จบแล้วศึกป๋า สปท.ขี้ยัวะ พบตร.จ่ายค่าปรับ 1 หมื่นบาท ฐานตบหน้าพนักงานร้านดัง เจ้าตัวขอโทษสังคมและบาร์เทนเดอร์ เผยแค่หยอกล้อ แต่ไม่ชอบให้เรียกป๋า แถมเคยเตือนไปก่อนหน้านี้ ยอมรับถือเป็นบทเรียน ขณะที่บาร์เทนเดอร์หนุ่มเผย วันเกิดเหตุแค่ตกใจที่ถูกเรียก เลยเรียกว่าป๋า ทั้งที่ปกติจะเรียกคุณตลอด ด้านสปท. เตรียมส่งคณะกรรมการจริยธรรมสอบสวนภายใน 60 วัน ยันไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง เผยประวัติเป็นถึงหลานตาจอมพลถนอม กิตติขจร ขณะที่พริตตี้สาวโวยมีรูปคู่ว่อนเน็ต ยันแค่รับงานเอ็นเตอร์เทน กินข้าว ไม่มีอะไรเกินเลย

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 14 มี.ค. ที่ห้องประชุม สน.บางซื่อ นายอนุสร จิรพงศ์ อายุ 60 ปี สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และ นายชาติอลงกรณ์ นิลยาน อาชีพบาร์เทนเดอร์ ร้านเกรย์ฮาวด์ เดินทางมาที่สน.บางซื่อ เพื่อเจรจาตกลงยอมความกัน ภายหลังที่นายชาติอลงกรณ์ แจ้งความดำเนินคดีกับนายอนุสร ในข้อหาทำร้ายร่างกายด้วยการใช้มือตบไปที่หน้า เนื่องจากไม่พอใจที่ถูกเรียกว่า “ป๋า” เหตุเกิดเมื่อช่วงค่ำวันที่ 10 มี.ค. ที่ผ่านมา พร้อมนำคลิปวงจรปิดวันเกิดเหตุมามอบให้พนักงานสอบสวนเป็นหลักฐานด้วย โดยมีพล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. ร่วมสอบสวนด้วยตัวเอง

โดยพล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวว่า พนักงานสอบสวนรับการติดต่อจากคู่กรณีทั้งสองฝ่าย เพื่อขอเจรจาตกลงยอมความกัน ซึ่งตนมอบหมายให้ พ.ต.อ.เศกสิทธิ์ สุภาอ้วน ผกก.สน.บางซื่อ พ.ต.ท.จิรภัทร แต้มทอง รองผกก.สส.สน.บางซื่อ ให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ซึ่งนายอนุสรรับว่ากระทำการดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด แต่กรณีที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน เจ้าหน้าที่ก็ต้องดำเนินคดีไปตามกระบวนการของกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดตามหลักฐานของแพทย์ ซึ่งระบุว่า มีรอยช้ำบวม ที่แก้มขวา 3 แห่ง กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ใช้เวลาในการรักษาประมาณ 3 วัน พนักงานสอบสวนจึงได้แจ้งข้อกล่าวหา “ทำร้ายร่างกายผู้อื่น ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ” ตามมาตรา 391 มีอัตราโทษ จำคุก 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ลงความเห็นให้ลงโทษปรับ 10,000 บาท พร้อมกับจะนำผลการปรับครั้งนี้ส่งพนักงานอัยการเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไปด้วย

นายชาติอลงกรณ์กล่าวว่า ตนทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ที่ร้านนี้มาหลายปี ซึ่งเคยได้บริการให้นายอนุสรอยู่หลายครั้ง ซึ่งในวันเกิดเหตุตนเองก็ยังคงให้บริการกับลูกค้าตามปกติ ต่อมามีเพื่อนร่วมงาน มาบอกว่านายอนุสรเรียกให้ตนเองไปพบ ด้วยความตื่นเต้นที่ถูกเรียกไป จึงเผลอใช้คำสรรพนามเรียกนายอนุสร ว่า “ป๋า” ออกไปจนทำให้นายอนุสร ไม่พอใจ ซึ่งที่ผ่านๆ มาตนก็จะเรียกลูกค้าว่า “คุณ”จนเกิดเป็นภาพตามคลิปที่ปรากฏออกไป ซึ่งหลังจากเกิดเหตุทำให้ตนรู้สึกกลัวและน้อยใจ ว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะคิดว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิดแต่กลับถูกตบหน้า จึงเดินทางเข้าแจ้งความที่ สน.บางซื่อ ซึ่งเมื่อเหตุการณ์ผ่านมาแล้วตอนนี้ตนเองก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไร และคิดว่านายอนุสรไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งตนก็ต้องขอโทษนายอนุสรด้วยหากในวันเกิดเหตุตนใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม ซึ่งเรื่องนี้ก็ขอให้ยุติ ส่วนเรื่องค่าเสียหายอะไรนั้นตนไม่ขอรับ

นายอนุสรกล่าวว่า ตนเองต้องขอโทษกับนายชาติอลงกรณ์ด้วยและขอโทษต่อสังคม กับการกระทำของตนเองที่เกิดขึ้น ซึ่งตนเองไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งตนและนายชาติอลงกรณ์ก็มีความคุ้นเคยกันเพราะเคยมาใช้บริการร้านนี้อยู่บ่อยครั้งและเคยบอกไว้ว่า อย่าเรียก “ป๋า” เพราะตนรู้สึกว่าเป็นคำไม่สุภาพ ซึ่งเหตุการณ์ในวันนั้นตนเองคิดว่าเป็นการหยอกล้อ และไม่คิดว่านายชาติอลงกรณ์จะรู้สึกน้อยใจและเสียใจ จนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ ต้องถือว่าเหตุการณ์นี้เป็นบทเรียน เนื่องเพราะด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานทำให้ต้องระวังตัวเป็นพิเศษและยังทำให้สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) ได้รับความเสื่อมเสีย ซึ่งตนก็ได้ยอมรับผิดชอบและเยียวยาให้ผู้เสียหายที่ต้องทำให้หยุดงานและเสียรายได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการเปรียบเทียบปรับนายอนุสรในอัตราสูงสุดเป็นเงิน 10,000 บาท พร้อมลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานก่อนจะแยกย้ายกันกลับไป

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีรัฐบาลจะมีการกำชับหน่วยงานที่คสช.ตั้งขึ้นด้านจริยธรรมหรือไม่ หลังสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ประชุมเอาผิดนายอนุสร จิรพงศ์ สปท.เหตุตบหัวพนักงานร้านอาหารว่า เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ที่ผ่านมา ตนเห็นในข่าวเขาบอกว่าเขาเขกอย่างเดียว ซึ่งมันก็ไม่ควร แต่บางทีเขาหยอกไป แต่คนอื่นเขาไม่เล่นด้วยก็เกิดเป็นคดี เดี๋ยวทางสปท.กำลังดำเนินการสอบสวนว่าผิดจริยธรรมอะไรหรือไม่ และมีคณะกรรมการที่ดูแลด้านจริยธรรมดูแลอยู่แล้ว

ที่รัฐสภา นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) คนที่ 1 เปิดเผยว่า สปท.ไม่ได้นิ่งนอนใจกับกรณีที่พนักงานร้านอาหารย่านซอยอารีย์แจ้งความกล่าวหา นายอนุสร จิรพงศ์ สมาชิกสปท.ในข้อหาทำร้ายร่างกาย ซึ่งเบื้องต้นสอบถามไปยังนายอนุสรโดยตรงแล้ว ก็ยอมรับผิดทุกประการ และยินดีจะเข้าพบกับพนักงานสอบสวน พนักงาน และเจ้าของร้านดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นการแสดงเจตนาที่ดี

นายอลงกรณ์กล่าวต่อว่า ส่วนขั้นตอน ของสปท.นับจากนี้ จะให้คณะกรรมการตรวจสอบจริยธรรมของสปท.เข้าไปดำเนินการพิจารณาว่า กรณีนี้จะมีผลต่อสมาชิกภาพการเป็นสมาชิกสปท.หรือไม่ โดยมีเวลาพิจารณา 60 วัน แต่คิดว่าเป็นความผิดเฉพาะตัวเท่านั้น เพราะการกระทำดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของสปท.แต่อย่างใด ทั้งนี้ ยืนยันว่าสมาชิกสปท.ไม่ได้เอกสิทธิ์คุ้มครอง อีกทั้งในระหว่างนี้ นายอนุสรยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ

สำหรับความคืบหน้าเกี่ยวกับการทำงาน ของสปท. นายอลงกรณ์กล่าวว่า ขณะนี้เข้าสู่โรดแม็บประยะที่ 2 โดยมีวาระปฏิรูปเร่งด่วนจำนวน 27 วาระที่ต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในปี 2560 ซึ่งทางสปท.จึงต้องจัดลำดับการทำงานใหม่เพื่อให้สัมฤทธิผลในเรื่องการปฏิรูปประเทศ โดยเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายในการดำเนินการ แต่เชื่อมั่นว่าแม้จะมีข้อจำกัดเรื่องของเวลา แต่สปท.จะดำเนินการให้แล้วเสร็จ ส่วนการประชุมใหญ่ของสปท.จะนัดประชุมเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อให้คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ และสมาชิกสปท.ที่ต้องเข้าไปเป็นกรรมการในคณะต่างๆ ได้ทำงานอย่างเต็มที่

สำหรับนายอนุสร จิรพงศ์ เป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ในลำดับที่ 182 เกิดเมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2500 ระบุเป็นโสด จบชั้นมัธยมที่ เซนต์อัลบันส์ สคูล วอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อปี 2517 จบระดับการศึกษาปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มหาวิทยาลัยทัฟส์ เมดฟอร์ด บริเวณชานเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชู เซตส์ สหรัฐอเมริกา

จบปริญญาโทสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากวิทยาลัยกฎหมายและการทูต เฟลตเชอร์

นอกจากนี้นายอนุสรเป็นหลานตาของจอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยแม่คือคุณหญิงนงนุช บิดา คือพล.อ.เอื้อม จิรพงศ์ โดยนายอนุสรเป็นลูกชายคนโต มีน้องสาวชื่ออุษา ซึ่งต่อมาแต่งงานกับนายบัณฑูร ล่ำซำ แห่งแบงก์กสิกรไทย โดยระบุว่า มีความใกล้ชิดกับร.อ.ทินพันธ์ุ นาคะตะ ประธานสภาสปท.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเฟซบุ๊กส่วนตัวของนายอนุสร ได้โพสต์รูปภาพการปฏิบัติหน้าที่ และรูปขณะท่องเที่ยว โดยถ่ายภาพร่วมกับผู้หญิงสาวสวยหลายคน อย่างไรก็ตามเฟซบุ๊กของนายอนุสร ถูกปิดไปในเวลาต่อมา

ล่าสุดมีหญิงสาวคนหนึ่งที่มีภาพคู่กับนายอนุสรหลายภาพ ออกมาชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับภาพต่างๆ ที่ถูกขุดขึ้นมา ระบุว่าตนเองเป็นแค่พริตตี้ รับงานเอ็นเตอร์เทนเท่านั้น ไม่ได้ขายตัวแต่อย่างใด ถ้าขายจริงก็รวยไปนานแล้ว ใครจะมองอย่างไรก็ช่าง ครอบครัวและเพื่อนของตนต่างรู้ดี อย่างไรก็ตาม หญิงสาวรายนี้ได้ปิดเฟซบุ๊กในเวลาต่อมา

ต่อมาหญิงสาวคนนี้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว “ข่าวสด” ว่า ตนเองเป็นพริตตี้ที่รับงานเอ็นเตอร์เทนคือ ไปเที่ยว ไปกินข้าว เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรเกินเลยมากกว่านี้ โดยตนอยู่ที่เชียงใหม่ ตนและเพื่อนได้รับการติดต่อจากคนรู้จักว่าให้ไปรับงานกับผู้ชายคนดังกล่าวที่มาเที่ยว จ.เชียงใหม่พอดี ยืนยันว่าขณะที่ไปกินข้าว ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยแต่อย่างใด โดยผู้ชายคนนี้บอกว่า ตนไม่มีลูกเมีย แค่มาเที่ยวพักผ่อน ประมาณสามสี่ทุ่ม ตนและเพื่อนก็กลับ

โดยพริตตี้สาวบอกว่า ตนไม่เข้าใจว่าทำไมรูปที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์มีแค่ตนคนเดียว ทั้งที่ไปกันหลายคน โดยตนก็ได้บอกให้ลบรูปไปแล้ว แต่ไม่เข้าใจว่ารูปนั้นไปเผยแพร่ในโลกออนไลน์ได้อย่างไร

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน