“บิ๊กป้อม”เตรียมเรียก ถกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ปัญหาแท็กซี่โจร เล็งพิจารณาห้ามขับรถสาธารณะตลอดชีวิต ด้านกระทรวงคมนาคม เตรียมรื้อระบบ เลิกสหกรณ์แท็กซี่ ตั้งเป็นบริษัทประชารัฐดูแลแทน เผยที่ผ่านมาไม่มีอำนาจ เพราะสหกรณ์ขึ้นกับกระทรวงเกษตรฯ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เยี่ยมอาการเหยื่อสาวบราซิล เผยเจ้าตัวบอกมีกำลังใจดี รู้สึก “อเมซิ่ง” และชื่นชมการทำงานของราชการของไทย

จากกรณีนายค้ำคูณเจริญ ค้อนจัตุรัส อายุ 44 ปี โชเฟอร์แท็กซี่หื่น ก่อเหตุ ทำร้ายร่างกายและขืนใจนักท่องเที่ยวสาวชาวบราซิล ซึ่งมีดีกรีระดับนางงาม เคยผ่านเวทีระดับโลกมาแล้ว หลังเหยื่อสาวเรียกรถจากสนามบินดอนเมือง โดยให้ไปส่งที่ซอยทองหล่อ แต่กลับพาออกนอกเส้นทางไปถึงริมทุ่งนาใน ต.ทุ่งคอก อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ก่อนลงมือทำร้ายร่างกายและขืนใจจนสำเร็จความใคร่ จากนั้นปล่อยทิ้งเหยื่อเอาไว้แล้วหลบหนีไป ด้านเหยื่อสาวเดินกระเซอะกระเซิงไปขอให้ชาวบ้านช่วยพาแจ้งตำรวจ ก่อนจะติดตามจับกุมแท็กซี่หื่นได้ที่ จ.นนทบุรี โดยจากการสอบประวัติพบเคยก่อเหตุลักษณะเดียวกันมาแล้ว 2 คดี และเพิ่งออกจากคุกมาไม่นาน ตามที่เป็นข่าวไปแล้ว

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 27 เม.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า ที่ผ่านมารัฐบาลเตรียมความพร้อมต่างๆ ที่เกี่ยวกับความปลอดภัย เช่น กล้องซีซีทีวี และเพิ่มแสงสว่างในเวลากลางคืน ส่วนของพนักงานขับรถโดยสาร โดยเฉพาะรถแท็กซี่นั้น ยังไม่สามารถบังคับหรือกวดขันทั้งหมดได้ จึงต้องเพิ่มจิตสำนึกในเรื่องดังกล่าว

ส่วนกรณีที่มีการเรียกร้องให้เพิ่มความเข้มข้นเกี่ยวกับผู้ประกอบการรถแท็กซี่ให้คัดกรองคนขับรถ หรือเพิ่มบทลงโทษผู้กระทำผิดซ้ำซาก เหมือนกรณีที่เกิดขึ้นล่าสุดที่ผู้ต้องหามีประวัติก่อเหตุมาแล้วหลายครั้งนั้น ทางรัฐบาลจะรับไว้ดำเนินการ และจะเรียกประชุมหารือแนวทางแก้ไข เช่น พิจารณาห้ามขับรถสาธารณะตลอดชีวิต ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะต้องนำเรื่องไปหารือกับหน่วยงานกับกระทรวงคมนาคมต่อไป รวมถึงจะมีการเรียกประชุมกับผู้ประกอบการทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสนามบินที่มีนักท่องเที่ยวใช้บริการเป็นจำนวนมาก เพื่อสร้างภาพลักษณ์อันดีในการท่องเที่ยวในประเทศ ขณะเดียวกันทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็ได้เร่งดำเนินการสอบสวนสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่กระทำความผิดกฎหมายอย่างจริงจัง สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้มากมาย และกำลังรือฟื้นติดตามตัวผู้ที่เคยถูกออกหมายจับมากกว่า 5-6 หมื่นคดีทั่วประเทศ

ด้านนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจนักท่องเที่ยวสาวชาวบราซิล ตลอดจนเก็บข้อมูลเพื่อเร่งให้กองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยว รีบดำเนินการช่วยเหลือในด้านต่างๆ เบื้องต้น ได้ช่วยเหลือค่าฟื้นฟูสภาพจิตใจ 20,000 บาท ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ตั๋วเครื่องบิน ค่ารักษาพยาบาล ทั้งนี้นักท่องเที่ยวมีกำลังใจดีมากและยืนยันจะอยู่เที่ยวต่อเพราะดีใจและเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของไทย ที่เป็นไปอย่างรวดเร็ว ตลอดจนผู้บริหารของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ที่ได้เล็งเห็นถึงปัญหา และได้สั่งการให้ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวเข้ามาช่วยเหลือเยียวยาในด้านต่างๆ

“จากการพูดคุยกับนักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวเปิดเผยความรู้สึกอเมซิ่ง และชื่นชมการทำงานของ หน่วยงานราชการของไทยให้ความสนใจและเข้าช่วยเหลืออย่างทันท่วงที” นายพงษ์ภาณุกล่าว

วันเดียวกันมีรายงานข่าวจากกระทรวงคมนาคมแจ้งว่า เตรียมจะรื้อโครงสร้างการกำกับดูแลสหกรณ์แท็กซี่ใหม่ทั้งระบบ โดยจัดตั้งบริษัทประชารัฐ ขึ้นมาทำหน้าที่แทนระบบสหกรณ์ เนื่องจากระบบสหกรณ์แท็กซี่ปัจจุบัน มีปัญหาหลายจุด ที่ให้ไม่สามารถกำกับดูแลสมาชิกผู้ที่เช่ารถออกไปขับให้ปฏิบัติตามกฎหมายได้ ปัจจุบันไม่ได้มีสมาชิกสังกัดอย่างแท้จริง มีสภาพเป็นเพียงบริษัท ลิซซิ่งที่ให้เช่าซื้อรถเท่านั้น ทำหน้าที่ซื้อรถที่มีอายุการใช้งาน 9-12 ปี ราคาคันละ 60,000 บาท มาขายให้แก่บุคคลที่ต้องการมาขับแท็กซี่ โดยไม่ได้มีการตรวจสอบประวัติอาญากรรม หรือมีใบขับขี่สาธารณะ หรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานานที่ไม่มีใครแก้ไข

นอกจากนี้ระบบของการจัดตั้งสหกรณ์แท็กซี่ในปัจจุบันยังสังกัดอยู่กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่ได้อยู่ในความดูแลของกระทรวงคมนาคม ดังนั้นการตรวจสอบฐานะ ความถูกต้องในการจัดตั้ง การเสียภาษี หรือการทำตามระเบียบหรือไม่ กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ไม่มีอำนาจไปตรวจสอบ โดยขบ. เพียงแค่รับจดทะเบียนรถแท็กซี่เท่านั้น ที่ผ่านมา ทั้ง 2 กระทรวงมีการบูรณาการทำงานร่วมกันไม่มาก เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดช่องว่างเรื่องการกำกับดูแลสหกรณ์ รวมถึงยังเกิดปัญหาขาดการพัฒนาคุณภาพผู้ขับรถต่อเนื่องยาวนาน โดยผู้ขับรถส่วนใหญ่ไม่มีสวัสดิการสังคม มีรายได้เพียงการเลี้ยงชีพ และกลายเป็นบุคคลขาดรายได้หลังจากออกจากอาชีพเมื่อถึงวัยเกษียณ ถึงเวลที่ต้องปรับโครงสร้างแท็กซี่ทั้งระบบ นอกจากการตั้งบริษัทประชารัฐแล้ว อาจจะต้องมีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาผู้ประกอบอาชีพ และนำระบบเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้เช่นการจัดตั้งแท็กซี่สตาร์ตอัพ มาช่วยในการสื่อสารระหว่างแท็กซี่กับผู้โดยสาร รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายบทลงโทษที่ต้องรุนแรงมากขึ้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบประวัตินายค้ำคูณเจริญ ผู้ต้องหาพบว่าเป็นบุคคลอันตราย มีคดีข่มขืนติดตัวอยู่ถึง 2 คดี และเปลี่ยนชื่อมาแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งคดีแรกเกิดขึ้นเมื่อ 24 ก.ย. 2551 โดยใช้ชื่อ ว่า นายทองมี ค้อนจัตุรัส ได้ก่อเหตุข่มขืน หญิงสาวชาวไทย อายุ 20 ปี ที่บริเวณริมถนนสาย 340 เส้นทางตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี ต.หน้าไม้ เขตท้องที่รับผิดชอบ สภ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี หลังพ้นโทษออกมาได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นนายสมเกียรติ ค้อนจัตุรัส และมาก่อเหตุอีกครั้งเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2556 ก่อเหตุข่มขืน สาวชาวพม่า วัย 25 ปี บริเวณถนนกำแพงเพชร 6 ในพื้นที่ สน.ทุ่งสองห้อง หลังพ้นโทษออกมาจึงเปลี่ยนชื่อเป็นนายค้ำคูณเจริญ ค้อนจัตุรัส จนมาลงมือกับสาวชาวต่างชาติ ล่าสุดยังถูกควบคุมตัวในเรือนจำจังหวัดสุพรรณบุรี

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน