กันฝุ่น และลมร้อน ไม่ได้มีเจตนาทำขึ้นเพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน