สังคมสลด! พ่อแม่ขาย ลูกสาว ป.6 ให้แต่งงานหนุ่มใหญ่วัย 50 หนูน้อยส่ง จม.ขอความช่วยเหลือ

ศูนย์เพื่อน้องหญิง ที่ทำงานในจ.เชียงราย เพื่อสร้างเสริมพลังอำนาจของผู้หญิงและเด็กๆ เพื่อลดความรุนแรง และให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องของการค้ามนุษย์การแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็กและป้องกันการละเมิดในรูปแบบอื่นๆ เขียนเล่าเรื่องการเข้าช่วยเหลือเด็กหญิง ที่ถูกพ่อแม่บังคับให้กับชายสูงอายุ ความว่า เมื่อเดือนมีนาคม 2561 ศูนย์เพื่อน้องหญิง ได้รับจดหมายน้อยจากเด็กหญิงคนหนึ่งที่ขอความช่วยเหลือ เพราะแม่จะบังคับให้ไปแต่งงานกับผู้ชายอายุ 50 แล้วเราก็พยายามจะช่วยให้เค้าไม่ต้องแต่งงานไปจนได้ แต่กว่าจะช่วยได้ก็ล่วงเข้าปี 62 เรียกได้ว่าเป็นมหากาพย์เลย

โดย ศูนย์เพื่อน้องหญิง ได้รับจดหมายจาก น้องหนูนา (นามสมมติ) อยู่ชั้นป.6 ที่กำลังเป็นทุกข์ เนื่องจากถูกพ่อแม่บังคับให้แต่งงานกับชายอายุ 50 ปี หลังเรียนจบชั้น ป.6 ซึ่งตัวเด็กชัดเจนว่าไม่อยากแต่งงาน และอยากเรียนหนังสือต่อ โดยก่อนหน้านี้พี่สาวของหนูนาก็ถูกขายไปแต่งงานแล้วคนหนึ่ง ทาง ศูนย์เพื่อน้องหญิง จึงมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือหนูนา ออกมาจากพ่อแม่ เพื่อให้น้องได้เรียนหนังสือ

ตอนแรกไปคุยกับกลไกคุ้มครองเด็ก และค้ามนุษย์ระดับจังหวัด ซี่งมีทีมสหวิชาชีพที่ทำงานตามขั้นตอนของพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กและพ.ร.บ. ค้ามนุษย์ ซึ่งทีมคุ้มครองระดับจังหวัดเห็นว่า ยังไม่ควรแยกเด็กออกมาจากครอบครัว แต่ขอให้ทางเราเฝ้าระวังสถานการณ์ไปก่อน เพราะเหตุที่เด็กถูกล่วงละเมิดยังไม่เกิดจะแยกได้อย่างไร ทางทีมมีหลักการคิดว่า “ถ้าเด็กถูกข่มขืนแล้วก็จะแยกออกมาได้ง่าย”

การตัดสินของทีมระดับจังหวัดค้านกับความรู้สึกของศูนย์เพื่อน้องหญิง เพราะเราคิดว่าน่าจะมีเหตุอันควรที่จะแยกเด็กออกจากบ้านได้ เพราะตาเฒ่ายังวนเวียนไปหาหนูนาอยู่บ่อยๆ เลยปรึกษาพี่ๆที่กทม. ได้รับคำแนะนำว่าให้ทำหนังสือถึงอธิบดีในส่วนกลาง เพื่อกระตุ้นให้ทีมจังหวัดทำงานอย่างแข็งขันกว่านี้

ผลที่ตามมาคือ อธิบดีส่งจดหมายของศูนย์เรากลับไปที่หน่วยงานระดับจังหวัดย้ำเตือนให้จัดการเรื่องนี้ด้วย ทำให้ทีมจังหวัดเคืองเรามากที่ต้องเอาเรื่องนี้ขึ้นไปถึงผู้บังคับบัญชาเค้า โดยเห็นว่า “มีอะไรทำไมไม่มาคุยกันในจังหวัดของเรา” จะเห็นได้ว่า กรณีนี้ บทบาทการแทรกแซงของหน่วยงานกลางมีจำกัด เนื่องจากตามโครงสร้างสายงานบังคับบัญชา แขนขาในการทำงานเคสก็เป็นหน่วยงานระดับพื้นที่ ซึ่งเค้าก็ต้องส่งต่อกลับมาที่นี่อยู่ดี

กดติดตามไลน์ ข่าวสด official account ได้ที่นี่
เพิ่มเพื่อน

ระหว่างที่กำลังพยายามเอาเด็กออกมาจากบ้าน แต่ยังเอาออกมาไม่ได้ เลยไปคุยกับผู้ชายคนนั้นซึ่งอยู่อีกอำเภอหนึ่ง เพราะเรารู้จากผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเขาก็ยังเทียวไปเทียวมาหาหนูนาที่บ้าน ซื้อมือถือมาให้ และแม่ส่งเสริมให้เค้าพาหนูนาไปเที่ยว ตอนที่ไปหาผู้ชายที่บ้าน น้องเราเอาตำรวจในอำเภอที่ผู้ชายไปด้วยคนนึง เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัว ชวนกันไป ที่ทำการกำนันตำบลที่ผู้ชายอยู่ แล้วเอาประมวลกฎหมายอาญาไปกางอ่านให้ฟังเลยว่า ถ้าเค้าจะเอาเด็กไปแต่งงานด้วยจริง จะมีโทษตามกฎหมายอย่างไร

เขาก็ปฏิเสธว่า ไม่ได้คิดอะไรกับเด็ก เอ็นดู ซื้อมือถือให้เพราะเรียนเก่ง จากนั้นเราก็บังคับให้เค้าลงชื่อในกระดาษ เป็นการรับทราบว่าเรามาคุยกับเขาเรื่องนี้แล้ว พอเรากลับไป เค้าก็ไปต่อว่ากำนันว่า พวกเราไปยุ่งเรื่องของเค้าทำไม สรุปว่า คนจำนวนมากไม่ได้คิดว่ากฎหมายจะเกี่ยวข้องกับการควบคุมพฤติกรรมเค้าเลย แต่มีไว้หลบเลี่ยงให้จับไม่ได้ต่างหาก

ตัดกลับมาที่บ้านหนูนา เราได้พบหนูนาหลายครั้ง คุยกับพ่อแม่แล้ว ทางพ่อแม่ดุมาก และยืนยันว่าหนูนาเป็นลูกของเขา เขาจะทำอะไรก็ได้ ทางบ้านหนูนาเป็นชนเผ่า สถานภาพของพวกเราที่เป็นองค์กรช่วยเหลือเด็ก เป็นอะไรที่เค้าไม่เข้าใจว่าจะมายุ่งกับเรื่องที่บ้านเค้าทำไม ทางเราก็ยื้อคุยกับพ่อแม่เด็กอยู่หลายเดือน

จนกระทั่งวันหนึ่งที่ศูนย์ไปจัดค่ายเด็กในหมู่บ้าน พอจะกลับ หนูนาก็วิ่งออกมาบอกว่า หนูไม่อยู่แล้ว หนูจะขอไปด้วย ณ จุดนั้นเลยต้องเอาหนูนาออกจากบ้านมาแล้วไปอยู่ที่ศูนย์ ก่อนที่จะดำเนินการส่งต่อไปที่บ้านพักเด็ก

อีกด้านหนึ่งต้องไปเจรจากับพ่อแม่เด็กอีก ทั้งผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ทีมงานเราไปนั่งเจรจากับพ่อแม่ เพื่อขอให้ลูกไปอยู่ที่อื่นและไปเรียนต่อ แม่เค้าโกรธมาก เอาไม้กวาดมาปัดหยากไย่ในบ้านจนหยากไย่หล่นใส่พวกเราหมดเลย แม้กฎหมายไทย เช่น พ.ร.บ. คุ้มครองเด็กจะห้ามไม่ให้พ่อแม่ล่วงละเมิดสิทธิเด็ก แต่มันก็เอากฎหมายไปคุยกับพ่อแม่เด็กไม่ได้ เพราะเราคิดว่ามันรุนแรงไปและไม่น่าจะคุยกันเข้าใจ ในที่สุดก็หว่านล้อมให้เค้ายอมให้หนูนาออกมาอยู่ที่อื่นแล้วเรียนต่อได้จนสำเร็จ

ปัจจัยความสำเร็จของกรณีนี้คือความเด็ดเดี่ยวของหนูนาเอง เค้าเป็นเด็กที่มีความชัดเจนมากว่าชีวิตเค้าต้องการอะไร ตอนแรกเหมือนเด็กอื่นๆ ที่รู้สึกผิดว่าตัวเองอกตัญญูต่อพ่อแม่หรือเปล่าที่ไม่ทดแทนบุญคุณ แต่พอทางเราอธิบายเรื่องสิทธิเด็ก เค้าก็เข้าใจทะลุปรุโปร่งและเดินหน้าไม่ถอยหลัง

เราให้น้องไปอยู่ศูนย์เอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัด หนูนาพักที่ศูนย์และมีรถรับส่งไปเรียนที่โรงเรียนใกล้ๆ สองเดือนก่อนเราไปเยี่ยมหนูนา พบว่าเค้าสบายดี เค้าบอกว่าไม่คิดถึงบ้าน ถามเค้าเรื่องอนาคต เค้าก็บอกว่าจะเรียนให้จบม. 3 ก่อนจากนั้นค่อยว่ากัน หนูนาเป็นเด็กเรียนเก่งแต่เค้าไม่อยากเรียนสูงๆ อยากรีบจบจะได้หาเงินมาเลี้ยงพ่อแม่

อ่าน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน