จัดเต็ม! “ต้อม ยุทธเลิศ” แนะวิธีชนะเผด็จการ “ต่อต้านแบบนี้ ไม่แพ้พวกมันแน่นอน” ชี้ ถ้าเราเอาชนะตัวเอง พวกนั้นก็ไม่เอาชนะเราได้ ต่อให้พวกเขาเอาเราเข้าคุก แล้วไงล่ะ?

เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา ที่งานแสดงศิลปะ Uncensored ของศิลปินแนวสตรีทนิรนามที่รู้จักกันภายใต้ชื่อในวงการว่า Headache Stencil ซึ่งสร้างชื่อจากกราฟิตี้นาฬิกาหรูของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี

ได้ออกมาเปิดตัวผลงานล่าสุดพร้อมขนศิลปินเพลงแนวแร็พโดยเฉพาะ Rap Agaist Dictatorship และนักร้องแร็พร่วมวงการมาสร้างสีสัน และปิดท้ายรายการด้วยการขึ้นพูดของ นายยุทธเลิศ สิปปภาค หรือ “ต้อม” ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังที่ออกมาตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์การเมืองและสังคมอย่างร้อนแรงในเวลานี้ ว่าเราจะต่อต้านเผด็จการด้วยศิลปะได้อย่างไร โดยการขึ้นพูดดังกล่าว ถูกแชร์อย่างแพร่หลายเป็นวงกว้างในโลกออนไลน์

ยุทธเลิศ ได้เริ่มต้นกล่าวว่า มีคนถามผมว่า มาเปิดตัวอย่่างนี้ทำไม แล้วได้อะไร ผมก็ตอบว่าไม่รู้ว่าได้อะไร แต่ก่อนหน้านี้ 5 ปีที่แล้ว พยายามจะปรู๊ฟตัวเองว่าเป็นอะไรที่ไม่ใช่ควายแดง 5 ปีที่แล้วผมถูกจับให้เป็น “ควายแดง” พอ 3 เดือนที่แล้วหลังเลือกตั้ง ผมถูกจับให้เป็น “ควายส้ม” ตกลงเนี่ย เราอยู่ในประเทศที่ไม่สามารถขยับอะไรได้เลย ตั้งแต่การเลือกตั้ง

ผมมองเห็นว่า สิ่งที่เราคิด เราเห็น มันไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นใหม่คิดแบบนี้ ถ้าความคิดที่บอกว่า “ประยุทธ์เป็นคนดี” เนี่ย การเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคอนาคตใหม่ จะไม่ควรเป็นพรรคอันดับ 3 แสดงว่า ต้องมีการแอนตี้กัน

มีคนพูดว่า เด็กรุ่นใหม่โดนล้างสมอง เราก็อยู่ในฐานะคนรุ่นเก่าก็พูดแทนคนรุ่นใหม่ไม่ได้ เลยถามลูกสาวว่า รู้เรื่องพล.อ.ประยุทธ์ไหมคะ ลูกสาวตอบว่า เค้าโกงใช่ไหมพ่อ? โห ลูกอย่าไปพูดอย่างนี้ที่โรงเรียนนะ ลูกสาวก็ตอบว่า หนูไม่พูดหรอก เพราะที่โรงเรียนเลือกลูงตู่เยอะเลย ผมก็ถามลูกสาวอีกว่า ที่พ่อออกมาตรงนี้ ลูกมีปัญหาหรือยัง? ลูกสาวตอบว่า ยังคะพ่อ ลุยต่อได้

ยุทธเลิศ กล่าวต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศ ภรรยาผมบอกว่าไม่ได้เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ไม่ใช่เรื่องความจงรักภักดี แต่เป็นเรื่องของการแสดงตัวตนหรือที่เราเรียกว่า “อิสระ” อิสระที่สำคัญซึ่งเด็กๆพวกนี้ทำคือ อิสรภาพทางความคิด ถึงแม้คุณจะถูกขังคุกอยู่ แต่ความคิดคุณไม่สามารถถูกขังได้ พวกเขาขังคุณไม่ได้ แต่ระบบการปกครองของประเทศ กำลังเบี่ยงบอกว่า คิดแบบนี้ไม่ถูก ไม่ได้ ถ้าคิดแบบนี้ ทำแบบนี้ ระวังโดนแบบจ่านิวนะ ตอนแรกผมกล้านะ พอโดนเรื่องจ่านิวผมก็นิดนึงล่ะ

ผมจะไม่มาพูดเรื่องการเมือง แต่จะมาพูดเรื่องศิลปะ แต่ไปเกี่ยวข้องการเมืองนิดหนึ่ง เพราะระบอบที่ปกครองคนในประเทศนี้ กลุ่มคนที่มีความคิดเรียกว่า “นอกกรอบ สร้างสรรค์” จะถูกจัดการเป็นคนแรก จะสังเกตได้ว่า ในประเทศเรา การเรียนศิลปะ อาทิตย์หนึ่ง ลูกเรียนชั่วโมงเดียว ทั้งที่ศิลปะคือไม่ได้แปลว่าคนที่วาดรูปเก่ง จริงๆศิลปะคือความเป็นมนุษย์ ศิลปะคืออิสระ ศิลปะใช้จินตนาการสูง เป็นสิ่งที่มนุษย์พึงมี แต่เราอยู่ในระบอบการปกครองที่กดขี่ตรงนี้อยู่

นายยุทธเลิศ กล่าวถึงระบอบการกดขี่ และ การต่อต้านว่า เวลาเขากดขี่ เขาทำให้เรากลัว คุณต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่เป็นแพทเทิร์น คือมนุษย์เกิดมามีเอกลักษณ์ เราไม่เหมือนใคร เรามีความคิดที่ต่อให้มีแฝด 8 ก็เป็นอย่างนั้น ดังนั้นวันนี้ ถ้าจะต่อต้านเรื่องการกักขังหน่วงเหนี่ยว การกดดันในเรื่องกระบวนการความคิดเนี่ย เราต้องต่อสู้ แต่การต่อสู้ของเรานี้ง่ายมาก แค่ “แสดงตน” แต่จะสังเกตว่ากระบวนการปกครองของคนพวกนี้คือ เราแสดงตนไม่ได้ พวกเขาจะทำให้พวกคุณกลัว

1. ในประเทศนี้ จะทำให้พวกคุณกลัว ถูกประจานโดนด่า ถ้าเกิดคุณยืนในสังคมที่แตกต่างปุ๊บ คุณจะโดนด่าเลย ไม่ว่าควายแดง ล้มเจ้า อะไรแล้วแต่ที่ดูสกปรก เป็นสิ่งที่ฮิตเลอร์ใช้กับคนยิว แล้วใช้ได้ผลกับคนเสื้อแดง ดังนั้นเวลาคนเสื้อแดงโดนยิง 99 ศพ จึงเป็นเรื่องที่เล็กมากกว่าโกงข้าว ความเป็นความตายในประเทศนี้เป็นสิ่งที่เล็กน้อยกว่าปากท้อง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แบบนี้

ผมเชื่อว่า ในสิ่งที่คนรุ่นใหม่เกิดขึ้น พวกเขาก็ไม่เชื่ออย่างนั้น หลายสิ่งกำลังเปลี่ยน ถ้าไม่ออกมาตอน กกต.โกง ก็ไม่รู้ว่าจะออกมาตอนไหน นี่มันชัดแจ้งเหลือเกิน ว่ากกต.เนี่ยโกง ทุจริต เลือกตั้งไม่โปร่งใส และที่สำคัญ ไม่มีใครเอาผิดพวกเขาได้ ตรงนี้แหละ โคตรแย่ สิ่งนี้ เราไม่ควรจะยอมให้เกิดขึ้น เพราะว่าการเมืองอย่าบอกว่าไม่เกี่ยวกับเรา การเมืองเกี่ยวทุกเรื่อง คนอื่นบอกว่าอย่ายุ่งการเมือง แต่การเมืองเข้ามายุ่งกับผม ทุกคนต้องยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่ใช่แค่เลือกตั้ง เสร็จต้องมาตามต่อว่าทำอะไร ดูสิ เลวร้ายมาก

“มีคนถามว่า มีวิธีต่อสู้โดยที่ไม่เสียเลือดไหม? คนที่อยากจะใช้สมอง อยากคิดหาวิธี ผมลองคิดนะ การจะสู้กับคนพวกนี้ ผมลองแบบนี้ ผมจะใช้ศิลปะในการต่อสู้ ผมว่าศิลปะอยู่กับเรา และทุกคนมีศิลปะอยู่ในตัว เรามีอิสระที่จะทำ แต่เราถูกพรากด้วยหลายอย่าง คุณไม่มีอิสระเข้าถึงที่ทำกิน การศึกษาที่ดี ใช่ไหม แล้วใครคุมอิสระล่ะ?

ผมเข้ากรุงเทพ รถเมล์ 30-40 ปี ยังคันเดิม แต่เรือดำน้ำมาใหม่ ซึ่งแน่นอนเราสู้ไม่ได้เพราะพวกเขาคุมกฎหมาย จะสู้ยังไง? สิ่งที่เราควรจะสู้คือ เราสู้กับตัวเองก่อน ถ้าเรารู้สึกไม่มีอิสระ ก็ทำให้มี คือ คิดอะไรก็ได้ พูดอะไรก็ได้ ถ้าไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่ตอนนี้แม้แต่จะคิดยังทำไง แต่แค่ทำก็โดนด่า เราก็กัดฟัน ทำเลย จ่านิวเป็นตัวอย่างของการต่อสู้หนึ่ง ซึ่งมีหลายวิธี” ยุทธเลิศ กล่าว

นายยุทธเลิศกล่าวถึงวิธีการต่อสู้ของตัวเองว่า ผมใช้ศิลปะที่อยู่กับเรา ศิลปะของผมคือ อิสรภาพในการคิด ต่อให้คุณวาดรูปเก่ง แต่ถ้าคิดว่าเผด็จการเป็นสิ่งที่ดี นั้นไม่ใช่ศิลปะ ศิลปะไม่น่าจะเกิดขึ้นจากความกลัวที่กดไว้ ศิลปะเป็นสิ่งสร้างสรรค์และสวยงาม แม้แร็พจะหยาบยังไงแต่ก็มีสุนทรีย์อยู่

ดนตรีไม่ทำให้เกิดสงคราม มีแต่ปืนและอำนาจที่ทำอยู่ สิ่งที่เราเอาชนะเผด็จการไม่ได้ เพราะพวกเขามีอำนาจ แต่เราสามารถเอาชนะตัวเองได้ ถ้าเราเอาชนะตัวเอง พวกนั้นก็ไม่เอาชนะเราได้ ต่อให้พวกเขาเอาเราเข้าคุก แล้วไงล่ะ?

การปกครองคนด้วยความกลัว ผมชอบที่จะมองว่า ดิจิตัล โซเชียล จะปกป้องเรา สังเกตได้ตอนรัฐประหารใหม่ พวกเขาจะยึดสื่อ อย่างที่ผมพูดไป ถ้าจะยึดเราก็คงต้องยึดมือถือทุกคน แต่นั้นทำไม่ได้ ไอโอทหาร หรือข่าวลวงทั้งหลาย แต่สู้ปริมาณข่าวจริงของเราไม่ได้ ฉะนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะแสดงตนว่า พวกมันทำในสิ่งที่ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่การต่อสู้นะ แต่เป็นการแสดงตัวต่อต้านว่า ผมเป็นศิลปิน วาดรูปไม่เก่งแต่ผมเป็นศิลปิน เพราะผมมีอิสระที่พวกมันไม่สามารถพลัดพรากจากผมไปได้ เพราะมันคือความคิด

“ผมทดลองอย่างหนึ่ง ด้วยความที่จบออกแบบภายใน แต่ผมจะร่วมกับกลุ่มร้องเพลงยังไง งานศิลป์ ภาพวาดต่างๆ ผมเป็นผู้กำกับหนัง เขียนสคริปต์ ผมเขียนสคริปต์การแสดงตนต่อต้านเผด็จการแบบตลอดชีวิต” นายยุทธเลิศ กล่าว

นอกจากนี้ ยุทธเลิศ กล่าวว่า ณ วันนี้ หลายคนจะพูดว่า คุณไม่มีทางเอาชนะได้หรอก การต่อสู้กับคนกุมอำนาจเหล่านี้ ไม่มีทางชนะได้ในระยะเวลาอันสั้น เปลี่ยนใหม่ เราทำเหมือนเดิม เราจะต่อต้านระบบนี้โดยที่ไม่มีวันแพ้ในระยะยาว นั้นคือ

การแสดงตนต่อต้านตลอดชีวิต ไม่มีจุดจบ เผด็จการมีจุดจบ แต่การต่อต้านเราไม่มีจุดจบจนผมตาย การต่อต้านแบบนี้ตลอดชีวิตแปลว่าผมจะไม่มีวันพ่ายแพ้พวกมันแน่นอน

เริ่มยังไง ศิลปะมีหลายแบบ ผมไม่วาดรูป ไม่เล่นดนตรี ผมจัดวางเรื่องราว ใช้มนุษย์เป็นตัวดำเนินเรื่อง ผมไม่ได้จัดวางมนุษย์แบบยืนตรงนั้น นี่คืองานทดลองผม คือการจัดวางความคิดให้คนคิด คิดง่ายๆคือ ผมไม่มีวันแพ้ ถ้าผมสู้ทั้งชีวิต

“ผมเคยรณรงค์เอาหน้ากากดำมาใส่ แสดงการต่อต้านอำนาจสกปรกของเผด็จการ ผมไม่ได้หวังพึ่งใคร ทำได้ด้วยตัวคนเดียว แต่จะมีผลไหมถ้าทำคนเดียว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าผมปลูกฝังความคิด ลองเอากับผมด้วยไหม ใครมีความคิดแบบนี้ คับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก ถ้าเราจะอยู่อย่างสบายใจ เราต้องมีอิสระนั้นคือถูกหรือผิด ไม่ใช่ขวาหรือซ้าย ดังนั้นการเอาหน้ากากมาใส่มันเป็นสิ่งถูกต้องและง่าย”

ทั้งนี้ นายยุทธเลิศกล่าวว่า ถ้ามีคนร่วมด้วยกับผมในนี้ ก็จะมีการปรากฎตัวอย่างนี้ (ผู้ร่วมงานทุกคนชูกำปั้น) สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือ ไม่ใช่สี ไม่ใช่เสียง แต่สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือ การแสดงสัญลักษณ์และความคิดในหัวของเรา สิ่งที่ทรงพลังที่สุดคือ ความคิดรูปแบบเดียวกัน

ความคิดที่ยืนอยู่ในสิ่งที่ถูกต้อง จะกล้าหาญและบอกว่านี่คือผิด เราไม่ต้องกลัวอะไร พวกเขาจะทำอะไรไม่ได้ วันนี้อาจดูเหมือนน้อย ถ้าวันหนึ่งมีคนหมื่นคน ยืนใส่หน้ากากเฉยๆและกลับ นั้นบ่งบอกว่า ประเทศไทยติสต์เยอะ ศิลปินยังมีอยู่ ศิลปินเป็นจุดประกาย สิ่งที่ทุกคนทำเป็นจุดประกาย เป็นการยืนยันว่าเราเป็นอิสระแม้อยู่ในระบอบที่แย่มาก ถ้าเราไม่ยอม เราจะอยู่ตรงนี้ได้อย่างมีความสุข ห้ามเบื่อหน่าย แค่นั้นเอง

ขอบคุณ มติชนสุดสัปดาห์


 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน