ดีเอสไอสั่งล้าง “เซฟเฮาส์” รอรับ “ธัมมชโย” ลั่นขีดเส้นตายทุกอย่างต้องจบใน 5 วัน หวั่นยืดเยื้ออาจบานปลาย ศาลอาญาออกหมายจับพระสนิทวงศ์ ข้อหายุยงปลุกปั่น และผิดพ.ร.บ.คอมพ์ พระปลัดเสกสรรค์มอบตัวแล้ว ตำรวจพาส่งศาลทันที ก่อนได้ประกันตัว แต่ห้ามกลับเข้าพื้นที่ควบคุมตาม ม.44 “บิ๊กตู่” ยันไม่ได้เสพติด ม.44 แต่จำ เป็นต้องใช้ “ออมสิน” ปัดขู่จับสึกธัมมชโย “สุวพันธุ์” ยันต้องลุยค้นวัดอีก โปรดเกล้าฯ ถอดสมณศักดิ์พระทัตตชีโว

“บิ๊กตู่”ย้ำม.44 จำเป็น

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 8 มี.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวปาฐกถาพิเศษ “รัฐบาลดิจิตอล กุญแจสู่ประเทศไทย 4.0 และแถลงวิสัยทัศน์รัฐบาลดิจิตอลประเทศไทย” ที่ทำเนียบรัฐบาล มีช่วงหนึ่งกล่าวถึงคดีของพระไชยบูลย์ สุทธิผล หรือพระธัมมชโย ว่า การสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินถ้าบอกว่าความมั่นคง ไม่ใช่มีแค่ตำรวจและทหาร ทุกคนต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองรวมถึงชุมชนและท้องถิ่น โดยเฉพาะเรื่องศาสนา ศรัทธา และความเชื่อ ต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้และความเข้าใจที่ถูกต้อง

แต่ถ้าเกินขีดความสามารถไปถึงขั้นใช้อาวุธหรือกำลัง ค่อยหาหลักฐานแล้วบุกเข้าไป ตอนแรกก็พิจารณาดูแล้วบังคับใช้กฎหมาย ไม่ใช่ต้องไปปราบปรามทุกเรื่อง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นเรียกว่าไม่มีภูมิคุ้มกันแล้ว เราต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่ถูกต้องว่าควรเป็นอย่างไร อย่ามุ่งเน้นว่าต้องใช้กำลังทหารตำรวจตลอดเวลา หรือใช้กฎหมาย ถ้าเราเคยชินกับการใช้กฎหมายมากๆ ไม่ดี

“มีคนบอกว่าผมเคยชินกับการใช้มาตรา 44 ยืนยันว่าผมไม่อยากใช้ แต่จำเป็นก็ต้องใช้ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางออกที่จะเดินหน้าอย่างอื่นได้ ในเมื่อกฎหมายปกติไม่ได้รับการยอมรับนับถือ หรือกฎหมายปกติยังไม่มีก็ต้องออกมาก่อน เราใช้ประโยชน์อย่างนี้มากกว่า ที่ผ่านมามีคนบอกว่าใช้มาตรา 44 เยอะ ผมขอถามว่ามันใช้เยอะตรงไหน ใช้เยอะในเรื่องการ บูรณาการและการติดขัดข้อกฎหมายและการแก้ปัญหาอุปสรรคให้เดินหน้าไปได้ ใช้ในเรื่องความมั่นคงน้อยมากเพราะมีกฎหมายอยู่แล้ว แต่ไม่ปฏิบัติตามกัน เมื่อไม่ปฏิบัติก็ต้องมีกฎหมายในเชิงบูรณาให้ทุกหน่วยงานทำงานได้ รวมถึงเพื่อปกป้องเจ้าหน้าที่ ไม่อย่างนั้นเขาก็ทำไม่ได้เหมือนเดิม สุดท้ายก็เกิดความขัดแย้งเหมือนเดิม ขอให้เข้าใจด้วย ไม่ใช่เอามาตรา 44 ไปบังคับใช้แล้วใช้ไม่ได้แล้วมาโทษกฎหมาย” นายกฯ กล่าว

ออมสินปัดขู่จับสึกธัมมชโย

ด้านนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงการดำเนินการหลังจากถอดถอนพระเทพญาณมหามุนี (พระไชยบูลย์ สุทธิผล) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ออกจากสมณศักดิ์ว่า แม้ได้ถอดถอนจากสมณศักดิ์แล้ว แต่ไม่ให้มีการลาสิกขาหรือสึกพระได้ทันที เพราะมีขั้นตอนนิคหกรรมที่ต้องมีพระผู้ปกครองสงฆ์มาพิจารณา ซึ่งเป็นกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วคณะสงฆ์จึงจะมีมติออกมา ทั้งนี้ คำให้สัมภาษณ์ของตนก่อนหน้านี้ว่าไม่ใช่ขู่ว่าเจอที่ไหนให้จับสึกเจอได้เลยนั้น ที่จริงแล้วระบุว่า การสึกพระมีขั้นตอนหรือกระบวนการของสงฆ์ ไม่ใช่เจอที่ไหนแล้วจะจับสึกทันที

ผู้สื่อข่าวถามว่าเมื่อพระสงฆ์ถูกถอดจากสมณศักดิ์ และมีความผิดตามกฎหมายหลายคดี มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่มส.จะให้ออกจากความเป็นพระ นายออมสินกล่าวว่า พูดแทน มส.ไม่ได้ เพราะมส.จะต้องพิจารณาเองจากข้อเท็จจริงทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ วัดต่างๆ ในต่างจังหวัดให้ความร่วมมือดี ไม่มีพระสงฆ์เข้าไปสมทบในพื้นที่วัดพระธรรมกายอีก แสดงให้เห็นว่าทุกคนเริ่มเข้าใจ เชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น สำหรับการดำเนินการกับวัดพระธรรมกาย ควรมีการเจรจาต่อไป และเรายังเดินหน้าแนวทางนี้

สุวพันธุ์ยันต้องลุยค้นวัดอีก

วันเดียวกัน นายสุวพันธุ์ให้สัมภาษณ์ที่กระทรวงยุติธรรม ถึงกรณีการดำเนินคดีกับพระธัมมชโยว่า ขอยืนยันว่าดีเอสไอไม่ได้เข้าไปเพื่อทำลายหรือยึดทรัพย์สินของวัดพระธรรมกาย เพราะวัดพระธรรมกายยังคงเป็นวัดได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาแล้ว ซึ่งวัดก็เป็นวัด แต่การบริหารวัดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก็เป็นเรื่องของคณะสงฆ์ที่จะดำเนินการ ดังนั้น จึงอยากให้ลูกศิษย์เข้าใจในสิ่งที่รัฐบาลทำ ไม่ได้เข้าไปยึดอย่างที่มีการปลุกระดมกัน เพราะฉะนั้นที่มีการรวมตัวกันขัดขวางก็ควรยุติ เพราะการทำแบบนี้ เหมือนหันมารับโทษ รับผิดแทนคนอื่น

ผู้สื่อข่าวถามว่า การข่าวยังยืนยันว่าพระธัมมชโยอยู่ภายในวัดหรือไม่ นายสุวพันธุ์กล่าวว่า ดีเอสไอยังคงสงสัยจึงต้องเข้าไปในพื้นที่ เพราะต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ว่าอยู่หรือไม่ ไม่อยู่ เพราะอะไร ดังนั้น ขอให้อย่าขัดขวาง ต้องขอดูก่อน เพราะถ้าออกมาพูดว่าไม่อยู่โดยที่ยังไม่ได้เข้าไปดูใครจะเชื่อ และการเข้าไปครั้งแรกทางวัดรู้ดีว่ามันไม่ได้เข้าทุกพื้นที่ ดีเอสไอต้องเข้าไปให้ได้และต้องเข้าไปแบบไม่มีเงื่อนไขด้วย แต่ระยะเวลาจะเข้าไปเมื่อไหร่ ไม่ได้กำหนดและที่จริงแล้ว เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไป แต่เกรงว่าจะเกิดการบาดเจ็บ เกิดความเสียหาย ดังนั้น ขอทำ ความเข้าใจให้ประชาชนเข้าใจการบังคับใช้กฎหมายของดีเอสไอ

ศาลออกหมายจับพระสนิทวงศ์

วันเดียวกันพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ป. ไปขออำนาจศาลอาญา เพื่อออกหมายจับ พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย หลังก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ แจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ใช้เฟซบุ๊กส่วนตัว ในชื่อ “PHRA SANITWONG CHAROENRAT TAWONG (SANITWONG)” ในข้อหา ยุยง ปลุกปั่น ให้เกิดความกระด้างกระเดื่อง ทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และข้อหานำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

ต่อมาศาลได้พิจารณาอนุมัติหมายจับ เลขที่ 634/2560 ลงวันที่ 8 มี.ค. ในฐานความผิด หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, กระทำการให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาหนังสือหรืออื่นใดในความมุ่งหมายแก่รัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนก่อให้เกิดความไม่สงบในราชอาณาจักร หลังจากรับหมายแล้ว พนักงานสอบสวนจะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า หลังมีข่าวศาลอนุมัติหมายจับดังกล่าว ไลน์กลุ่มวัดพระธรรมกายได้ส่งข้อความส่งต่อกันว่า พระสนิทวงศ์เตรียมเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ป. ในเวลา 09.00 น. วันที่ 9 มี.ค.นี้ โดยคาดว่าจะมีศิษยานุศิษย์และพระสงฆ์เดินทางไปให้กำลังใจจำนวนหนึ่ง ส่วนการแถลงข่าวรายวันมอบหมายให้ พระชาญณรงค์ อุตตโม พระประจำศูนย์ปฏิบัติธรรมประเทศบาห์เรน เป็นผู้รับหน้าที่แทน

ทหารแจกใบปลิวห้ามเข้าพื้นที่

ส่วนที่ตลาดกลางคลองหลวง ทหารนำแผ่นปลิวแจกจ่ายให้กับประชาชนที่เข้ามาภายในตลาดกลางคลองหลวงและประชาชนทั่วไป มีข้อความว่า ตามคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 5/2 560 เรื่องมาตรการให้อำนาจกำหนดพื้นที่ควบคุมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย มีผลบังคับใช้ให้วัดพระธรรมกายตลอดจนพื้นที่โดยรอบวัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งพื้นที่ตลาดกลางคลองหลวง เป็นพื้นที่ควบคุมตามคำสั่งนี้ด้วย ผู้ใดขัดขวางหรือ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคำสั่งนี้ ให้ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนั้นยังนำป้ายโปสเตอร์มีภาพกล้องวงจรปิด มีข้อความเขียนว่า พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ควบคุมซึ่งมีความผิดตามประกาศ ดังนั้น จึงขอบันทึกภาพผู้ให้การสนับสนุนและผู้ที่เข้ามาร่วมกิจกรรมข้างใน เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการบังคับใช้กฎหมายต่อไป

พระปลัดเสกสรรค์มอบตัว

ต่อมาเวลา 08.30 น. พระปลัดเสกสรรค์ อัตตทโม พระลูกวัดพระธรรมกาย เดินเท้าจากตลาดกลางคลองหลวงไปรับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวนสภ.คลองหลวง ตามหมายเรียกข้อหาขัดคำสั่งหัวหน้าคสช. โดยลูกศิษย์ตั้งขบวนสองแถวนั่งกราบพระปลัดเสกสรรค์ พร้อมตะโกนคำว่าสาธุๆ และมีพระสงฆ์อีก 20 รูป เดินมาส่งที่หน้าตลาด เมื่อถึงหน้าสภ.คลองหลวง มีพ.ต.ท.เศรษฐกรณ์ ชัยวีระวงศ์ รองผกก.ป.สภ.คลองหลวง ออกมารับตัว พร้อมห้ามสื่อมวลชนและลูกศิษย์วัดเข้าไปภายในบริเวณโรงพัก โดยมีกำลังตำรวจชุดควบคุมฝูงชน และตชด.จำนวนหนึ่ง คอยป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าบริเวณโรงพักเด็ดขาด กลุ่มลูกศิษย์ยังคงปักหลักนั่งสวดมนต์ริมถนนด้านหน้าสภ.คลองหลวง

เวลา 11.30 น. พ.ต.ท.เศรษฐกรณ์ ออกมาแจ้งต่อบรรดาลูกศิษย์ที่ยังปักหลักหน้า สภ.คลองหลวง ว่า เจ้าหน้าที่นิมนต์พระปลัดเสกสรรค์ไปขออนุญาตศาลจังหวัดธัญบุรีฝากขังฐานความผิดฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.แล้ว ส่วนสาเหตุที่ไม่พาออกด้านหน้า เนื่องจากเกรงว่าจะมีการกระทบกระทั่งกัน โดยพระปลัดเสกสรรค์เข้าใจในความห่วงใยของเจ้าหน้าที่หลังจากที่ฉันเพลเรียบร้อยจึงขึ้นรถตู้ไปศาลทันที

ช่วงเย็นวันเดียวกัน ศาลจังหวัดธัญบุรี พิจารณาปล่อยตัวชั่วคราว พระปลัดเสกสรรค์โดยตั้งหลักทรัพย์ประกัน 2 แสนบาท มีเงื่อนไขห้ามเข้าพื้นที่ควบคุม วัดพระธรรมกาย ประกาศใช้ ม.44 และห้ามให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเชิงยุยงปลุกปั่น

รายงานข่าวแจ้งว่า หลังได้รับการประกันตัวมีรถยนต์รับพระปลัดเสกสรรค์ออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทราบจุดหมาย เบื้องต้นสันนิษฐานว่า อาจไปพักที่ศูนย์ฝึกอบรมเยาวชนถนนเลียบคลองสี่ฝั่งตะวันออก ต.คลองสี่ อ.คลองหลวง ซึ่งมีพื้นที่ 58 ไร่ ของมูลนิธิวัดพระธรรมกาย และไม่ได้อยู่ในเขตควบคุมพิเศษที่ทางเจ้าหน้าที่กำหนดไว้

ดีเอสไอลั่นอีก 5 วันจบ

ที่ บก.ตชด.ภาค 1 พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.ภาค 1 ร่วมประชุมกับพ.ต.อ. ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ทหาร ตำรวจ พศ. และกรมการปกครอง ประเมินสถาน การณ์และแนวทางปฏิบัติการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย ในการจับกุมตัวพระธัมมชโย พร้อมให้สัมภาษณ์ถึงกรณีของพระปลัดเสกสรรค์เข้ารับทราบข้อกล่าวหาจะถึงขั้นต้องควบคุมตัวหรือไม่ว่า หากมีการควบคุมตัวในทางสงฆ์แล้วจะต้องดำเนินการจับสึกจากความเป็นพระทันที ส่วนจะหวั่นว่าเกิดเหตุบานปลายหรือไม่นั้น ทำไมต้องกลัวจะเกิดเหตุการณ์บานปลาย ในเมื่อเขาทำผิดกฎหมายต้องดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ตำรวจ และทหาร พร้อมที่จะทำตามกฎหมายของบ้านเมือง บุคคลใดที่ยุยงปลุกปั่นจะต้องถูกดำเนินคดีด้วย

ด้าน พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักษ์ศักดิ์สกุล รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะโฆษกดีเอสไอ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะมีการเข้าตรวจค้นอาคารบุญรักษาอีกหรือไม่ เนื่องจากเป็นการตัดสินใจร่วมกัน ซึ่งคาดว่าภายในสัปดาห์นี้หรือ 5 วันนับจากวันนี้กรณีวัดพระธรรมกายจะต้องจบ โดยจะมีการตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เนื่องจากเรื่องนี้ยืดเยื้อมานานแล้ว ทำให้ทางวัดมีโอกาสบิดเบือนว่าการเข้าจับกุมตัวพระธัมมชโยเป็นการทำลายศาสนา ส่งผลให้สังคมเข้าใจผิด

ที่ผ่านมาแผนปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ไม่ได้ล้มเหลว ทั้งเรื่องของตัวบุคลากรและการใช้กฎหมาย แต่กรณีนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนและระมัดระวังในการเข้าดำเนินการตามแผนปฏิบัติการที่วางไว้ ทั้งนี้ สำหรับการออกคำสั่งเรียกให้พระสงฆ์วัดพระธรรมกาย 14 รูปเข้ารายงานตัวนั้น ขณะนี้มีพระสงฆ์ 6 รูปเข้ารายงานตัวแล้ว ประกอบด้วย พระครูถวัลย์ศักดิ์ ยติสโก, พระมหาสมชาย ฐานวุฒิโฒ, พระมหานพพร ปุญญชโย, พระแสนพล เทพเทพา หรือสิบเอกแสนพล เทพเทพา, พระภาสุระ ทนตมโน(ใจวงศ์) และพระครูสังฆรักษ์ อนุรักษ์ โสตถิโก หรือพระครูแอ โดยยังเหลืออีก 8 รูป

ขณะเดียวกัน เตรียมเรียกบุคคลที่เข้าข่ายฝ่าฝืนคำสั่งคสช.อีก 70 คน เพิ่มเติมจาก 96 คน ของเมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อเข้ารายงานตัวต่อดีเอสไอ ทำให้ขณะนี้ดีเอสไอออกคำสั่งเรียกให้บุคคลมารายงานตัวแล้วประมาณ 160 คน

ถอดสมณศักดิ์พระทัตตชีโว

วันเดียวกัน ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ถอดถอนสมณศักดิ์ มีรายละเอียดระบุว่า ด้วย พระราชภาวนาจารย์ (พระทัตตชีโว หรือเผด็จ ทัตตชีโว) วัดพระธรรมกาย จังหวัดปทุมธานี เข้าข่ายการเป็นผู้ต้องหาในคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการให้ที่พักพิงแก่ผู้ต้องหา และการนําเงินของวัดพระธรรมกายไปเล่นหุ้น เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้น การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

และยังเป็นผู้ต้องหากระทําความผิด โดยฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 5/2560 ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2560 โดยพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกให้ผู้ต้องหามาพบ และรายงานตัว แต่ผู้ต้องหาไม่มาตามกําหนด พนักงานสอบสวนจึงได้ออกหมายเรียกอีก จนถึงปัจจุบันผู้ต้องหาก็ยังไม่มาพบพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด จึงไม่สมควรดํารงอยู่ในสมณศักดิ์ต่อไป และได้นําความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมต่อไปแล้ว

บัดนี้ ได้มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ถอดถอน พระราชภาวนาจารย์ (พระทัตตชีโว หรือเผด็จ ทัตตชีโว) ออกจากสมณศักดิ์ ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2560 ประกาศ ณ วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560 ผู้รับสนองพระราชโองการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน