“บิ๊กตู่”โชว์รูปเซลฟี่นั่งรถเบนซ์คาดเบลต์ ฉุนคนสงสัยนั่งสองแถวต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ไม่มีสมองคิด ยันไม่มีมาตรการเพิ่มป้องกันอุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ จันทร์นี้ลงพื้นที่นครพนมติดตามความคืบหน้าโครงการรัฐบาล-ไหว้พระธาตุพนม ด้านทักษิณยัวะส่งทนายแจ้งความดำเนินคดี”สนธิญาณ-คู่หู” จัดรายการทีวีกล่าวหาอยู่เบื้องหลังเครือข่าย โกตี๋-ล้มสถาบัน ขณะเดียวกันทหารก็ส่ง 9 ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมให้ตำรวจดำเนินคดี แต่ปรากฏหลักฐานปืนเอ็ม16 ที่ค้นพบเป็น กระบอกที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปี 2553 อ้างโยงอดีตรมต.ที่ลี้ภัยต่างประเทศ ป.ป.ช.ชี้มูลจุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการททท.ร่ำรวยผิดปกติประสานอสส.ตามยึดทรัพย์ 65 ล้านที่ซุกไว้ในต่างประเทศ

ไก่อูยันรบ.ไม่หวั่นไหวหาจัดฉาก

เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 24 มี.ค. พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งข่าวผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ของกลุ่มผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ระบุถึงกรณีหนังสือพิมพ์นำเสนอบทความว่ารัฐบาลและ คสช.หวั่นไหวกับข้อกล่าวหาเรื่องการจัดฉากในการเข้าตรวจค้นบ้านพักเครือข่ายของนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ ว่า รัฐบาลและ คสช.ไม่รู้สึกหวั่นไหวหรือหวาดหวั่นกับข้อกล่าวหาของนายโกตี๋หรือ ผู้ใดทั้งสิ้น

“ในทางตรงกันข้ามรัฐบาลและ คสช.ทราบดีว่าทุกครั้งที่เจ้าหน้าที่จะปฏิบัติการเข้าตรวจค้น ยึด หรือสืบหาพยานหลักฐานในคดีต่างๆ มักมีคำพูดหรือข้อเขียนของผู้กระทำผิด ผู้เสียประโยชน์ หรือผู้ไม่หวังดีบางกลุ่ม ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างบิดเบือน สร้างความสับสน เพื่อให้ตนเองดูดีในสายตาของสังคม ดังนั้น หน่วยงานรัฐจึงจำเป็นต้องชี้แจงข้อเท็จจริงให้ประชาชนรับทราบ ไม่ใช่การหวั่นไหวหรือร้อนตัว ยืนยันอีกครั้งว่าทุกอย่างเป็นไปตามสิ่งที่ปรากฏต่อสาธารณชน ทั้งภาพข่าว คลิปเสียง และคำให้การของผู้เกี่ยวข้อง” พล.ท.สรรเสริญกล่าว

“บิ๊กตู่”โชว์รูปเซลฟี่คาดเข็มขัด

โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลและ คสช.ยึดมั่นในกฎหมาย และดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีสิ่งใดแอบแฝง จึงอยากให้ประชาชนเข้าใจเจตนารมณ์ที่แท้จริง ขอเรียกร้องให้นายโกตี๋กลับมามอบตัว ส่วนผู้ที่แสดงความคิดเห็นไม่ตรงกับข้อเท็จจริงก็ควรพิจารณาบทบาทของตนเอง และร่วมรับผิดชอบต่อสังคมด้วย เพราะถือเป็นการขยายความคิดสร้างความขัดแย้ง และเป็นอุปสรรคต่อการสร้างสามัคคีปรองดองภายใต้หลักนิติธรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่พล.ท. สรรเสริญรับตำแหน่งรักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์แล้ว มักให้ข่าวผ่านแอพ พลิเคชั่นไลน์ ยกเว้นช่วงบ่ายของวันอังคารหลังประชุม ครม.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเผยแพร่ภาพของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เซลฟี่ตัวเองขณะคาดเข็มขัดนิรภัยโชว์ ระหว่างนั่งรถยนต์คันหนึ่ง เพื่อรณรงค์การคาดเข็มขัดนิรภัย ก่อนคำสั่งมาตรา 44 มีผลบังคับใช้เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนในช่วงเทศกาลวันหยุดสงกรานต์และ วันปกติทั่วไป พร้อมระบุข้อความ “นายกฯ ลุงตู่ อยากให้ทุกคนเดินทางปลอดภัย #คาดเข็มขัดด้วยนะจ๊ะ# ลุงตู่ก็คาดเข็มขัดนะจ๊ะ# ม.44 ซึ่งทั้งหมดเพื่อเป็นแบบอย่างในการขับขี่ปลอดภัย โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้”

โวยใครจะให้คาดบนรถ 2 แถว

เวลา 14.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงมาตรการคุมเข้มการขับขี่พาหนะเพื่อป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า ต้องการลดอุบัติเหตุอยากให้ทุกคนใช้จิตสำนึกและความรับผิดชอบขอให้นึกถึงชีวิตเป็นของมีค่า รัฐบาลไม่ได้ต้องการบังคับใช้กฎหมายมากมาย แต่เนื่องจากมีความจำเป็นและถูกเรียกร้องจากหลายทางให้ต้องแก้ไขปัญหา ถามว่ากฎหมายปกติที่มีอยู่ทุกวันนี้สามารถใช้ได้อย่างครอบคลุมหรือไม่ คำตอบคือใช้ได้ไม่หมด เพราะอยู่ที่คนใช้

ผู้สื่อข่าวถามถึงการใช้มาตรา 44 ให้ผู้โดยสารรถโดยสารสาธารณะคาดเข็มขัดนิรภัย ทั้งรถตู้ รถสองแถว และรถสาธารณะอื่นๆ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ในประกาศมีข้อยกเว้นอยู่ ใครจะบ้าให้รัดเข็มขัดในรถสองแถว สมองขอให้คิดบ้าง

เมื่อถามว่ายังมีข้อเรียกร้องให้ลดการเป่าแอลกอฮอล์จาก 50 เหลือ 30 มิลลิกรัม รวมถึงการยกเลิกใบอนุญาตขายสุราชั่วคราวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เอาให้สะใจ แล้วก็ชอบ แล้วก็โวยวายกัน อยากให้สื่อสร้างความเข้าใจทั้งสองฝั่งว่าจะปรับกันอย่างไร ไม่ใช่ให้รัฐใช้กฎหมายที่เข้มข้นไปเรื่อยๆ และอีกฝ่ายก็ไม่ยอมไม่ปฏิบัติตาม กฎหมายก็ไม่เป็นผล วันนี้ในระยะแรกได้ออกกฎหมายมาแบบปีก่อน ซึ่งถ้าแรงเกินไปก็ไม่เหมาะสม จนกว่าทุกคนจะปรับตัวได้ เพราะถ้าเกิดใช้กฎหมายแรงแล้วปฏิบัติไม่ได้ กฎหมายจะเสียหายแล้วจะทำไปทำไม หลายอย่างทั้งเรื่องจราจร ภาษี ต้องใช้เวลาในการปรับตัวและให้เวลาทุกคนในการปรับตัว แต่เมื่อทำแล้วจะต้องดีกว่าเดิม เพราะแต่เดิมทุกคนอยู่อย่างสบายแล้วกลับมาโทษผู้ที่เกี่ยวข้องเมื่อเกิดเหตุ ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยรับผิดชอบตัวเองบ้าง

เปิดให้ถ่ายรูปคาดเข็มขัดในรถ

เมื่อถามย้ำว่าก่อนช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีมาตรการคุมเข้มออกมาอีกหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีแล้ว พอแล้ว คงต้องไปขอยมบาล

ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับว่าภาพถ่ายคาดเข็มขัดนิรภัยขณะนั่งรถที่เผยแพร่บนโซเชี่ยลมีเดียเป็นรูปที่ถ่ายเอง โดยระบุว่า “ก็รูปไม่เห็นหรือไง ก็ฉันถ่ายเอง ทำไมต้องหลอกด้วย ก็แค่คาดเข็มขัด ถ้าไม่ชัดเดี๋ยวจะถ่ายให้ใหม่”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 16.05 น. ระหว่างที่พล.อ.ประยุทธ์เดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลเพื่อกลับบ้านพักได้เปิดกระจกเพื่อโชว์ให้ผู้สื่อข่าวและช่างภาพบันทึกภาพในขณะที่คาดเข็มขัดนิรภัยในระหว่างการนั่งรถยนต์ ก่อนที่จะมีการประกาศใช้คำสั่งมาตรา 44 ซึ่งถือเป็นการรณรงค์ให้ผู้ที่ใช้รถใช้ถนนระมัดระวังอุบัติเหตุด้วยการคาดเข็มขัดนิรภัย โดยเฉพาะในช่วงที่ใกล้เทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึง

วัฒนายุทักษิณฟ้องสำนักข่าว

นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.พาณิชย์ และแกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า อยากให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มอบอำนาจให้ทนายความไปแจ้งความดำเนินคดีกับสำนักข่าวแห่งหนึ่งที่กล่าวหาว่านายทักษิณว่าอยู่เบื้องหลังนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำเสื้อแดงปทุมธานี ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าของอาวุธสงครามและอยู่ในขบวนการล้มเจ้า ซึ่งไม่เป็นความจริง แม้นายทักษิณและพวกตนจะไม่ชอบเผด็จการ แต่ไม่เคยมีความคิดใช้ความรุนแรง ส่วนเรื่องล้มเจ้าไม่เคยอยู่ในความ คิดด้วย

นายวัฒนากล่าวต่อว่าระยะนี้นายทักษิณ งานเข้ามากเป็นพิเศษ อาทิ การเก็บภาษีการซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และการจับกุมอาวุธที่อ้างว่าเป็นของนายโกตี๋ ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้ถูกโยงมาที่นายทักษิณ ทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และวางเฉยมานานเพราะต้องการให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้

ทนายรุกแจ้งจับ”สนธิญาณ”

วันเดียวกัน นายชุมสาย ศรียาภัย ทนาย ความผู้ได้รับมอบอำนาจจาก ดร.ทักษิณ พร้อมหลักฐานเดินทางเข้าแจ้งความที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือบก.ปอท. เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรมหรือนายสนธิญาณ หนูแก้ว และนายยุคล วิเศษสังข์ ผู้ดำเนินรายการทางสถานีโทรทัศน์ไบรท์ทีวี ในความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท ด้วยการโฆษณา เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์โดยมีเนื้อหาพาดพิงถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ มีเจตนาจงใจให้สังคมเข้าใจผิด ว่า ดร.ทักษิณ ให้การสนับสนุนหรืออยู่เบื้องหลังนายวุฒิพงศ์ ซึ่งสร้างความเสื่อมเสียให้กับอดีตนายกรัฐมนตรี

นายชุมสายระบุด้วยว่าตนได้มอบหลักฐาน เป็นซีดีภาพและเสียง การใส่ร้ายกล่าวหา ดร.ทักษิณ ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง นำไปเป็นพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลทั้งสองต่อไป นายชุมสายระบุเพิ่มเติมด้วยว่า จากนี้หากมีการกระทำความผิด และปรากฏหลักฐานชัดเจน มีลักษณะเข้าข่าย เช่นเดียวกับนายสนธิญาณ และนายยุคล ก็จะดำเนินคดีเพิ่มเติม สำหรับการกระทำความผิดดังกล่าวมีโทษทางอาญา จำคุกตั้งแต่ 2 ถึง 10 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าทนายความได้นำเทปบันทึกรายการ “ยุคลถามตรง สนธิญาณฟันธงตอบ” ออกอากาศเมื่อวันที่ 23 มี.ค. เนื้อหาประมาณ 30 นาที และเอกสารที่ได้ถอดเทปมาแล้วให้พนักงานสอบสวนเป็นหลักฐานด้วย

ส่งตัว 9 ผู้ต้องหาเครือข่ายโกตี๋

จากกรณีทหารและตำรวจเข้าตรวจยึดอาวุธรวม 9 จุด ในเครือข่ายของนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ โดยค้นพบอาวุธสงครามชนิดต่างๆ จำนวนมาก พร้อมควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้ได้ทั้งหมดรวม 9 ราย ต่อมาศาลได้ออกหมายจับโกตี๋และผู้ต้องหาทั้งหมด ในข้อหาร่วมกันครอบครองอาวุธสงคราม ตามที่เป็นข่าวไปก่อนหน้านี้

เมื่อเวลา 10.40 น.วันเดียวกัน ที่กองปราบปราม พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าส่วนปฏิบัติการด้านกฎหมาย คสช. พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ เสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชาฝ่ายกฎหมาย คสช. ได้ควบคุมตัว 9 ผู้ต้องหาที่อยู่ในเครือข่ายโกตี๋ ประกอบด้วย นายธีรชัย อุตรวิเชียร หรือระพิน อายุ 55 ปี นายประเทือง อ่อนละมูล อายุ 58 ปี นางปาลิดา เรืองสุวรรณ อายุ 62 ปี นายทศพล เกษโกศล อายุ 25 ปี จ.ส.อ.ธนโชติ วงศ์จันทร์ชมภู อายุ 57 ปี ว่าที่ ร.ต.สุริยฉัตร ฉัตรพิทักษ์กุล อายุ 49 ปี น.ส.เอมอร วัดแก้ว อายุ 44 ปี นายวันไชยชนะ ครุฑไชยันต์ อายุ 56 ปี นายอุดมชัย นพสวัสดิ์ หรือแสนรัก อายุ 60 ปี พร้อมนำของกลางต่างๆ ที่ยึดได้จากการเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย มาส่งมอบให้พนักงานสอบสวน บก.ป. โดยมีพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.ส.4 พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก.ป. พ.ต.อ. สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบก.ป. และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่มารอรับตัวผู้ต้องหาด้วย

ส่งต่อให้ดีเอสไอดำเนินคดีต่อ

ทั้งนี้ มีรายงานการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ผู้ต้องหาบางรายรับสารภาพว่า เคยนำอาวุธของกลางไปก่อเหตุในช่วงการชุมนุม ปี 2553 และยอมรับว่านายโกตี๋ นำอาวุธมาฝากเอาไว้ในโกดัง โดยหลังปี 2553 กลุ่มผู้ต้องหานัดประชุมวางแผนหลายครั้ง ก่อนก่อเหตุทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯและใกล้เคียง รวมทั้งยอมรับว่ามีการประชุมเพื่อเตรียมก่อเหตุในพื้นที่วัดพระธรรมกาย ขณะเจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าตรวจค้นอีกด้วย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่เจ้าหน้าที่สืบทราบว่ากลุ่มดังกล่าวพยายามสร้างความปั่นป่วน และปลุกปั่นขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกาย

ภายหลังจากรับตัวแล้ว เจ้าหน้าที่ได้ส่ง ผู้ต้องหาทั้ง 9 คน ให้แพทย์ของร.พ.ตำรวจ ตรวจร่างกาย ทำประวัติ พิมพ์ลายนิ้วมือ ก่อนนำตัวส่งให้กับเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อสอบปากคำประกอบสำนวน เนื่องจากเมื่อวันที่ 23 มี.ค. พนักงานสอบสวนบก.ป.ได้ส่งสำนวนในคดีดังกล่าวทั้งหมดให้กับดีเอสไอไปแล้ว เนื่องจากเป็นคดีเกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์ชุมนุมปี 2553 ซึ่งเป็นอำนาจของดีเอสไอดำเนินคดี

ศรีวราห์ระบุมีอีก 4 คนหลบหนี

พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า นอกจาก ผู้ต้องหาทั้ง 9 คนที่ถูกจับกุมแล้ว ยังเหลือ ผู้ต้องหาอีก 4 คนรวมถึงนายโกตี๋ด้วย ที่อยู่ระหว่างหลบหนี ขณะนี้ได้ออกหมายจับทั้ง 4 คน ในข้อหาร่วมกันครอบครองอาวุธสงคราม และเครื่องกระสุน ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกให้ได้, มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง ไว้แล้วด้วย

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกตร. เปิดเผยถึงการดำเนินคดีกับขบวนการลักลอบสะสมอาวุธสงคราม เครือข่ายของนายวุฒิพงศ์ว่า พนักงานสอบสวนเร่งติดตามตัวนายวุฒิพงศ์อย่างต่อเนื่อง โดยการข่าวมีข้อมูลว่านายวุฒิพงศ์ หลบหนีอยู่ภายในประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนประเทศเพื่อนบ้านจะมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่นั้น ไม่เป็นกังวล เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีวิธีติดตามตัวอยู่แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานประกอบสำนวนของพนักงานสอบสวน

ระบุปืนเอ็ม 16 โยงเหตุการณ์ปี 53

ด้านพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวกรณีเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเข้าตรวจยึดอาวุธปืนสงครามของเครือข่ายนายวุฒิพงศ์ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ามีอาวุธปืน 1 กระบอก ที่ตรงกับบัญชีทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายหายไปเมื่อปี 2553 ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 และเป็นสำนวนคดีที่ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษอยู่แล้ว ดังนั้น จึงมอบหมายให้พ.ต.ท.ยุทธนา แพรดำ ผู้เชี่ยวชาญ คดีพิเศษ เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนคดีก่อ การร้ายในกลุ่มผู้ต้องหาที่กระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์ของเจ้าหน้าที่ทหารนั้น เป็นผู้เดินทางไปรับมอบสำนวน พร้อมผู้ต้องหาทั้ง 9 คน จากกองบังคับการปราบปราม เพื่อนำตัวมาควบคุมที่ดีเอสไอและสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า อาวุธปืนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบพบในของกลางที่สามารถตรวจยึดได้ขณะเข้าตรวจค้นเครือข่ายของนายวุฒิพงศ์นั้น เป็นปืนเอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก ซึ่งเป็นปืนที่หายไปขณะเจ้าหน้าที่ทหารปฏิบัติหน้าที่ในปี 2553 บริเวณราชปรารภ

อ้างอดีตรมต.โยงโกดังอาวุธ

ด้านนายธีรชัย อุตรวิเชียร หรือระพิน ผู้ต้องหา กล่าวว่า เข้ามาทำงานกับนายโกตี๋ เมื่อปี 2556 มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานช่าง ดูแลวิทยุ อุปกรณ์เครื่องเสียงที่ใช้ออกอากาศสถานีวิทยุคนเสื้อแดงเรดการ์ดเรดิโอเท่านั้น ส่วนอาวุธปืนของกลางทั้งหมดเป็นอาวุธปืนที่นายโกตี๋ รับบริจาคเงินจากชาวบ้านแล้วนำไปซื้อมา ไม่ทราบว่าซื้อมาจากที่ไหน เท่าที่ทราบอาวุธปืนเหล่านี้เคยถูกนำไปใช้ก่อเหตุเพียง 2 ครั้ง คือกรณีการชุมนุมที่เวทีอนุสรณ์สถาน ดอนเมือง เพื่อใช้สำหรับป้องกันเหตุ ส่วนครั้งที่ 2 บริเวณแยกหลักสี่ ในระหว่างที่มีการปะทะกับกลุ่มกปปส. มีพุทธะอิสระเป็นแกนนำเวทีดังกล่าว แต่หลังคสช.กระทำการรัฐประหาร นายโกตี๋กำชับกับตนให้นำอาวุธปืนและอุปกรณ์ทุกอย่างที่สถานีวิทยุคนเสื้อแดงเรดการ์ดเรดิโอ จ.ปทุมธานี มาเก็บไว้ที่บ้านของตน พร้อมทั้งให้ดูแลรักษาไว้อย่างดี หลังจากนั้นไม่เคยนำอาวุธปืนทั้งหมดออก มาใช้

นายธีรชัยกล่าวอีกว่า เคยเดินทางไปพบกับนายโกตี๋ที่ประเทศลาวประมาณ 3 ครั้ง ครั้งล่าสุดเดินทางไปเมื่อเดือนก.พ.เรื่องที่เคยพูดคุยกันนั้นเป็นการสอบถามว่าจะมีแนวทางที่จะต่อต้านรัฐบาลอย่างไร นายโกตี๋บอกว่ามีผู้ใหญ่ระบุว่ามีอาวุธอยู่ 2 ตู้คอนเทนเนอร์ แต่นาย โกตี๋ก็ไม่เคยเห็นอาวุธในตู้คอนเทนเนอร์ ดังกล่าว ส่วนผู้ใหญ่ที่นายโกตี๋กล่าวอ้างนั้นน่าจะเป็นอดีตรัฐมนตรีคนหนึ่งซึ่งปัจจุบันลี้ภัยในต่างประเทศและตนเคยพูดคุยทางโทรศัพท์กับอดีตรัฐมนตรีคนดังกล่าวด้วย

“ผมยืนยันว่าทุกครั้งที่ไปพบกับนายโกตี๋ ไม่มีคำสั่งให้กลับมาก่อเหตุความวุ่นวายใดๆ และเชื่อว่าลำพังนายโกตี๋ ไม่มีศักยภาพเพียงพอจะก่อเหตุได้ ส่วนการขู่ลอบสังหารผู้นำประเทศนั้นมีการขู่จริง” นายธีรชัยกล่าวและว่า ทราบดีว่าการที่มีอาวุธปืนอยู่ในความครอบครองนั้นผิดกฎหมาย แต่นายโกตี๋กับตนเป็นเพื่อนกัน และนายโกตี๋กำชับว่าให้เก็บอาวุธปืนไว้ จึงไม่ได้มอบให้กับทางการตั้งแต่ช่วงที่ คสช.มีคำสั่งออกมา

อีกรายโดนหมายจับคดีมาตรา 112

ด้านนายวันไชยชนะ ครุฑไชยันต์ กล่าวว่า อาวุธปืนที่อยู่ในความครอบครองของตนนั้น เป็นปืนบีบีกัน ส่วนอาวุธปืนสั้นและปืนยาว 2 กระบอกนั้นเป็นของภรรยาตน ซึ่งมีทะเบียนครอบครองถูกต้อง ตนมีบ้านพักอยู่ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่จะเดินทางมาหานายธีรชัย เพื่อพูดคุยหารือกันเรื่องการเมือง และแนะนำตัวกับกลุ่มคนที่มีความคิดเห็นคล้ายกัน แต่ในวงสนทนาที่ผ่านมา ไม่เคยพูดคุยเกี่ยวกับการเข้าไปสร้างความวุ่นวายกรณีใดๆ รวมทั้งกรณีวัดพระธรรมกายที่ต่อต้านเจ้าหน้าที่ และแนวทางของตนก็ไม่นิยมความรุนแรง ส่วนที่เคยเห็นตนปรากฏตัวที่หน้าวัดพระธรรมกาย เป็นเพียงการติดรถของคนที่รู้จักกันเพื่อเดินทางกลับ ยืนยันว่าไม่เคยเข้าไปในวัดพระธรรมกาย รวมทั้งไม่เคยร่วมเคลื่อนไหวชุมนุมกับนายโกตี๋ เพราะไม่รู้จักและไม่เคยเจอกัน สำหรับข้อกล่าวหาต่างๆ นั้น หากส่วนใดที่ตนทำผิดก็ยอมรับ แต่ส่วนใดที่ตนไม่เกี่ยวข้องก็จะปฏิเสธทั้งหมด

ขณะที่ว่าที่ ร.ต.สุริยศักดิ์ ฉัตรพิทักษ์กุล กล่าวว่า ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจับกุมอาวุธปืนครั้งนี้ รวมทั้งไม่เคยเคลื่อนไหวใช้ความรุนแรง เนื่องจากแนวคิดของกลุ่มนปช. ในกลุ่มของพวกตนนั้น จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อกันในประเด็นการเมือง ซึ่งพวกตนยอมรับความเห็นที่หลากหลาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากว่าที่ ร.ต.สุริยศักดิ์ กล่าวถึงประเด็นเรื่องอาวุธปืนนั้น ทางพล.ต.อ.ศรีวราห์ ได้ชี้แจงถึงข้อกล่าวหาทันทีว่าทางว่าที่ ร.ต.สุริยศักดิ์ ไม่ได้ถูกแจ้งข้อหาเกี่ยวกับอาวุธปืน โดยข้อหาที่ถูกออกหมายจับ เป็นความผิดฐานซ่องโจรและความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งในส่วนของว่าที่ ร.ต.สุริยศักดิ์ หลังจากแจ้งข้อหาและทำประวัติแล้ว จะนำส่งฝากขังที่ศาลทหารต่อไป เนื่องจากหมายจับเป็นของศาลทหาร

ตู่โวยเอ็นจีโอไม่เข้าใจบทบาทรัฐ

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนตอนหนึ่งว่า บทบาทของเอ็นจีโอทั้งประเทศและในต่างประเทศ หากยังไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับการพัฒนาประเทศแล้วไม่เข้าใจบทบาทของรัฐ คิดเดิมๆ ทำแบบเดิมๆ ไม่อยากให้มุ่ง แต่ประเด็นกิจกรรมโดยไม่คำนึงถึงส่วนประกอบของการรักษาเรื่องสิทธิมนุษยชน หรือแม้แต่การรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะสิ่งเหล่านี้ผูกพันกับการพัฒนาประเทศ อย่าไปคิดอะไรที่แบบตกขอบ มองข้ามประเด็นส่วนรวม อะไรที่เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อคนไทย เพื่อประเทศไทยก็ต้องมีบทบาทร่วมกันในการช่วยส่งเสริม ช่วยตรวจสอบ แก้ผิดให้เป็นถูก หาทางออกร่วมกัน ถ้าโจมตีอย่างเดียวบางอย่างก็เสียหาย ช่วยกันแก้ดีกว่า เพราะเวลาพูดออกไปต่างประเทศก็ฟัง ถูกบ้าง ผิดบ้าง ไม่เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ ที่สุดการค้าก็มีปัญหาแล้วก็บ่นว่าเศรษฐกิจไม่ดี

“เพราะฉะนั้นเราอย่าทำตัวกันเป็นจระเข้ขวางคลอง หรือไม่ก็ปิดหูปิดตา คัดค้านตลอดเวลาโดยไม่ชั่งน้ำหนัก อย่างที่ผมว่าทุกอย่างมีได้ก็มีเสีย แล้วไม่มีอะไรที่จะได้มาฟรีๆ อยากได้อะไรก็ต้องทำเอง รัฐบาลก็จะช่วยให้ เสริมให้ สนับสนุนให้ แต่จะทำอย่างไรให้ได้คุ้มกับที่เสียไป” นายกฯกล่าว

อัดไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม

นายกฯ กล่าวด้วยว่า การบิดเบือนข้อเท็จจริง บางทีก็นำเสนอข้อมูลที่เป็นการให้ความหวังที่ผิดๆ หวังผลทางการเมืองบ้าง หวังผลอะไรก็แล้วแต่ในทางไม่สุจริตหรือทำให้การเมืองระหว่างประเทศมีปัญหา ทำให้สังคมสับสน ทำให้ถูกจับตามองจากองค์กรระหว่างประเทศ ทำให้ผู้คนในประเทศไทยมีความขัดแย้ง ประเทศแตกแยกทางความคิด ไม่มีเสถียรภาพ ทุกอย่างก็เละไปหมด กระจัด กระจายไปหมด หลายพรรค หลายฝ่าย หลายกลุ่ม มีความแตกต่าง มีความเหลื่อมล้ำ นักการเมืองก็แตกแยกกันไปอีกเลยไปไม่ได้ ยุทธศาสตร์ก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้นถึงมียุทธศาสตร์ 6 อย่าง 6 ข้อที่ว่า

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลนี้พยายามจะแก้ปัญหาทั้งหมดในเชิงปฏิรูป ในเชิงโครงสร้าง ด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่อยากให้มีแรงต่อต้าน ทำให้เจ้าหน้าที่เดือดร้อน กระบวนการยุติธรรมไม่ได้รับความน่าเชื่อถือเข้าไปอีก อย่าบิดเบือนกันนักเลย เขาตรวจสอบแล้วตัดสินแล้ว ออกมาอย่างไรก็อย่างนั้น อย่าไปคิดว่าทำไมทำแต่ข้างนี้ แล้วข้างนี้ทำผิดข้างเดียวหรือเปล่า อีกข้างเขาทำผิดแล้วเขายอมรับกระบวนการยุติธรรมใช่หรือไม่ ก็ไปคิดดูว่าฝ่ายไหน

วางศิลาฤกษ์อนุสาวรีย์บรรหาร

เมื่อเวลา 08.49 น. วันเดียวกัน ที่ลานอเนกประสงค์ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี ว่าที่ร้อยตรี สุพีร์พัฒน์ จองพานิช ผู้ว่าฯสุพรรณบุรี ครอบครัวศิลปอาชา นายธีระ วงศ์สมุทร หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา พร้อมด้วยสมาชิกพรรค ร่วมในพิธีวางศิลาฤกษ์อนุสรณ์สถานจิตวิญญาณแห่งเมืองสุพรรณ บุรี นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 โดยมีพิธีบวงสรวงทั้งพิธีจีนและพิธีไทย

สำหรับอนุสาวรีย์สร้างขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติคุณนายบรรหาร จะตั้งอยู่บนพื้นที่ด้านหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี ติดถนนใหญ่ และจะติดตั้งป้ายขนาดใหญ่ ข้อความประกาศเกียรติคุณ “สัจจะ กตัญญู” อยู่ด้านหน้าของสวน และบริเวณเดียวกันจะเป็นเนินอาชาประกอบด้วย ม้า 8 ตัว มีทั้งสีน้ำตาล และขาวดำ บ่งชี้ถึงความเป็นหยินหยางอย่างสมดุล คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 1 ปี ซึ่งเงินที่ใช้สร้างมาจากเงินบริจาคในงานสวดพระอภิธรรมศพของนายบรรหาร

บิ๊กตู่เตรียมลงพื้นที่นครพนม

เมื่อวันที่ 24 มี.ค. พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า ในวันที่ 27 มี.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. พร้อมรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ จะลงพื้นที่ตรวจราชการจ.นครพนม และหารือร่วมกับคณะกรรมการกรอ.ส่วนกลาง และคณะกรรมการ กรอ.กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 (นครพนม สกลนคร มุกดาหาร) โดยนายกฯและคณะจะพบปะกับประชาชนที่โรงเรียนบ้านนาโดนใหม่ ต.โคกหินแฮ่ อ.เรณูนคร จากนั้นไปสักการะองค์พระธาตุพนม ที่วัดพระธาตุพนม ชมนิทรรศการนำเสนอการขอขึ้นทะเบียนพระธาตุพนมเป็นมรดกโลก ช่วงบ่าย เข้าร่วมประชุมหารือกับ กรอ.ส่วนกลาง และกรอ.กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ที่หอประชุมศรีโคตรบูรณ์ มหาวิทยาลัยนครพนม ก่อนเดินทางไปยังเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนมและเยี่ยมชมบริเวณแลนด์มาร์ก พญาศรีสัตตนาคราช และกลับกรุงเทพฯ ในเวลา 16.30 น.

พ.อ.อธิสิทธิ์กล่าวว่า การตรวจเยี่ยมจ.นครพนมครั้งนี้ นายกฯจะติดตามการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาลในพื้นที่ เช่น โครงการบ้านสวย เมืองสุข ความก้าวหน้าเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนม และจะพิจารณาข้อเสนอการพัฒนากลุ่มจังหวัดที่ต้องการผลักดันและรับการสนับสนุน ได้แก่ ด้านการเกษตรและอาหาร ด้านการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว และด้านการบริหารจัดการน้ำ

ชงยึดทรัพย์65ล..สินบนจุฑามาศ

เมื่อวันที่ 24 มี.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายนิติพันธุ์ ประจวบเหมาะ ผอ.สำนักการต่างประเทศ สำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า ที่ประชุมป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนางจุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในข้อหาร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควร จากการเรียกรับเงินจากนักธุรกิจชาวอเมริกัน เพื่อให้สิทธิ์จัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นกรณีต่อเนื่องจากคดีอาญา ที่ป.ป.ช.มีมติชี้มูลและส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด (อสส.) ส่งฟ้องต่อศาลอาญาแล้ว

นายนิติพันธุ์กล่าวว่า คณะอนุกรรมการไต่สวน ที่มีพล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง เป็นประธาน ได้รวบรวมพยานหลักฐานทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ โดยประสานข้อมูลกับสหรัฐอเมริกา พบว่านางจุฑามาศ มีทรัพย์สินเป็นเงินฝากในต่างประเทศ 6 ประเทศ คือ อังกฤษ ไอร์แลนด์ สิงคโปร์ เกาะเจอร์ซีย์ และสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีบุตรสาวเป็นผู้ถือครองแทน รวมทรัพย์สิน 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 65 ล้านบาท ซึ่งการชี้แจงถึงที่มาของเงินในกรณีนี้ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังได้ ป.ป.ช.จึงประสานกับสหรัฐเพื่ออายัดทรัพย์สินดังกล่าว และจะประสานให้สหรัฐคืนทรัพย์สินดังกล่าวให้รัฐไทยตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ.2003 และสนธิสัญญาระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศไทย โดยหลังจากนี้ ป.ป.ช.จะส่งเรื่องให้อสส. ภายใน 30 วัน เพื่อให้อสส. ยื่นขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน ก่อนจะส่งคำสั่งศาลให้กับสหรัฐ คืนทรัพย์สินให้ตกเป็นของรัฐไทยต่อไป

นายนิติพันธุ์กล่าวว่า หลังจากนี้คณะกรรมการประสานงานและเร่งรัดการดำเนินคดีทุจริตระหว่างประเทศ ที่มีพล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. เป็นประธานจะประชุมเพื่อหารือดำเนินการเรื่องดังกล่าวต่อไป โดยคดีนี้ถือเป็นคดีแรกที่มีการติดตามทรัพย์สินจากการกระทำผิดที่มีอยู่ในต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย ซึ่งยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดในการเรียกคืนทรัพย์สิน เพราะต้องเป็นไปตามขั้นตอน ตามกฎหมายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ กรณีนี้ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่ทำให้นักการเมืองเห็นว่า แม้ทรัพย์สินจากการกระทำผิดจะอยู่ในต่างประเทศก็สามารถติดตามเอาคืนมาได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน