แม่ทัพภาคที่ 3 เห็นใจทหารที่จับตายเยาวชน “ลาหู่” นักกิจกรรม ยันไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ ยิงนัดเดียวสมเหตุสมผล ในการป้องกันตัว ขณะผู้ตายทำท่าขว้างระเบิด ลั่นถ้าเป็นตนเอง ณ เวลานั้นอาจกด “ออโต้” ได้ อีกทั้งยิงตรงแขน แต่กระสุนไปโดนจุดสำคัญ “บุญของน้องเขามีแค่นั้น” ครวญทหารทำงานตามหน้าที่ กลับตกเป็นคนร้าย แต่ย้ำให้ทำคดีอย่างเป็นธรรมทุกฝ่าย ส่วน “บิ๊กป้อม” ตั้งกก. 4 ฝ่าย ตร. แพทย์ อัยการ ฝ่ายปกครอง สอบข้อเท็จจริง ด้านประธานสภาเด็กฯ เชื่อทำรุนแรงเกินไป ไม่ควรจับตาย เตรียมแถลง การณ์จี้สอบอย่างโปร่งใส ชัดเจน เป็นธรรม

เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก กทม. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงคดีทหารจับตายนายชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ นักกิจกรรมทางสังคม โดยอ้างว่าหลบหนีการจับกุมคดียาเสพติด และจะขว้างระเบิดใส่เจ้าหน้าที่ว่า แนวทางการสอบสวนมีอยู่แล้ว จะตั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ประกอบด้วย ตำรวจ แพทย์ อัยการ และฝ่ายปกครอง ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ ยังไม่สามารถสรุปอะไรได้ ต้องรอขั้นตอนการสอบสวนให้เสร็จสิ้นก่อน เมื่อสอบสวนเสร็จแล้วทางคณะกรรมการจะชี้แจง

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ขอให้คณะกรรม การ 4 ฝ่าย ร่วมการทำงานแล้วจะออกมา บอกว่าอะไรถูกผิด ในส่วนของกองทัพบกได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมควบคู่กันไปด้วย เนื่องจากเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำเกินกว่าเหตุ ส่วนกรณีที่ระบุว่านายชัยภูมิเกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติดนั้น หากพบข้อมูลเชื่อมโยงทางคณะกรรมการจะเปิดเผยเอง

ผู้สื่อข่าวถามถึงการติดตั้งกล้องวงจรปิดในพื้นที่สีแดง และพื้นที่สุ่มเสี่ยงเกิดการวิสามัญฆาตกรรม พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่จะติดตั้งกล้องในพื้นที่สีแดง หรือพื้นที่สุ่มเสี่ยงแก่การวิสามัญฯ รวมถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยจะให้ทุกหน่วยงานรวมถึงภาคเอกชนมาร่วมติดกล้องวงจรปิดและไฟส่องสว่าง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้าย ตลอดจนสามารถติดตามตัวผู้กระทำผิดได้ ยืนยันว่าทหารไม่ใช้อำนาจข่มขู่พยาน และขอให้ทุกฝ่ายพูดตามข้อเท็จจริง

ต่อข้อถามว่าไม่มีบุคคลใดเข้ามาให้ข้อมูลความจริง เพราะเกรงกลัวอำนาจทหาร รองนายกฯ กล่าวว่า “ผมเป็นเจ้าของทหารยังกลัวพวกคุณเลย ไม่ต้องไปกลัวอะไรทั้งนั้น เรื่องข้อเท็จจริงก็ว่าไปตามนั้น ไม่ต้องห่วง” พล.อ. ประวิตรกล่าว

ที่ค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ จ.พิษณุโลก พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ 3 เปิดแถลงกรณีทหารวิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิว่า กองทัพภาคที่ 3 เสียใจต่อการเสียชีวิต แต่ในข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภาค 5 ชี้แจงว่านายชัยภูมิเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติดมาตั้งแต่เดือนม.ค.2560 มีการตามจับ มีหลักฐานชัดเจนการโอนเงิน การใช้จ่าย คิดหลักพื้นฐานเด็กคนหนึ่งที่ไม่ทำอะไรเลย ไม่มีอาชีพเป็นหลักแหล่ง การเคลื่อนไหวด้านสังคม ด้านเชื้อชาติเป็นสิ่งที่ดี แต่พลาดพลั้งเข้าไปในวงจรยาเสพติดได้อย่างไร อาจมีความจำเป็นทางการเงิน ทำให้หลงผิด

พล.ท.วิจักขฐ์กล่าวว่า การจับกุมที่ด่านในวันเกิดเหตุจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดเป็นการจับกุมตามปกติ ทหารไม่ถืออาวุธใดๆ เลยในตอนแรก นอกจากชุดหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ถืออาวุธเวลาเข้ายามตามปกติ เป็นการตรวจค้นรถกันธรรมดา จนขัดขืนจึงจับอาวุธขึ้นมา เราก็เข้าไปดูแลเยียวยาครอบครัวเขาเท่าที่ทำได้ในฐานะคนไทยด้วยกัน ส่วนคดีความก็ว่าไปตามหลักฐานข้อเท็จจริง ไม่ให้ร้ายซึ่งกันและกัน ยิ่งช่วงนี้เน้นด้านการปรองดอง

“ทหารเดินไปสอบถาม เพราะมีรถเข้ามาเพียงคันเดียว เลยเข้าไปสอบถาม แหล่งซ่อนยาเสพติดไม่มาก ถ้าไม่มีการดัดแปลงขั้นเทพ เด็ก (นายพงศนัย แสงตะล้า ที่ถูกจับกุม) ไม่วิ่ง เพราะเด็กไม่รู้ว่ามียาซุกซ่อน เด็ก (นายชัยภูมิ) ที่วิ่งหนีถึงต่อสู้ เพราะรู้ว่ามียาเสพติดซุกซ่อนอยู่กระโปรงหลัง ในล้อยางรถยนต์ และซอกลำโพงด้านข้าง ส่วนระเบิดที่ใช้หาง่ายทางแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ข้ามแดนได้ทุกช่องทาง หน่วยนี้ระมัดระวังในการทำงาน มีการติวเข้ม หัวหน้าหน่วยฝึกอบรมทบทวน ทำงานดี เขาฝึกลูกน้องดีมาก”

“ปกติการตัดสินใจของน้องพลทหารเขายิงเพียงนัดเดียว ขณะที่เขาทำท่าขว้างระเบิด ถ้าเป็นผม ณ เวลานั้นอาจกดออโต้ได้ เขาตั้งใจทำงาน เขามาช่วยทำงานในพื้นที่ ต้องให้กำลังใจเขา เขาทำงานดี ทำงานตามหน้าที่ แต่กลับตกเป็นคนร้าย ต่อไปทหารจะไม่กล้าปะทะ การยิงนัดเดียวก็สมเหตุสมผลในการป้องกันตนเอง ยิงตรงแขน แต่กระสุนชิงไปโดนจุดสำคัญ อันนี้ก็เป็นที่บุญของน้องเขา มีแค่นั้น ผมได้เน้นย้ำทำคดีแบบเป็นธรรมกับทุกฝ่าย กองทัพภาคที่ 3 เราวางตัวเป็นกลาง สอบข้อเท็จจริงลูกน้อง ตำรวจที่ทำคดีสอบ ให้ได้ข้อมูลที่เป็นกลาง เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง” แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าว

แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวต่อว่า เมื่อตรวจสอบย้อนหลังก็ยืนยันว่าทหารไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ ให้ตำรวจทำคดี เพราะเป็นคนกลาง ถ้าทำคดีเองก็เอนเอียงเข้าข้างลูกน้องเอากล้องวงจรปิด มีนิติวิทยาศาสตร์ ตรวจสอบลายนิ้วมือแฝง สอบปากคำทุกคนอย่างละเอียด ให้ทุกหน่วยงานตรวจสอบอย่างเป็นธรรม บันทึกจับกุมเมื่อม.ค.พบบัญชีธนาคาร บัญชีผู้ต้องขังที่นายชัยภูมิส่งรับยาต่อจากเขา เป็นหลักฐานสำคัญทางคดี

ด้านนายณรงค์ ฟับประโคน ประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าวถึงนายชัยภูมิว่ารู้สึกใจหาย มองว่ารุนแรงเกินไปสำหรับเด็กคนหนึ่งที่ถูกยิง เป็นเหตุการณ์น่าสลด ตั้งคำถามว่าใช้อำนาจเกินไปหรือเปล่า เพราะสามารถจับเป็นได้ก่อน ไม่ควรจับตาย สภาเด็กฯ กำลังคุยกับเครือข่ายน้องๆ กลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อออกแถลงการณ์ในเร็วๆ นี้ เบื้องต้นขอเรียกร้องให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างโปร่งใส ชัดเจน และเป็นธรรมต่อทั้ง 2 ฝ่าย

ประธานสภาเด็กฯ กล่าวต่อว่า เคยร่วมงานกับนายชัยภูมิ 2-3 ครั้งที่ จ.ตาก และ จ.เชียงราย ถือเป็นผู้นำทุกเรื่องของเด็ก และเยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์ ตั้งแต่การแสดง ความเห็น การจัดงาน การริเริ่มโครงการต่างๆ ให้เยาวชน จากการทำงานร่วมกันเห็นว่านายชัยภูมิเป็นคนดี เรียบร้อย ส่วนตัวยังเชื่อว่าไม่น่าจะทำอะไรอย่างนั้น ไม่เคยมีพฤติกรรมใช้ความรุนแรง แต่อ่อนน้อมถ่อมตน นิ่ง เรียบร้อย ไม่เคยเห็นสูบบุหรี่ กินเหล้าเลย เห็นแต่ทำกิจกรรมอย่างเดียว เวลามีงานเกี่ยวกับชาติพันธุ์จะมาร่วมงานตลอด

“เขาไม่เคยบ่นรัฐว่าทำไมไม่เคยให้อะไร แต่เขาพยายามสะท้อนว่ายากลำบากอย่างไรกับสถานะไร้สัญชาติ แต่เขาก็จะทำเรื่องขอสัญชาติต่อไป ผมยังเคยฟังเพลงจงภูมิใจ ที่น้องชัยภูมิแต่ง เนื้อหาระบุถึงความภูมิใจกับการเป็นคนไร้สัญชาติ ที่คนไร้สัญชาติไม่ใช่คนที่ไร้ตัวตน ไม่ใช่คนที่ไร้โอกาส ถึงไม่มีสัญชาติแต่เราก็ยังมีลมหายใจ มีชีวิต มีความฝัน” ประธานสภาเด็กฯ กล่าว

วันเดียวกัน นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชน โพสต์เฟซบุ๊กว่า กรณีวิสามัญฆาตกรรมจะอุ๊ หรือนายชัยภูมิ ได้เห็นปรากฏการณ์ที่คนมากมายเรียกร้องความเป็นธรรมให้เขา ก็ได้แต่หวังว่าความยุติธรรมจะมีจริง การใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่จำต้องได้สัดส่วนกับการกระทำผิด และด้วยเหตุจำเป็นอย่างยิ่งยวดเท่านั้น ยังไม่ทราบข่าวเพื่อนของจะอุ๊ที่ถูกจับ และจะเป็นพยานสำคัญในคดี แต่หวังว่าจะได้รับสิทธิตามกระบวนการยุติธรรม สิทธิที่จะได้พบทนายและญาติ สิทธิที่จะไม่ให้การโดยไม่สมัครใจ เยาวชนอีกคนที่น่าเป็นห่วงมากเวลานี้ คือเพื่อนรุ่นพี่ที่ดูแลจะอุ๊ และเป็นคนเปิดเผยเรื่องราว ทราบว่ากำลังหวาดกลัวอย่างมาก

ขณะเดียวกัน พล.ต.สมพงษ์ แจ้งจำรัส รองแม่ทัพภาคที่ 3 พร้อมคณะเดินทางไปยังด่านตรวจบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ จุดเกิดเหตุวิสามัญฯ นายชัยภูมิ โดย พล.ต.สมพงษ์เดินตรวจบริเวณหลังป้อมตำรวจร้าง จุดวิสามัญฯ พบกองเลือดแห้งปรากฏอยู่

พล.ต.สมพงษ์กล่าวว่า เดินทางมาสอบสวน และดูพื้นที่จริง เพื่อสอบสวนจากปากคำด้วยตนเอง และรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ นำกลับไปพิจารณา ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ต้องขอเวลาตรวจสอบอย่างละเอียด เพราะเหรียญมี 2 ด้าน ความจริงต่างๆ จะได้รับการเปิดเผยเร็วๆ นี้

ส่วน พล.ต.ต.ภาณุเดช บุญเรือง รอง ผบช.ภาค 5 กล่าวว่า ตำรวจเคยจับกุมชาวเขาเพื่อนนายชัยภูมิลักลอบค้ายาบ้ารายย่อย และให้การซัดทอดนายชัยภูมิ และตำรวจล่อซื้อยาบ้าจากนายชัยภูมิ โดยนำเงินลงบันทึกประจำวันไว้ และโอนเงิน 4,000 บาทเข้าบัญชีนายชัยภูมิ เพื่อให้นำยาบ้ามาส่ง 400 เม็ด นายชัยภูมิมาส่งด้วยตัวเอง แต่ไหวตัวทันซิ่งรถหลบหนีไปได้ นายชัยภูมิที่ทุกคนมองว่าเป็นเด็กนักเคลื่อนไหว นักต่อต้าน นั่นคือหน้าฉาก แต่เส้นทางการเงินกลับเกินเด็ก

“ทุกอาทิตย์จะโอนเงินครั้งละหลักพันบาท สูงสุด 80,000 บาท อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ตลอดเรื่อยมาเกือบปี การเคลื่อนไหวนี้เป็นเหตุให้ต้องสงสัยมากแล้ว ชีวิตประจำวันของชัยภูมิเลี้ยงดูเพื่อนฝูง ใช้จ่ายเงินมือเติบเกินเด็กที่เรียน ม.4 พ่อเสียชีวิต แม่ป่วยทางจิต ทางตำรวจทำงานกันอย่างลับๆ จนพบว่านายชัยภูมิถูก วิสามัญฯ คดีก็จบ” พล.ต.ต.ภาณุเดชกล่าว

รอง ผบช.ภาค 5 กล่าวต่อว่า สำหรับรถของนายชัยภูมิทราบว่าเป็นของนางแสงหล้า แม่ค้ายาเสพติดรายใหญ่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ที่หลบหนีการจับกุม นายชัยภูมิก็นำรถมาใช้ และก็ไปต่อภาษีเมื่อปีก่อน ทำประกันบุคคลที่ 3 ผู้เอาประกันเป็นภรรยาของพ่อค้ายาบ้าชื่อดังที่ถูกตำรวจจับกุมมาแล้ว 4 ครั้ง พฤติกรรมส่วนตัวของนายชัยภูมิวนเวียนใกล้ชิดกับกลุ่มบุคคลเหล่านี้ ชอบเดินทางจากพื้นที่สีแดงมาในตัวเมือง แวะตามอำเภอรอบนอกเป็นประจำทุกวัน เด็กเรียน ม.4 ไม่น่ามีพฤติกรรมเคลื่อนไหวแบบนี้ ข้อมูลตรงนี้ทางตำรวจกำลังขยายผล แต่ก็มาถูกวิสามัญฯ

ด้านนายสุมิตรชัย หัตถสาร ทนายความจากศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น ที่ส่งทีมทนายลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวว่า ขั้นตอนหลังจากนี้ต้องรอให้อัยการสรุปราย งานชันสูตรพลิกศพจากทุกฝ่าย ก่อนยื่นคำร้องขอไต่สวนการชันสูตรต่อศาลตามมาตรา 150 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เราจะใช้ข้อมูลจากการลงพื้นที่สอบพยานหลักฐาน และตรวจสอบที่เกิดเหตุ ซักค้านข้อมูลฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ โดยทีมทนายมีข้อมูลหลายเรื่องที่ไม่ตรงกับข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและทหารกล่าวอ้าง หลังจากนี้ต้องรอคำตัดสินจากศาลว่าจะออกมาอย่างไร ถ้าชี้ว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ หรือไม่เป็นไปเพื่อป้องกันตัวก็จะกลายเป็นคดีฆ่าคนตายทันที

นายสุมิตรชัยกล่าวต่อว่า ส่วนชาวบ้านที่สามารถให้ข้อมูลในเรื่องนี้ได้ต่างอยู่ในอาการหวาดกลัวว่าจะถูกคุกคามหากให้ข้อมูลที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่รัฐ สถานการณ์ในพื้นที่ขณะนี้ค่อนข้างยากในการสืบหาข้อมูล แต่เราได้พยานและหลักฐานที่จะใช้ ในการต่อสู้ทางคดีที่มีประโยชน์ต่อการต่อสู้ทางชั้นศาล ถ้าจะพูดถึงข้อสังเกตในเรื่องนี้มีอยู่ว่าวันนั้นนายชัยภูมิใส่กางเกงขาสั้น แล้วจะมีความสมเหตุสมผลหรือไม่ที่เขาจะพกระเบิด ซึ่งมีอีกหลายเรื่องที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องอธิบาย มากกว่าจะบอกว่าผู้ตายมีระเบิด แล้วพยายามขว้างเข้าใส่เจ้าหน้าที่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน