“โกตี๋”โผล่ ซัดกลับจัดฉากไม่เนียน ออกจากไทยมา 3 ปีแล้ว ไม่ใช่เจ้าของคลังแสงอาวุธตามที่ถูกยัดเยียด รัฐบาลคสช.ประสานเสียง โต้จัดฉากค้นอาวุธเครือข่ายโกตี๋ ผบ.ตร.ยันพบโยงธรรมกาย-เตรียมสังหาร”บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ขยายผลค้นตู้คอนเทนเนอร์ย่านบางพลี ยังไม่พบของผิดกฎหมาย “พรเพชร”ย้ำกรธ.ถ้ารธน.ประกาศใช้ช่วงสงกรานต์ ขอส่งกฎหมายลูกให้สนช.หลังหยุดยาว จะได้ไม่เสียเวลาทำงาน เพื่อไทยบุกสรรพากรวันนี้ร้องสอบเช็ค “บิ๊กป้อม” เสียภาษีหรือไม่ แนะ สตง.ตรวจสอบภาษีทุกกลุ่มทั้งครม.บิ๊กตู่ สนช. สปท. ข้าราชการ บริษัทห้างร้าน จะได้ไม่มีข้อครหาเลือกปฏิบัติ โวยไล่ล่าภาษีหุ้นชินคอร์ป ปรองดองเกิดยาก โพลระบุชาวบ้านฝากความหวังรัฐบาลบิ๊กตู่มากกว่ารัฐบาลจากเลือกตั้ง ปลื้มปราบทุจริต บ้านเมืองสงบ แต่เศรษฐกิจแย่ ให้คะแนนจริยธรรมแม่น้ำ 3 สาย 6.23 เต็ม 10

“บิ๊กตู่”สั่งค้นอาวุธตรงไปตรงมา

เมื่อวันที่ 19 มี.ค. พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงบุกเข้าตรวจค้นบ้านพักของเครือข่ายนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำกลุ่มการเมืองฮาร์ดคอร์ จ.ปทุมธานี และพบระเบิด อาวุธสงคราม เครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก รวมทั้งเอกสารสำคัญ เช่น สมุดบัญชีธนาคาร พาสปอร์ต ว่า ของกลางทั้งหมดเป็นสิ่งที่สะท้อนว่า มีการครอบครองสิ่งผิดกฎหมายซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการนำไปใช้ในทางที่ผิด และเป็นอันตรายต่อสังคม โดยเจ้าหน้าที่จะต้องรวบรวมไว้เป็นหลักฐานและสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อนำไปสู่การดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป การครอบครองอาวุธสงคราม ระเบิด และเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวถือเป็นภัยด้านความมั่นคงของประเทศ รัฐบาลจึงต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกับคดีอื่นๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน

พล.ท.สรรเสริญกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้ปฏิบัติการอย่างตรงไปตรงมาและหาตัวผู้ครอบครองมาดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยไม่อยากจะเชื่อมโยงหรือกล่าวถึงเหตุการณ์ความรุนแรงในอดีต ซึ่งเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดของคนไทย พร้อมทั้งย้ำว่าประเทศไทยต้องเดินหน้าต่อไปด้วยกฎหมาย ผู้กระทำผิดทุกคนจะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

“ไก่อู”โต้จัดฉาก-คุยงานข่าวเจ๋ง

“ส่วนความเห็นที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหน้าที่อาจมีการจัดฉากใส่ร้ายนายโกตี๋ เนื่องจากอาวุธสงครามและกระสุนปืนมีลักษณะค่อนข้างใหม่ และเจ้าของบ้านไม่ได้อาศัยอยู่นานแล้วนั้น เรื่องนี้ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ได้สืบสวนและเก็บข้อมูลมาระยะหนึ่ง และขณะเข้าปฏิบัติการก็มีสื่อมวลชนร่วมเป็นพยานจำนวนมาก รวมทั้งผู้ที่ครอบครองอาวุธเหล่านี้ได้เก็บทุกอย่างไว้ในกล่องที่ปิดผนึกและซุกซ่อนไว้ในที่ลับเฉพาะ ทำให้ของกลางทั้งหมดดูใหม่ จึงไม่ใช่การจัดฉากแต่อย่างใด” พล.ท.สรรเสริญกล่าว

ด้านพ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า อาวุธและวัตถุระเบิดที่เห็น ถูกพบในสถานที่เป้าหมายในลักษณะหลบซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิดในพื้นที่ส่วนบุคคลแบบชนิดที่บุคคลภายนอกไม่สามารถจะเข้าถึงได้ การตรวจค้นจนพบในครั้งนี้อาศัยกระบวนการสืบสวนที่เป็นระบบ ควบคู่กับงานด้านการข่าวที่มีประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งกรณีที่เป้าหมายใดๆ มีความชัดเจนในแง่ของพยานหลักฐานแล้วจะเข้าดำเนินการ ที่สำคัญการดำเนินการในครั้งนี้มีสื่อมวลชนเข้าร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ และเจ้าหน้าที่ได้บันทึกภาพการปฏิบัติในขณะเข้าดำเนินการไว้อย่างละเอียด เพื่อเป็นเครื่องยืนยันป้องกันการที่ผู้ไม่หวังดีอาจจะนำไปสร้างเป็นประเด็นทำลายความน่าเชื่อถือเจ้าหน้าที่

“โกตี๋”โวยลูกน้องโดนยัดข้อหา

พ.อ.วินธัยกล่าวว่า ส่วนประเด็นที่ตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีการเชื่อมโยงกรณีนี้กับปัญหาวัดพระธรรมกาย เพื่อให้ความชอบธรรมแก่เจ้าหน้าที่จัดการกับวัดพระธรรมกายอีกรอบนั้น ปัจจุบันเจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการเกี่ยวกับงานการรักษากฎหมาย งานดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่วัดพระธรรมกาย และโดยรอบได้อยู่แล้ว ข้อสังเกตดังกล่าวจึงยังดูไม่สมเหตุสมผลจริง ส่วนเรื่องการเชื่อมโยงบุคคลในทางคดีจะเกี่ยวข้องกับบุคคลใดคนไหนบ้าง คงต้องขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังอยู่ในระหว่างดำเนินการเพื่อสอบสวนบุคคลต่างๆ อยู่ ตามขั้นตอนลักษณะการสอบสวนคดีความที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง

นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ กล่าวถึงกรณีทหารบุกค้นบ้านแล้วพบอาวุธสงครามจำนวนมาก ผ่านช่องทางยูทูบว่า วันนี้ตนเห็นลูกน้องที่โดนจับแล้วสงสารเขา เพราะตนไม่มีปัญญาไปช่วย เขาเป็นคนดีมาก วันนี้โดนยัดข้อหาขนาดนี้ นี่คือความ อยุติธรรมที่เกิดขึ้นตลอดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเมืองไทย ไม่รู้ว่าโดนจับเข้าไปเขาจะโดนทำร้ายมากขนาดไหน ในการที่จะให้เขาใส่ร้ายป้ายสีมาให้ตนให้ได้ ถ้าเป็นไปได้พี่น้องช่วยตามข่าวแทนตนด้วย

ซัดกลับจัดฉากไม่เนียน

นายวุฒิพงศ์กล่าวว่า กองทัพไม่ต้องซื้ออาวุธหรอก ไปบุกบ้านไหนก็ของโกตี๋ เจออาวุธที่ไหนก็ของโกตี๋ โยงเข้าหาแม้กระทั่งวัดพระธรรมกาย บ้ากันไปใหญ่แล้ว อาวุธที่ค้นเจอนั้นยืนยันว่าไม่ใช่ของตนแน่นอน มีการจัดฉากต้องการเล่นงานเครือข่ายของตนทั้งหมด ตนห่วงอย่างเดียวคือห่วงความปลอดภัยของหัวหน้าการ์ดตน เพราะวันนี้เขาได้เสียสละแทนตนทั้งที่เขาไม่รู้เรื่อง

“ชีวิตผมไม่เคยมีบ้านเป็นหลัง นอนสถานีมาตลอด และออกจากเมืองไทยมา 3 ปีแล้ว อาวุธถ้ามีมากขนาดนั้นผมถล่มพวกเขาไปนานแล้ว ผมไม่เอาไว้หรอก นอกจากนี้ผมจะสะสมอาวุธไว้ทำไมในเมืองไทย ที่ใจกลางเมืองขนาดนั้น จัดฉากไม่เนียนในการพยายามที่จะให้ผมเป็นคนก่อการร้าย” นายวุฒิพงศ์กล่าว

ผบ.ตร.ยืนยันข้อมูลชัวร์

เวลา 15.40 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พร้อมหน่วยที่เกี่ยวข้อง แถลงผลการปฏิบัติการตรวจค้นแหล่งสะสมอาวุธสงคราม 9 จุด ในพื้นที่ 7 จังหวัด เครือข่ายโกตี๋ ว่า การตรวจค้นดังกล่าวสืบเนื่องจาก เมื่อต้นเดือนมี.ค.2560 จากการสืบสวนหาข่าวของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง พบว่ามีกลุ่มคนที่เป็นเครือข่ายของนายวุฒิพงศ์ ผู้ต้องหาหลบหนีหมายจับได้ร่วมกันวางแผนสะสมอาวุธสงครามและวัตถุระเบิด เพื่อเตรียมก่อเหตุร้ายและความไม่สงบขึ้น หากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้าปิดล้อมตรวจค้นยึดพื้นที่วัดพระธรรมกาย อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อมูลจนเป็นที่แน่ชัดและเชื่อว่ามีการวางแผนที่จะลงมือกระทำความผิดจริง จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและได้รับคำสั่งให้ดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี

พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าวว่า พื้นที่จ.ปทุมธานีเป็นพื้นที่ของโกตี๋และพวกอยู่แล้ว มีการจัดตั้งกลุ่มคนและสะสมอาวุธ คนเหล่านี้นิยมความรุนแรง โดยเฉพาะปืนติดกล้องก็ชี้ชัดอยู่แล้วว่าไม่ได้ใช้ไปยิงนกแน่นอน แต่เป็นการนำไปใช้สำหรับยิงคนหรือลอบสังหารผู้นำ ซึ่งปืนบางกระบอกหายไปช่วงที่มีการชุมนุมและการปะทะเมื่อปี 2553 ด้วยซ้ำ

พบโยงธรรมกาย-ปองร้ายผู้นำ

พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา รองผบช.ภ.1 กล่าวว่า บุคคลเหล่านี้เคยเข้าร่วมชุมนุมใหญ่ปี 2553 กับมวลชนคนเสื้อแดง ที่ผ่านมาโกตี๋ มีความพยายามใช้โซเชี่ยลโจมตีการทำงานของรัฐบาลและคสช. มีการปลุกระดมให้ศิษย์วัดพระธรรมกายตอบโต้เจ้าหน้าที่ตำรวจในการเข้าค้นวัดพระธรรมกาย โดยการจัดตั้งกลุ่มมวลชนมาปะทะ และยังพบว่าการ1ใน9 ที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวเคยปรากฏตัวบริเวณวัดพระธรรมกายด้วย เจ้าหน้าที่จึงติดตามจนนำไปสู่การควบคุมตัว

นอกจากนี้ยังพบการเตรียมการลอบทำร้ายผู้นำประเทศและบุคคลสำคัญประมาณช่วงเดือนก.พ. 2560 โดยใช้นามแฝง “สหายหมาน้อย” จัดรายการวิทยุออนไลน์สู้เพื่อสหพันธรัฐไทย เผยแพร่ผ่านยูทูบ ช่องไฟเย็นชาแนล ซึ่งมีเนื้อหาโจมตีการทำงานของรัฐบาล มีการเตรียมการลอบสังหาร พล.อ. ประยุทธ์ จันโอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม และบุคคลสำคัญ ซึ่งอาวุธทั้งหลายเหล่านี้คาดว่าเตรียมการไว้สำหรับสังหารผู้นำประเทศ และจากการติดตามยังพบว่ามีการ กระทำความผิดที่เข้าข่ายหมิ่นสถาบันเบื้องสูง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ผ่านรายการสู้เพื่อสหพันธรัฐไทยด้วย

เผย”บิ๊กป้อม”ยังไม่เพิ่มรปภ.

นายปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษาพล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การสอบสวนขยายผลกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่มีอาวุธสงครามหรือกลุ่มที่มีเครือข่ายธุรกิจผิดกฎหมายหรือกลุ่มที่เชื่อมโยงการเมือง ทางพล.อ.ประวิตรมีคณะกรรมการที่ดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ขณะนี้ตนยังไม่เห็นการสรุปรายงานเข้ามาโดยตรง แต่อาจรายงานพล.อ.ประวิตรผ่านทางวาจาแล้ว อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้มีความเคลื่อนไหวและผิดปกติอะไรบางอย่างแน่นอน แต่กลุ่มการเมืองอาจไม่ใช่ประเด็นหลักเท่ากับการตรวจสอบกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวกับอาวุธสงคราม อาทิ บ่อนการพนัน ธุรกิจผิดกฎหมาย แต่จะเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่ต้องรอเจ้าหน้าที่แถลงให้ชัดเจนก่อน

เมื่อถามว่าจะเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญในรัฐบาลหรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่าพล.อ.ประวิตรยังไม่ได้สั่งการเพิ่มเติมเป็นพิเศษ เพียงแต่กำชับว่าไม่ให้ประมาทและทำงานอย่างรอบคอบ ส่วนการข่มขู่ผ่านการส่งข้อความปองร้ายทางโทรศัพท์ที่มีมาอยู่เป็นระยะๆ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงกำลังติดตามอยู่ เมื่อถามว่าจะกระทบกับการคุยปรองดองหรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่าไม่น่าจะกระทบ เพราะถือว่าเป็นการควบคุมผล กระทบไม่ให้เกิดความรุนแรงมากกว่า ที่ผ่านมาบรรยากาศในการพูดคุยเป็นไปด้วยดีและยังไม่มีการเชื่อมโยงอะไรเป็นพิเศษ

ตร.ขยายผลค้นตู้บางพลี

ขณะที่ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า ของกลางที่ยึดได้ในครั้งนี้เป็นกลุ่มที่อยู่ในยุทธภัณฑ์ของทหาร ซึ่งก่อนหน้านั้นเมื่อปี 2553 มีการดำเนินคดีไปแต่ยังไม่ได้ของกลางคืน ในเมื่อครั้งนี้ได้ตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางก็จะมีการดำเนินการในส่วนต่อไป และในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวัดพระธรรมกาย ตำรวจและดีเอสไอได้มีการพูดเสมอว่าทั้งหมดมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองเข้ามาเคลื่อนไหวในวัดพระธรรมกายและตลาดกลางคลองหลวง ซึ่งจากทางการข่าวก็ตรงกันว่ามีการเตรียมการก่อเหตุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ สนธิกำลัง ศุลกากร และฝ่ายปกครอง รวม 400 นาย เข้าตรวจค้นภายในลานเก็บตู้คอนเทนเนอร์ บริษัท เกรทติ้ง ฟอร์จูน คอนเทนเนอร์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด เลขที่ 10 หมู่ 12 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลีใหญ่ จ.สมุทรปราการ เพื่อค้นหาอาวุธสงคราม วัตถุระเบิดและสิ่งของผิดกฎหมาย หลังขยายผลมาจากการตรวจค้นอาวุธปืนและอื่นๆ หลายรายการ ที่บ้านพักของนายโกตี๋ แกนนำเสื้อแดง จ.ปทุมธานีนั้น หลังใช้เวลาตรวจค้นราว 10 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ได้ยุติการตรวจค้นเมื่อเวลา 01.30 น.วันที่ 19 มี.ค. ซึ่งไม่พบอาวุธสงครามหรือสิ่งของผิดกฎหมาย

พบตู้ต้องสงสัยฝากนานพันวัน

ด้านพ.อ.อัมฤต บุญสุยา ผบ.ร.21 รอ. กล่าวว่า ภารกิจวันนี้ได้จัดส่งกำลังทหารมาสนับสนุนประมาณ 200 นายโดยเป้าหมายของการตรวจค้นจะเน้นตู้ที่มีการฝากระยะยาวนาน ตู้ที่มีระบุห้ามเคลื่อนย้าย และตู้เก่าซึ่งมีจำนวน 134 ตู้ และตรวจคนตู้ใหม่ไปพร้อมกัน โดยต้องตรวจค้นทุกตู้ที่มีอยู่ในลานเก็บทั้งบริเวณจุดถนนสุขาภิบาล 6 ต.บางพลีใหญ่แห่งนี้และอีกจุดคือลานเก็บตู้ที่ซอยกิ่งแก้ว 33 รวมตู้ที่จะต้องตรวจค้นทั้งหมดประมาณ 3,803 ตู้ ส่วนจะแล้วเสร็จเมื่อไหร่นั้นยังตอบไม่ได้แต่ต้องทำให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

พ.ต.อ.วสันต์ บุญเจริญ รองผบก.ภ.จ.สมุทร ปราการ กล่าวว่า ภารกิจในการตรวจค้นตู้คอนเทนเนอร์เพื่อหาอาวุธสงครามและวัตถุระเบิดในวันนี้ยังคงเป็นการทำงานร่วมระหว่างทหารสังกัด ร.21,ร2 ตำรวจสภ.บางพลี และ อส.ของจังหวัด เน้นการตรวจดูตู้ที่มีอายุการฝากไว้เกิน 300 วัน และตู้ที่ต้องสงสัยที่มีอายุการฝากเกิน 1,000 วัน ที่มีอยู่เพียง 1 ตู้

สนช.ขอกรธ.ยืดส่งกม.ลูก

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกระบวนการจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรม นูญ หรือกฎหมายลูก ว่า ขณะนี้ทุกคนยังไม่มีใครทราบว่ารัฐธรรมนูญจะโปรดเกล้าฯ ลงมาเมื่อใด สนช.จึงมีความกังวลว่าหากรัฐธรรม นูญโปรดเกล้าฯ ลงมาในช่วงวันหยุดยาวสงกรานต์ ประกอบกับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เคยบอกว่าถ้ารัฐธรรมนูญประกาศใช้ วันรุ่งขึ้นจะส่งกฎหมายลูกให้ สนช.ทันที เราจึงบอกไปยัง กรธ.ว่า ถ้ารัฐธรรมนูญประกาศออกมาในช่วงวันหยุดยาว ขอว่าอย่าเพิ่งส่งมา เพราะจะเสียเวลาในการทำงานของ สนช.ไปหลายวัน เนื่องจาก สนช.มีเวลาพิจารณากฎหมายภายใน 60 วันเท่านั้น ดังนั้น หากรัฐธรรมนูญประกาศใช้ในช่วงหยุดสงกรานต์พอดี ขอให้ส่งกฎหมายลูกมาหลังจากช่วงสงกรานต์จะดีกว่า

สำหรับการเตรียมความพร้อมในการจัดทำกฎหมายลูกของสนช. เรามีคณะกรรมาธิการจัดทำและศึกษาล่วงหน้าไว้ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา โดยจะมีการศึกษาจากกฎหมายฉบับเก่าด้วยว่ามีแนวทางเป็นอย่างไร จะต้องนำมาปรับแก้ ทั้งกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการ การเลือกตั้ง (กกต.) หรือกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง เป็นต้น

เพื่อไทยร้องสอบภาษี”บิ๊กป้อม”

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จากการติดตามข่าวการจัดเก็บภาษีในช่วงนี้ มีบุคคลสำคัญทางการเมืองหลายคนที่ถูกตรวจสอบ และตนกลับพบเพิ่มเติมว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม อาจเข้าข่ายที่ควรตรวจสอบด้วย ทั้งนี้ จากการเปิดเผยของสำนักข่าวแห่งหนึ่งก่อนหน้านี้ พบว่าพล.อ.ประวิตรเคยแจ้งบัญชีคราวรับตำแหน่ง รมว.กลาโหม เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2551 ว่ามีทรัพย์สินอื่นเป็นเช็ค จำนวนเงิน 1 ล้านบาท

หากพิจารณาจากข้อมูลที่คนของรัฐบาลเปิดเผยออกมาเกี่ยวกับมาตราต่างๆ ในประมวลรัษฎากรแล้ว ทำให้เข้าใจได้ต่อว่ากรณีเช็ค 1 ล้านบาทของพล.อ.ประวิตร ก็ควรมีการตรวจสอบเช่นกันว่าเช็คดังกล่าวถือเป็นเงินได้พึงประเมินหรือไม่ ได้มีการเสียภาษีจากเช็คดังกล่าวหรือยัง หากยังไม่เสียจะต้องออกหมายเรียกต่อไปหรือไม่ อย่างไร โดยจะยื่นหนังสือที่กรมสรรพากรในวันที่ 20 มี.ค. เวลา 10.30 น. เพื่อร้องขอให้อธิบดีกรมสรรพากรตรวจสอบเรื่องดังกล่าวโดยเร็ว ต่อไป

จี้สตง.ตรวจครม.-สนช.-สปท.

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) จะเข้าไปตรวจสอบภาษีอดีต 60 นักการเมืองในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาลน.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่า ตนพร้อมให้การตรวจสอบ ไม่มีปัญหา เพราะได้ยื่นภาษีอย่างถูกต้องมาตลอด แต่มองว่าควรตรวจสอบทุกคนทั้งข้าราชการระดับสูง สนช. สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) รัฐมนตรีทุกคนในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมถึงบริษัทห้างร้านต่างๆ ว่าเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ อย่าให้เกิดข้อครหาว่าเลือกปฏิบัติ ส่วนเจตนาที่รัฐบาลจะดำเนินการเรียกสอบภาษีในช่วงนี้ จะเรียกว่าเป็นการไล่ล่านักการเมืองหรือไม่นั้นเป็นสิ่งที่รัฐบาลทำมาโดยตลอด แต่รัฐบาลควรแสดงความโปร่งใสของตัวเองด้วย

ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่ทราบว่าทำไมถึงต้องเจาะจงเฉพาะกับนักการเมือง แต่เรื่องที่จะให้กรมสรรพากรตรวจสอบน่าจะเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับรายได้ที่เกิดขึ้นหลังจากพ้นตำแหน่งมาแล้ว และเมื่อพ้นไป 1 ปีก็ต้องยื่นอีกครั้ง ซึ่งระหว่างนั้นนักการเมืองอาจมีรายได้เกิดขึ้นจากการหยิบยืมจากครอบครัว ญาติพี่น้อง ก็ต้องพิสูจน์ว่าเป็นรายได้ที่เสียภาษีหรือไม่ อีกแบบคือการมีรายได้จากธุรกิจหรือจากหุ้น ซึ่งถ้ามาจากหุ้นไม่ต้องเสียภาษี เพราะซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ แต่ถ้าเป็นรายได้จากธุรกิจคงต้องเสียภาษี ส่วนตนหากใครสงสัยประเด็นไหนก็ชี้แจงได้

ชี้ปมหุ้นทักษิณ-ฟ้องซ้ำ

นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พยายามที่จะติดตามคำสัมภาษณ์ของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ว่าการสั่งการให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีเอาแก่อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร กรณีการซื้อขายหุ้นของบริษัทชินคอร์ปเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา ที่ระบุว่าอาจจะต้องอาศัยอภินิหารทางกฎหมาย อาจมีความยากลำบาก เดิมคิดว่าทำไม่ได้ แต่คิดว่ามีช่องทางใหม่เลยจะลองเสี่ยงทำดู ตนจึงพยายามที่จะสืบสอบค้นคว้าดูว่าอะไรถึงจะขนาดเป็นอภินิหารเลยทีเดียว เพราะอภินิหารหมายถึงอำนาจที่เหนือปกติที่ให้ไว้

โดยหลักการโดยทั่วไป การกระทำอะไรซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นสิ่งไม่พึงกระทำ เพราะอาจแปลได้ว่ามีเจตนาไม่สุจริต มีเจตนากลั่นแกล้งเขา จึงมีคำกล่าวว่า ฟ้องซ้ำต้องห้าม คดีนี้หากมีการประเมินภาษีอีกก็อาจพูดได้ว่าเป็นการประเมินซ้ำ หากนำขึ้นสู่ศาล จำเลยอาจอ้างได้อีกว่า ศาลได้ตัดสินเป็นที่ยุติแล้วว่าไม่มีนิติ กรรมใดๆ เกิดขึ้น อีกทั้งหากจะประเมินก็ล่วงเลยเวลาของกฎหมายมานานแล้ว อาจต้องตีความแบบเทียบเคียงเอาหลักกฎหมายแพ่งที่มิใช่กฎหมายภาษีอากรมาจับโดยรวมทั้งหมดจึงต้องพึ่งอภินิหาร ตนไม่คิดว่าเป็นอภินิหารของกฎหมาย แต่อาจจะเป็นอภินิหารของการแปลความหรือตีความเสียมากกว่า ที่เห็นว่าเป็นอภินิหารแน่ๆ คือกรมสรรพากรเห็นว่าทำไม่ได้มาโดยตลอดแต่มาในยุคนี้จะใช้อภินิหารว่าทำได้และจะลองเสี่ยงดู ที่น่าวิตกมากไปกว่านั้นหากเราจะใช้หลักอภินิหารแล้วคำถามคือหลักนิติธรรมจะไม่ใช้กันแล้วหรือ

ไล่ล่าไม่สิ้นสุด-ปรองดองยาก

นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมพร้อมรับมือหลังถูกรัฐบาลรุกหนักคดีของคนในพรรคเพื่อไทยว่า ตอนนี้พรรคไม่สามารถทำอะไรได้มากด้วยข้อจำกัดของกฎหมาย ที่จะให้พรรคการเมืองมีบทบาทอย่างจำกัด แต่สิ่งที่พรรคพยายามดำเนินการและพูดคุยกับสมาชิกพรรค คือรักกันให้มากขึ้น สิ่งสำคัญคือเชื่อมั่นในสิ่งที่เราบริสุทธิ์ใจและทำถูกต้อง ขอเพียงอย่างเดียวว่าที่ผ่านมาบ้านเมืองขัดแย้งมาเป็น 10 ปีแล้ว ระยะเวลาดังกล่าวได้สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศค่อนข้างมาก ฉะนั้นถ้าอยากให้ประเทศเดินไปในทิศทางที่ดีตามที่ทุกฝ่ายต้องการ ให้คลี่คลายปัญหาทั้งหมด ก็ควรใช้กฎหมายอย่างยุติธรรมและถูกต้อง

“ผมไม่สบายใจที่มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองบางท่านมาบอกว่าจะใช้ความพิสดารของกฎหมาย ฟังแล้วเหมือนพยายามกำลังจะไล่ล่ากันไม่มีที่สิ้นสุด ถ้ายังมีความคิดแบบนี้ หรือไม่มีหลักที่ถูกต้องแล้ว จะทำให้เกิดความร่วมมือปรองดองได้อย่างไร และจะเป็นปมปัญหาให้ประเทศเดินไปไม่ได้ ถ้าทุกคนรู้ถึงวิกฤตของประเทศและประเทศจะต้องเผชิญอะไรอีกมากมาย และอยากให้ประเทศขยับและเดินไปในทิศทางที่ดีร่วมกัน ทุกคนต้องมีใจที่เมตตาต่อกัน และเอาความถูกต้องของปัญหา นำหลักกฎหมายและนิติธรรมเป็นหลักยึด ไม่ใช่ใช้กฎหมายตามอำเภอใจ อยากจะรักใครหรืออยากจะทำลายใคร มานั่งไล่ล่ากันแบบนี้จะไม่มีที่สิ้นสุดที่จะคลี่คลายปัญหาได้” นายภูมิธรรมกล่าว

เพื่อไทยเตรียมปฏิรูปตัวเอง

นายภูมิธรรมกล่าวว่า ขณะที่พรรคเพื่อไทยเตรียมปฏิรูปพรรคให้มีกระบวนการฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนเพิ่มมากขึ้น เพื่อปรับปรุงและคลี่คลายบทบาทของเราหลายอย่าง แต่ขณะนี้ยังทำอะไรไม่ได้เพราะอยู่ภายใต้สถานการณ์และกฎหมายพิเศษ แต่หลังจากเปิดให้มีการเคลื่อนไหวได้ทางพรรคจะมีบทบาทในการแสดงออกให้เห็นว่าเราพร้อมปรับปรุง เปลี่ยนแปลงในสิ่งต่างๆ ที่เรามีอยู่ โดยฟังความเห็นจากประชาชน เพื่อนำมาคลี่คลายปัญหา

“เราต้องหันกลับมาปฏิรูปตัวเราเอง หันกลับมาปฏิรูปพรรค ซึ่งสถานการณ์วันนี้บอกอยู่แล้วว่ากฎเกณฑ์และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งเศรษฐกิจและสังคมการเมือง พรรคต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เท่าทันเหมาะสม และดำรงอยู่ได้กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป อีกทั้งต้องสามารถตอบสนองประโยชน์ให้ประชาชนได้มากกว่านี้ ซึ่งคงต้องขอเวลาอีกสักพัก” นายภูมิธรรมกล่าว

“วิลาศ”เหน็บนายกฯปมปราบโกง

เมื่อเวลา 10.30 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายวิลาศ จันทรพิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า หลังจากที่ตนได้แถลงไปหลายครั้ง รวมทั้งได้ไปยื่นหนังสือกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา เพื่อให้ตรวจสอบการทุจริตกรณีที่มีการโอนงบจากการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ให้กรมทางหลวง เพื่อจัดสร้างสนามกีฬา 7 แห่ง และสนามกอล์ฟ 1 แห่ง เป็นเงินรวม 1,270 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่ให้กรมทางหลวงดำเนินการ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ภารกิจหลักของกรมทางหลวง จึงเชื่อว่าเป็นเรื่องผิดปกติ แต่จนถึงขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.ยังไม่มีท่าทีเอาจริงเอาจังหรือดำเนินการใดๆ ทั้งที่ท่านพูดอยู่เสมอว่าที่เข้ามาก็เพื่อปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น รวมทั้งจัดการพวกที่ทำลายทรัพยากรป่าไม้

ทั้งนี้ จากการติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างสนามกีฬาที่ จ.มหาสารคาม เมื่อวันที่ 13 มี.ค. ซึ่งมีการให้สัมปทานบริษัทรับเหมารายหนึ่งเข้ามาทำโครงการดังกล่าว ปรากฏว่าขณะนี้มีการเปลี่ยนตัวผู้รับเหมา และยังก่อสร้างไม่เสร็จเหมือนเดิม ทั้งที่ตามสัญญาจะต้องก่อสร้างเสร็จตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย.2558 ส่วนการสร้างสนามกอล์ฟที่ จ.สระบุรี จำนวน 933 ไร่ ก็ยังไม่มีการทำงานต่อ มีเพียงแค่คนเข้ามาตัดหญ้า ส่วนที่มีการตัดต้นไม้ออกไปจำนวนมาก อยากรู้ว่าจนถึงตอนนี้ต้นไม้หายไปไหน และมีการขออนุญาตตัดต้นไม้หรือไม่

ลั่นทำฟรีชักมีอารมณ์

นายวิลาศกล่าวว่า ตนได้ส่งคนเข้าไปดูการก่อสร้างสนามกีฬาที่ จ.อำนาจเจริญ ซึ่งศูนย์ทางหลวง จ.ขอนแก่น รับผิดชอบโครงการ ปรากฏว่ามีการจ้างบริษัทเอกชนเข้ามาดำเนินการแทนอีก และที่น่าเล่นงานมากสุด คือการก่อสร้างสนามกีฬาที่ จ.สมุทรปราการ มีศูนย์ทางหลวง จ.ลำปาง เป็นผู้รับงาน แต่มีการจ้างบริษัทเอกชนเข้ามาดำเนินการแทน ไม่รู้ว่ามีการเบิกจ่ายงบประมาณกันแล้วหรือไม่ หรือเอางบไปทำอะไรหมด ปรากฏว่าเอกชนก็ทิ้งงาน ส่วนที่ทำไปแล้วก็ถอดอุปกรณ์ เช่น ในส่วนของสระว่ายน้ำ มีการถอดไฟสนาม หม้อแปลงสายไฟกลับไปด้วย จากนั้นมีจ้างบริษัทเอกชนอีกรายเข้ามาทำต่อ ไม่รู้ว่ามีการจ่ายเงินให้หรือไม่ สุดท้ายเอกชนรายนี้ก็ทิ้งงานทั้งที่เพิ่งทำงานได้แค่เดือนเดียว

ทั้งนี้ ได้มีโอกาสเข้าไปดูโครงการก่อสร้างสนามกีฬาเคหะบางพลีของกกท. ซึ่งจ้างเหมาเอง ได้งบประมาณดำเนินการ 90 ล้านบาท ประกอบด้วยการสร้างสระว่ายน้ำและสนามเทนนิส 2 สนาม ปรากฏว่าไม่มีคนเข้ามาทำงานเลย ขณะที่ในปีงบประมาณ 2560 ได้งบประมาณมาก่อสร้างยิมเนเซียมอีก 59 ล้านบาท ซึ่งตนจะได้ติดตามดูว่าจะมีการทิ้งงานอีกหรือไม่ วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย โกงกันเกือบทุกงานจริงๆ นายกฯ พูดเองว่าจะเอาคนทุจริตเข้าคุก หน่วยงานไหนทุจริตจะจัดการทันที เห็นใจว่าท่านอาจงานเยอะ ไม่มีเวลาเข้ามาดู แต่ไม่อยากให้ท่านแค่พูดลอยๆ กลัวคนจะเสื่อมศรัทธา ขอให้จี้ไปที่หน่วยงานเลย และอยากให้ท่านเอาจริงเอาจังเสียที ที่ตนตรวจสอบก็เพื่อประเทศชาติ แต่ทำฟรีก็ชักจะมีอารมณ์เหมือนกัน

ปชช.ฝากความหวังรบ.บิ๊กตู่

วันเดียวกัน “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศในหัวข้อ “รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์” กับ “รัฐบาลที่มาจากนักการเมือง” ในสายตาประชาชน ณ วันนี้ โดยมีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน 1,194 คน ระหว่างวันที่ 14-18 มี.ค. พบว่า ร้อยละ 53.27 เห็นว่าฝากความหวังกับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์มากกว่า เพราะเป็นรัฐบาลทหาร มีอำนาจเด็ดขาด ทำงานตรงไปตรงมา ทำงานตามโรดแม็ป เน้นปราบปรามทุจริต ร้อยละ 18.59 ไม่ฝากความหวังกับรัฐบาลทั้ง 2 แบบ เพราะต่างคำนึงถึงแต่อำนาจและผลประโยชน์ ร้อยละ 14.82 ฝากความหวังกับรัฐบาลที่มาจากนักการเมืองมากกว่า เพราะเป็นตัวแทนของประชาชน ใกล้ชิด รู้ปัญหา ตรวจสอบได้

ส่วนคำถามว่า ความสุขที่ได้จากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ร้อยละ 79.65 เห็นว่าเรื่องการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ยาเสพติด รองลงมาร้อยละ 76.13 เห็นว่าเรื่องบ้านเมืองสงบสุข ไม่มีความวุ่นวาย และร้อยละ 74.37 เห็นว่าเรื่องทำงานเด็ดขาด ตรงไปตรงมา ส่วนความทุกข์ ร้อยละ 80.15 เห็นว่าเรื่องเศรษฐกิจแย่ ข้าวของแพง ประชาชนลำบาก ร้อยละ 73.87 เรื่องตรวจสอบการทำงานได้ยาก และร้อยละ 64.57 เห็นว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

ต้องการคนซื่อสัตย์-โปร่งใส

ขณะที่ความสุขที่ได้จากรัฐบาลที่มาจากนักการเมือง ร้อยละ 70.85 เห็นว่าเรื่องเป็นประชาธิปไตย มีสิทธิเสรีภาพ ร้อยละ 65.08 เรื่องฟังเสียงประชาชน ใกล้ชิด และร้อยละ 61.31 เห็นว่าตรวจสอบการทำงาน วิพากษ์วิจารณ์ได้ ส่วนความทุกข์ร้อยละ 83.42 เห็นว่าเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น โกงกิน ไม่โปร่งใส ร้อยละ 81.66 เรื่องขาดคุณธรรม เห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ และร้อยละ 77.89 เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง แบ่งพรรคแบ่งพวก

ด้านศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” ร่วมกับคณะนิติศาสตร์และคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “จริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” สำรวจระหว่างวันที่ 16-17 มี.ค. จากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,250 หน่วยตัวอย่าง

เมื่อถามถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ควรมีมากที่สุด 5 อันดับแรก พบว่า ร้อยละ 53.04 ระบุว่า เป็นความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส รองลงมา ร้อยละ 11.12 ระบุว่า เป็นการไม่ใช้อำนาจ ตำแหน่ง หน้าที่ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเองหรือพวกพ้อง ร้อยละ 8.00 ระบุว่า เป็นการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี เคารพกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของบ้านเมือง ร้อยละ 7.36 ระบุว่า เป็นการเอาใจใส่ และความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติ ร้อยละ 7.04 ระบุว่า เป็นการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาประเทศชาติอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกปฏิบัติ หรือแบ่งแยก

ให้คะแนนจริยธรรม 3 สาย 6.23

ขณะที่ภาพรวมคะแนนจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ครม. สนช. สปท.) ในภาพรวม คะแนนเต็ม 10 พบว่า ค่าเฉลี่ยคะแนนจริยธรรมเท่ากับ 6.23 คะแนน

ทั้งนี้ เมื่อถามถึงการตัดสินใจของประชาชนหากต้องเลือกระหว่าง “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เก่ง มีผลงาน แต่ไม่มีจริยธรรม” กับ “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีจริยธรรม แต่ไม่เก่ง มีผลงานน้อย” พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 72.16 ระบุว่า จะเลือกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีจริยธรรม แต่ไม่เก่ง มีผลงานน้อย ร้อยละ 16.64 ระบุว่า จะเลือกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เก่ง มีผลงาน แต่ไม่มีจริยธรรม

เมื่อถามถึงความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำเพื่อให้ประเทศไทยมีแต่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ดี เก่ง มีผลงาน และมีจริยธรรม ร้อยละ 38.96 ระบุว่า ต้องมีบทลงโทษทางวินัยอย่างเคร่งครัด ร้อยละ 37.76 ระบุว่า ประชาชนต้องไม่ซื้อสิทธิขายเสียง ร้อยละ 29.68 ระบุว่า ควรมีหน่วยงานตรวจสอบคุณธรรม จริยธรรม และความประพฤติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ร้อยละ 29.04 ระบุว่า ควรมีระบบคัดกรองผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองน้ำดี มีคุณภาพ ร้อยละ 26.40 ระบุว่า ควรแก้ไขที่ระบบการศึกษาของไทย ร้อยละ 20.80 ระบุว่า ควรสร้างค่านิยมใหม่ๆ ปรับทัศนคติ ค่านิยมคนไทยบางกลุ่มที่ยึดติดกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ไม่มีจริยธรรม แต่เก่ง มีผลงานหรือทัศนคติที่ว่าโกงได้ แต่ขอให้ประเทศพัฒนา

คนส.จี้ศาลทบทวนบทบาท

เวลา 09.30 น. ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มธ. ศูนย์วิจัยและพัฒนากฎหมาย คณะนิติศาสตร์ ม.เชียงใหม่ เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตกฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มธ. จัดเสวนา หัวข้อ “คำพิพากษา” โดยนาง สุดสงวน สุธีสร หรืออาจารย์ตุ้ม คณะสังคม สงเคราะห์ศาสตร์ มธ. และน.ส.สรชา สันตติรัตน์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา เป็นผู้อภิปราย

จากนั้น คนส.ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับ “ความเห็นและข้อเรียกร้องเกี่ยวกับบทบาทของศาลยุติธรรมและสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานและคำพิพากษาของศาล” โดยเรียกร้องให้ศาลยุติธรรมได้พิจารณาทบทวนบทบาทในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา และขอให้ศาลใช้และตีความกฎหมายเพื่อตอบสนองต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน เฉกเช่นที่พึงเป็นในสังคมที่เป็นนิติรัฐทั้งหลาย เพื่อให้ศาลมีบทบาทเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนอย่างแท้จริง

เรียกร้องสิทธิประกันไผ่

ต่อมาเวลา 11.00 น. เสวนาหัวข้อ “สิทธิในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในคดี 112” โดยนางพริ้ม บุญภัทรรักษา แม่ของนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ (ไผ่ ดาวดิน พรรคสามัญชน) นักกิจกรรมฝ่ายประชาธิปไตย กล่าวว่า ไผ่ถูกถอนการประกันตัวเพราะถูกกล่าวหาว่าเยาะเย้ยอำนาจรัฐ และยังถูกพ่วงผิดมาตรา 112 เรารู้สึกว่าใช่หรือไม่ที่มาบอกว่ากลัวหลบหนี ทั้งที่มีผู้ค้ำประกันเป็นแพทย์ อาจารย์ เราพยายามทำทุกอย่างตามกฎหมาย จึงไม่เข้าใจว่าจะให้ประชาชนอย่างเราได้สิทธิขั้นพื้นฐานมาจากไหน

ด้านนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า อีก 3 วันไผ่จะ จำคุกครบ 3 เดือนแล้ว จะขึ้นศาลอีกครั้งในวันที่ 21 มี.ค. ที่ผ่านมายื่นขอประกันไป 7 ครั้ง แต่ไม่ได้รับอนุญาต เห็นว่าการให้ปล่อยตัวชั่วคราวจะต้องให้ทำได้โดยสะดวกแล้วรัฐค่อยไปหาทางควบคุมตัว เช่น ใส่กำไลติดตามตัว กักบริเวณ การไม่ให้ปล่อยตัวชั่วคราวทำให้ผู้บริสุทธิ์ติดอยู่ในคุกจำนวนมาก

น.ส.สาวตรี สุขศรี คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ และนักวิชาการคณะนิติราษฎร์ กล่าวว่า บุคคลต้องได้รับการสันนิษฐานว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ จนกว่าจะมีคำพิพากษาแล้วว่าเขากระทำผิด และจะปฏิบัติกับเขาอย่างผู้กระทำความผิดแล้วไม่ได้ และผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิ์ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งเป็นข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญ (รธน.) พ.ศ.2540, 50 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

“วัฒนา”ฝันผุดระบบลูกขุน

จากนั้นเป็นการเสวนาหัวข้อ “การตรวจสอบการใช้อำนาจของ คสช.” โดยนายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ถ้าตนชนะการเลือกตั้งสิ่งแรกที่จะทำคือ แก้กฎหมายละเมิดอำนาจศาลจำกัดเฉพาะเรื่องการควบคุมการพิจารณาคดีในศาล ศาลต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ ระดับที่สองต้องมีการตรวจสอบโดยตัวแทนของประชาชน ถ้ามีการตรวจสอบแบบนี้เชื่อว่าไม่มีองค์กรไหนกล้าทำผิดตามอำเภอใจ แต่ที่ผ่านมาผู้มีอำนาจ ไม่ได้มีการผลักดันในเรื่องนี้ ระดับที่สามองค์กรอิสระมีการตรวจสอบยาก ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเขียนว่าการกล่าวหาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ปฏิบัติหน้าที่โดย มิชอบ ต้องรวมสมาชิกให้ได้ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของ 2 สภา ทำให้ตรวจสอบได้ยาก จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมป.ป.ช.จึงใช้อำนาจตามอำเภอใจ เพราะไม่ถูกตรวจสอบ

“ถ้าชนะเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่ให้เราตั้งศาล แต่ตนจะตั้งระบบลูกขุน (Jury System) โดยมีประชาชนมาทำหน้าที่เป็นลูกขุน ถ้าประชาชนบอกผิด ศาลก็ต้องเข้าคุก และจะออกประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีพิเศษบางประเภท เช่น คดีที่มีการกล่าวหาว่าศาลทำผิดให้เข้าระบบไต่สวนโดยประชาชนชี้ว่าถูกหรือผิด เชื่อว่าถ้าทำแบบนี้องค์กรไหนก็ไม่กล้าใช้อำนาจตามอำเภอใจ” นายวัฒนากล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน