“บิ๊กตู่” สั่งคสช.-ทหาร-ตำรวจ เร่งสอบเหตุระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ ใกล้บริเวณสนามหลวง กำชับตรวจเช็กคุณภาพซีซีทีวี เฝ้าระวังทุกพื้นที่ “บิ๊กป้อม” ยอมรับมีกลุ่มจ้องดิสเครดิตรัฐบาล สาวเชิงลึกเชื่อมโยงระเบิดหน้ากองสลากเก่าหรือไม่ “ศรีวราห์”เร่งไล่ดูกล้องวงจรปิด สะพัดพฐ. พบชิ้นส่วนเครื่องตั้งเวลาระเบิดไปป์บอมบ์ ตกอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ คาด 1-2 วันได้ข้อสรุป ตร.ตรึงกำลังรอบบริเวณ นายกฯเลื่อนแถลงผลงาน 3 ปีเป็นช่วงเดือนก.ย. วอนเลิกให้เครดิตคนบิดเบือนว่ารัฐบาลไร้ผลงาน “ดีอี” ย้ำพ.ร.บ. คุมไซเบอร์ ไม่เข้าข่าย”ล้วงตับ” ข้อมูล เพื่อไทย-ปชป.เตือนละเมิดสิทธิประชาชน แอมเนสตี้จัดงานรวมตัวผู้กล้า 23 พ.ค. พยาบาลเฮ ลุ้นครม.ไฟเขียวบรรจุเป็นข้าราชการ

“บิ๊กตู่”วอนเลิกปลุกระดมต่อต้าน

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 16 พ.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุม คสช. ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยก่อนการประชุม กระทรวงการคลัง ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน นำแอพพลิเคชั่น คนไทยมีบ้าน : Home for all และเว็บไซต์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ รวมถึงเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ มาประชาสัมพันธ์ก่อนจะเปิดตัวในวันนี้

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวระหว่างเยี่ยมชมว่า เป้าหมายของรัฐบาลคือทำให้คนไทยทุกคนมีบ้าน แต่ขอร้องอย่ารอความช่วยเหลือจากรัฐบาลเพียงอย่างเดียว ทุกคนต้องร่วมมือกัน ทุกวันนี้ยังมีคนออกมาพูดว่ารัฐบาลไม่ทำอะไร ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ไม่ยอมรับกับการเปลี่ยนแปลง และขอให้ทุกคนปลูกจิต สำนึกและหลักคิดที่ถูกต้อง ไม่ใช่การปลุกระดมหรือเพียงมองว่าสิ่งที่รัฐบาลทำนั้นผิดทั้งหมด โดยคนที่พูดไม่เคยเสนอ หรือทำอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรม ซึ่งตลอด 3 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ทำเพื่อประชาชนโดยตลอด

เลื่อนแถลงผลงาน3ปีช่วงก.ย.

พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องการทำงาน อย่าแยกระหว่างคสช.กับรัฐบาล ซึ่ง 3 ปีที่ผ่านมารัฐบาลเป็นฝ่ายทำงานและเป็นไปตามโรดแม็ป พร้อมกำหนดนโยบายเพื่อบริหารราชการแผ่นดินโดยครม. ส่วนคสช.เป็นผู้สนับสนุน ไม่เป็นผู้บังคับบัญชา ถือเป็นหน่วยสนับสนุนตามกฎหมาย โดยดูแลเรื่องความมั่นคง เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนงานต่างๆ พร้อมสร้างความเข้าใจ ดูแลประชาชนที่เดือดร้อน เพราะบางอย่างระบบราชการเดินช้า

เรื่องการแถลงผลงานดูจะเป็นประเด็น โดยจะไปชี้แจงในช่วงเดือนก.ย. ก่อนสิ้นปีงบประมาณ 2560 ช่วงนี้จะสร้างความเข้าใจไปก่อนว่าหลักคิดของรัฐบาลมีปัญหาอะไรบ้าง และขับเคลื่อนทุกภาคส่วนภายใต้โครงการประชารัฐ ถ้าภาคส่วนอื่นขัดแย้งกัน การทำงานก็ไปไม่ได้ เพราะทุกภาคส่วนต้องทำงานเชื่อมโยงกัน

“สิ่งที่ผมไม่พอใจเพราะทำให้เสร็จตามเวลาไม่ได้ แต่ก็ทำทุกอย่างได้ดีที่สุดตราบเท่าที่มีงบประมาณและมีเวลาทำ ส่วนใคร จะทำต่อวันข้างหน้าก็ไปว่ากันมา เราพยายามทำทุกอย่างให้ต่อเนื่องเพื่อวันข้างหน้า หลายคนไม่เข้าใจและไม่พอใจ หาว่าจะสืบทอดอำนาจ ผมจะสืบทอดปัญหาให้ท่าน เพราะถ้าผมทำไม่เสร็จ จะส่งปัญหาเหล่านี้ไปให้พวกท่านแก้ต่อ นั่นแหละเขาเรียกว่าสืบทอด สิ่งที่จะต้องทำให้กับประเทศ อันไหนที่เขาคิดว่าทำดีกว่าก็ให้ไปหาวิธีการใหม่ทำ” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

ซัดอีกคนบิดเบือน

นายกฯ กล่าวว่า ตนห่วงประเทศไทย ไม่ได้ห่วงประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยก็ต้องเป็นประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยที่ถูกต้องมันเป็นอย่างไร การเลือกตั้งที่ได้คนมีปัญหาเข้ามาจะทำอย่างไรกับเขา เข้าใจว่าการเลือกตั้งคงไม่ต่างจากของเดิม แต่มันต้องเลือกตั้ง ประเทศไทยมีอิสรภาพเยอะแยะ เราไม่ใช้อิสรภาพเหล่านี้เลย มัวแต่ทะเลาะเบาะแว้ง มัวแต่มีปัญหาแล้วยังไม่เข้าใจปัญหา และยังให้เป็นปัญหาต่อไป ให้นึกถึงลูกหลานกันบ้าง รัฐบาลนี้พยายามจะวาง พื้นฐานให้ ขอให้เข้าใจกันหน่อย ใครที่มาพูดบิดเบือน ทุกคนก็รู้อยู่ว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่ แต่ทุกคนก็เสนอข่าว กลายเป็นว่ารัฐบาลนี้ล้มเหลว ไม่ทำอะไร ไม่มีผลงาน

วันนี้ตนฝากแนวคิดมากไปนิด แต่ไม่ใช่ว่าตนไม่ฟังใครเลย น้ำเต็มแก้วมันไม่ใช่ เป็นเพราะตนฟังจนรู้ว่าปัญหาเยอะไปหมด จึงนำปัญหามารวมแล้วแก้ และเกิดปัญหาใหม่ จึงแก้ไม่จบสักอัน เพราะไม่เข้าใจและยังมีคนมาพูดจาให้เกิดความเสียหายอยู่ทุกวัน ขอร้องหากจะให้เครดิตเขาต่อไปตนก็ไม่รู้จะทำอย่างไร คิดว่าต้องลดการให้เครดิตเขาบ้าง ถ้าทุกคนคาดหวังจะให้ลูกหลานมีความสุขในวันข้างหน้า ซึ่งวันนี้ตนทำงานเกือบสองร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่ามาว่าไม่มีผลงาน ต้องไปถามที่ผ่านมาพวกเขามีผลงานอะไร ถูกต้องชอบธรรมเท่าเทียมจริงหรือไม่ แล้วเหตุใดยังมีงานมาให้ตนทำอีกเยอะ

สั่งสอบเหตุบึ้มหน้าโรงละคร

พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีเสียงดังคล้ายระเบิดเกิดขึ้นบริเวณหน้าโรงละครแห่งชาติ เมื่อเวลา 20.30 น.ของวันที่ 15 พ.ค.และมีผู้ได้รับบาดเจ็บว่า ตำรวจแถลงชี้แจงเบื้องต้นแล้วกำลังสืบสวนติดตามอยู่ ฝากประชาชนช่วยกันเฝ้าระวัง แม้ว่าสถาน การณ์จะดูปกติแต่อาจมีคนไม่ดีแอบแฝง อยู่ ไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนกและรัฐบาลก็ไม่อยากปิดบัง แม้ยากแต่ใครทำก็ต้องติดตามจับกุมให้ได้ วันนี้ได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร คสช.ไปดูทุกพื้นที่ ประชาชนช่วยกันเฝ้าระวัง ตรวจสอบกล้องวงจรปิด (ซีซีทีวี) และปรับปรุงคุณภาพกล้องให้ติดตามได้ชัดเจนมากขึ้นเพราะบางพื้นที่มีคุณภาพ ไม่ดี เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ทำกันมานานแล้ว ถึงเวลาต้องปรับปรุง ต้องใช้งบประมาณก็ต้องมาวางแผนกันให้ดีเป็นขั้นตอน

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า นายกฯ ได้สั่งการผ่านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกฯและรมว.กลาโหม และคสช. ให้เร่งตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริง หากพบว่าเป็นการสร้างสถานการณ์วุ่นวาย จะต้องติดตามจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือตามระเบียบของราชการ ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก เจ้าหน้าที่จะเร่งหาสาเหตุและทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้ประชาชนเกิดความอุ่นใจและปลอดภัย โดยขอความร่วมมือทุกฝ่ายร่วมกันเป็นหูเป็นตา หากพบวัตถุต้องสงสัยหรือเบาะแสการ กระทำผิด โปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบในที เพื่อดำเนินการโดยเร่งด่วนต่อไป

“บิ๊กป้อม”ระบุคนจ้องดิสเครดิต

ด้านพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกฯและรมว.กลาโหม กล่าวว่า ยืนยันว่าฝ่ายความมั่นคงมีมาตรการดูแล เพราะทันทีที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้เข้าติดตามสถานการณ์และชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนั้น ขอให้รอการสืบสวนสอบสวนจากตำรวจก่อน รวมถึงการตรวจภาพจากกล้องวงจรปิด ขณะเดียวกันการข่าวยังไม่พบว่ามีกลุ่มใด เตรียมก่อเหตุสร้างสถานการณ์วุ่นวาย ส่วนกรณีพบวัตถุต้องสงสัยที่จตุจักรนั้น การเข้าไปตรวจสอบเป็นมาตรการป้องกันพื้นที่ ขออย่านำมาโยงกัน และเอาไปเชื่อมโยงว่าเหตุดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับการแถลงผลงานครบรอบ 3 ปีของรัฐบาล

ตนได้พูดในที่ประชุมครม.เพื่อให้ทุกส่วนเพิ่มความระวังมากขึ้น และสำรวจกล้องซีซีทีวีในทุกพื้นที่โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และกรุงเทพฯ ให้ประสานกับตำรวจ หลังมีเหตุเสียงดังคล้ายระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ และช่วงนี้ใกล้ครบ 3 ปีการทำงานของ คสช.และรัฐบาล คิดว่าคงมีคนต้องการ ดิสเครดิตรัฐบาลและคสช.

มีทั้งฝ่ายเดียวกัน-ฝ่ายตรงข้าม

ผู้สื่อข่าวถามว่ามองว่ากลุ่มใดที่ต้องการ ดิสเครดิตรัฐบาล พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ไม่บอก เพราะถ้าไปโฟกัส บอกว่าใคร หากผิดขึ้นมาแล้วเขาฟ้องจะทำอย่างไร แต่จับตามองทุกคนที่ไม่หวังดีกับรัฐบาลและคสช. คิดว่ามีคนจ้องรัฐบาลมาตลอดทั้งที่เป็นฝ่ายเดียวกันและฝ่ายตรงข้าม

ต่อข้อถามว่าได้รับรายงานการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ในช่วงครบ 3 ปีบ้างหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า มี แต่น้อย และคิดว่าทำงานเป็นกลุ่มน้อย ใช้คน 1-3 คน ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวพยายามติดตามทุกพื้นที่ทั่วประเทศ แต่คงไม่มีใครมาลูบคมการทำงานของตน เพราะไม่มีคมจะให้ลูบ ขอให้สบายใจได้ว่าเราทำทุกอย่างเพื่อให้ความสงบเรียบร้อยขึ้นในประเทศ

สาวลึกโยงบึ้มกองสลากหรือไม่

พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เผยว่าหลังเกิดเหตุระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ ฝ่ายความมั่นคงมิได้นิ่งนอนใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พล.อ. ประวิตร สั่งการให้ตำรวจร่วมกับฝ่ายความมั่นคงร่วมกันตรวจสอบพิสูจน์ทราบสาเหตุที่แท้จริง และเร่งรัดติดตามตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้โดยเร็ว โดยให้ติดตามดูความเชื่อมโยงลึกไปถึงกลุ่มบุคคลไม่หวังดี ที่อยู่เบื้องหลังและเหตุการณ์ระเบิดที่เคยเกิดขึ้นหน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมา พร้อมกำชับให้ฝ่ายความมั่นคง มีความตื่นตัวและเพิ่มความระมัดระวังในการดูแลความปลอดภัยของประชาชนในสถานที่สำคัญๆ ที่เป็นแหล่งชุมชนและสถานีขนส่ง ควบคู่กับงานการข่าวและเครือข่ายภาคประชาชนอย่างใกล้ชิด

การกระทำรุนแรงดังกล่าวมีประชาชนได้รับบาดเจ็บ แม้จะไม่ประสงค์ต่อชีวิตแต่กระทบต่อความเชื่อมั่นและความท้าทายร่วมกัน ที่เรากำลังปฏิเสธการใช้ความรุนแรงในสังคม จึงขอความร่วมมือประชาชนร่วมกันติดตาม เฝ้าระวังและสังเกตพฤติกรรมปกปิดของบุคคลที่ไม่หวังดี หากพบเห็นขอให้ร่วมกันบันทึกภาพและแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในสังคม

ยอมรับเป็นบททดสอบของจนท.

ด้าน พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคสช. กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ดังกล่าวคือบททดสอบที่สำคัญอีกครั้งในเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัย เพราะบางจุดอาจรอดสายตาเจ้าหน้าที่ จนเกิดเหตุการณ์ ดังกล่าว ซึ่งจะเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้มากขึ้น เพื่อลดช่องว่างตรงนี้ ให้ได้

“เหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ใกล้พื้นที่สนามหลวง มีประชาชนทยอยเข้าไปสักการะ พระบรมศพ เมื่อเกิดเสียงดังทำให้ประชาชนตกใจ หวาดกลัว ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าเหตุ การณ์ดังกล่าวคืออะไร ต้องรอความชัดเจนจากเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดอีโอดีว่ามีเจตนาหรือไม่เจตนา และใครเป็นผู้ลงมือ ก่อเหตุ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจ เช็กว่าพื้นที่ดังกล่าวมีกล้องวงจรปิดหรือไม่” พ.อ.ปิยพงศ์กล่าว

สมช.เปรยอาจแค่อุบัติเหตุ

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยซึ่งกำกับดูแลกรุงเทพมหานครและผู้ว่าฯกทม. ได้สั่งการให้ทุกฝ่ายดูแลทั้งในเชิงรับและเชิงป้องกัน ให้เจ้าหน้าที่ทำความสะอาดคอยตรวจดูสิ่งผิดปกติ หากพบเจอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที นอกจากนี้ยังกำชับให้ดูกล้องซีซีทีวีให้ใช้การได้

พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภา ความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวว่า ต้อง รอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าไปเก็บรายละเอียดและรวบรวมหลักฐานก่อน จากสภาพภายนอกเห็นว่าท่อแตก แต่สาเหตุว่าทำไมถึงแตก ขณะนี้อยู่ระหว่างการเก็บหลักฐานว่าเกิดจากอะไร อาจเป็นเพียงอุบัติเหตุ ฉะนั้นอย่าเพิ่งตกใจ เพราะการควบคุมดูแลพื้นที่บริเวณดังกล่าวถือว่าเข้มงวดมาก อย่างไร ก็ตาม นายกฯ ยังไม่กำชับอะไร คิดว่าคงสั่งการในที่ประชุมครม.และต้องตรวจสอบรายละเอียดของหลักฐานก่อนว่ามีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ใดหรือไม่

ผู้สื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้ก่อเหตุต้องการสร้างความปั่นป่วนในช่วงนี้ พล.อ. ทวีปกล่าวว่า ในทางการข่าวที่จะนำมาประกอบและวิเคราะห์ด้านความมั่นคง ระดับเจ้าหน้าที่จะต้องคิดถึงเรื่องร้ายเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าครอบคลุมทุกประเด็น ต้อง คิดให้รอบคอบ คิดทุกประเด็นว่าถ้าเป็นประเด็นนี้จะหาสาเหตุว่ามาจากอะไร

“บิ๊กปุย”ย้ำกองทัพทำงานเต็มที่

ที่กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ. สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ ผบ.สส. กล่าวถึงกรณีเกิดเสียงดังคล้ายระเบิดบริเวณโรงละครแห่งชาติและวัตถุต้องสงสัยสวนจตุจักรเมื่อคืน วันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า กองทัพเข้มงวดเรื่องการดูแลความมั่นคง โดยเฉพาะการรักษาความปลอดภัยซึ่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และเป็นหน้าที่ของทุกหน่วย ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทำงานอย่างเต็มที่ และคาดว่าสถาน การณ์จะคลี่คลาย ขณะนี้ขอให้เป็นหน้าที่ของตำรวจสืบสวนสอบสวนถึงกรณีดังกล่าว

เมื่อถามว่าเป็นการสร้างสถานการณ์หรือเป็นอุบัติเหตุ พล.อ.สุรพงษ์กล่าวว่า ขอให้เป็นหน้าที่ของตำรวจชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าว ส่วนจะเกิดจากสาเหตุอะไรนั้น จะต้องดูรายละเอียดและรอฟังขอมูลจากเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด คงต้องใช้เวลาสักระยะถึงจะได้ความชัดเจน

ตำรวจพบชิ้นส่วนตั้งเวลา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเกิดเหตุระเบิดบริเวณโคนต้นไม้บนทางเท้าใกล้เสาไฟฟ้า หน้าโรงละครแห่งชาติ ข้างสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า ใกล้จุดรอรถรับส่งฟรี ถนนราชินี มุ่งหน้าถนนพระอาทิตย์ ย่านสนามหลวง แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กทม. แรงระเบิดทำให้ท่อพีวีซี ขาตั้งป้ายแสดงบอร์ดแผนผังท้องสนามหลวงที่มัดอยู่กับเสาไฟฟ้าแตกหักเป็นท่อน มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 2 ราย จากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบสารประกอบระเบิด

เมื่อวันที่ 16 พ.ค. ความคืบหน้าที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) มีรายงานว่า ชุดสืบสวนบก.สส.บช.น. กก.สส.บก.น.1 และฝ่ายสืบสวนสน.ชนะสงคราม ตรวจสอบที่เกิดเหตุอีกครั้งเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญ คือ ไอซี ไทเมอร์ หนึ่งในชิ้นส่วนใช้ประกอบระเบิดไปป์บอมบ์ตกบริเวณพื้นห่างจากจุดที่เกิดเหตุระเบิดประมาณ 15 เมตร จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบด้วยว่า ไอซีไทเมอร์ดังกล่าว ลักษณะเดียวกันเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดไปป์บอมบ์ที่บริเวณหน้ากองสลากเก่า ถนนราชดำเนินกลาง เมื่อช่วงค่ำวันที่ 5 เม.ย. ที่ ผ่านมา ด้วยการใช้ไทเมอร์เป็นตัวจุดระเบิดโดยการตั้งเวลา

ตรึงกำลังรอบจุดเกิดเหตุ

มีรายงานด้วยว่า ชุดสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีระเบิดหน้ากองสลากเก่า สันนิษ ฐานว่า จากหลักฐานไอซีไทเมอร์ที่พบจากเหตุระเบิดบริเวณหน้าโรงละครแห่งชาติน่าจะเป็นคนร้ายรายเดียวกันกับเหตุระเบิดหน้ากองสลากเก่า ชุดสืบสวนเชื่อว่าคนร้ายมีความเชี่ยวชาญการประกอบระเบิดเป็นพิเศษ เนื่องจากเหตุระเบิดล่าสุดมือระเบิดได้ประกอบระเบิดให้มีขนาดเล็กกว่าระเบิดหน้ากองสลากเก่า หลังจากเกิดระเบิดแล้วทำให้หลักฐานต่างๆ ที่ใช้ประกอบระเบิดถูกทำลายไปด้วย ไม่เหลือหลักฐานเหมือนกับเหตุระเบิดครั้งแรกที่หน้ากองสสากเก่า เจ้าหน้าที่จึงตรวจสอบไม่พบสารประกอบระเบิด และวัสดุที่ใช้หุ้มดินระเบิดที่อาจถูกทำลายไปพร้อมกัน ผู้ก่อเหตุลงมือเพื่อต้องการสร้างสถานการณ์ไม่ได้มุ่งประสงค์ต่อชีวิตแต่อย่างใด

ส่วนกรณีที่พบท่อพีวีซีขาตั้งป้ายแสดงบอร์ดแผนผังท้องสนามหลวงแตกเป็นท่อนๆ สันนิษฐานว่า คนร้ายวางระเบิดไปป์บอมบ์ไว้ใกล้ๆ แรงระเบิดจึงทำให้ท่อพีวีซีดังกล่าวแตกหัก

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ได้นำแผงเหล็กมากั้นโดยรอบจุดที่เกิดเหตุ นำยูโรเทป สีดำเหลือง (เขตระวัง) มากั้นที่นอกแผงเหล็กอีกชั้นหนึ่ง ขณะที่จุดดังกล่าวเดิมเป็นจุดบริการขึ้น-ลงรถ จุดที่ 3 ให้กับผู้เดินทางมาถวายสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ย้ายออกห่างจากจุดที่เกิดเหตุมาประมาณ 15 เมตร โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดูแลรักษาความปลอดภัยตลอดเวลา

“ศรีวราห์”สั่งเช็กวงจรปิด

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ. ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. ด้านความมั่นคง กล่าวว่า เบื้องต้นได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร ผบช.น. ตรวจสอบ กล้องวงจรปิดบริเวณโดยรอบ ซึ่งขณะนี้ยัง ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นระเบิด หรืออุบัติเหตุ ต้องรอการตรวจสอบให้ชัดเจนเสียก่อนว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด ส่วนกรณีที่ทางทหาร ออกมาระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะเป็น การสร้างสถานการณ์เหมือนกับเหตุระเบิดบริเวณถังขยะหน้ากองสลากกินแบ่งเดิม เมื่อวันที่ 5 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น ตนไม่ทราบ ยังไม่ได้รับรายงาน ซึ่งก็ต้องตรวจสอบในประเด็นที่หลายฝ่ายสงสัย

พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข ผู้บังคับ การกองพิสูจน์หลักฐานกลาง (ผบก.พฐก.) สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้ไปเก็บวัตถุพยาน ในที่เกิดเหตุตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา จากการตรวจสอบสภาพที่เกิดเหตุไม่พบการเผาไหม้หรือเขม่าอย่างชัดเจน พบเพียงท่อพีวีซีที่ใช้ยึดป้ายโฆษณาที่มีการแตกหัก ซึ่งเก็บมาตรวจ พิสูจน์ครบทุกชิ้น พร้อมกับวัตถุพยานอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณจุดเกิดเหตุ แต่ไม่พบ คนเจ็บเนื่องจากเมื่อเจ้าหน้าที่ไปถึง ผู้ได้รับบาดเจ็บเดินทางกลับแล้ว

ราว 1-2 วันรู้ผล

พล.ต.ต.ธวัชชัยกล่าวว่า แม้จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุไม่พบการเผาไหม้ เขม่าหรือร่องรอยสารระเบิด โดยลักษณะเบื้องต้นเหมือนท่อแตกระเบิดเอง แต่กองพิสูจน์หลักฐานต้องตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อยืนยันผลที่ชัดเจน โดยนำชิ้นส่วนวัตถุพยานทั้งหมด เข้าห้องปฏิบัติการ ไปสกัดหาสารต่างๆ ที่ติดแฝงอยู่ ซึ่งพบติดอยู่น้อยมาก บางครั้งไม่สามารถเห็นด้วยตาเปล่า จึงต้องนำไปเข้าเครื่องมือสกัด จากนั้นต้องตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นสารใด มีส่วนประกอบ ของสารระเบิดหรือไม่ เพื่อความชัดเจน ในการยืนยันสาเหตุ การเกิดเสียงดังคล้ายระเบิดครั้งนี้ ถึงตรวจสอบหารอยนิ้วมือแฝงและดีเอ็นเอต่างๆ ที่ติดอยู่

เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่มีการใช้สารประกอบระเบิด แต่ไม่สามารถตรวจสอบได้ พล.ต.ต.ธวัชชัยกล่าวว่า เป็นไปได้หากสารที่หลงเหลืออยู่ปริมาณน้อยมากจนไม่สามารถสกัดด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ได้ หรือกรณีที่การเผาไหม้สมบูรณ์มากจน ไม่หลงเหลือสารใดที่บ่งชี้ได้ อย่างไรก็ตามกรณีนี้ใช้เวลาในการตรวจสอบหาสารที่ติดอยู่ในวัตถุพยาน ประมาณ 1-2 วันจึงจะทราบ ผลและพอจะชี้ได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด

กทม.เข้มคัดกรองคนเข้าออก

ที่หน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เขตพระนคร พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้ว่าฯกทม. นำทีมฝ่ายความมั่นคงของกทม. ลงพื้นที่บริเวณจุดเกิดเหตุคล้ายเสียงระเบิดหน้าโรงละครแห่งชาติ โดยเจ้าหน้าที่ได้ล้อมรั้วเป็นพื้นที่ห้ามเข้า เพื่อให้ตำรวจได้ดำเนินการ

พล.ต.ท.อำนวย กล่าวว่า หลังเกิดเหตุ กอร.รส เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ประสานภาพจากกล้องวงจรปิดของกทม.แล้ว ซึ่งทุกจุดอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน แต่จะยังไม่เปิดเผยภาพเหตุการณ์ในขณะนี้ ทั้งนี้เตรียมขยายพื้นที่คัดกรองบุคคลเข้าออก ในระยะทาง 2 กิโลเมตร ก่อนถึงท้องสนามหลวง ทั้งบนถนนสายหลัก และซอยแคบอันตราย เพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่าย และยังคงจุดคัดกรองเดิมที่สนามหลวง พร้อมตรึงกำลัง ตำรวจ ทหาร เทศกิจ และจิตอาสา ช่วยสอดส่องดูแล ซึ่งตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา กอร.รส และกทม. เข้ามาดูแลในพื้นที่ เกิดเหตุระเบิดหน้ากองสลากเก่า บริเวณถนนราชดำเนินเพียงครั้งเดียว ส่วนเหตุการณ์ในครั้งนี้ต้องให้ตำรวจพิสูจน์ข้อเท็จจริงก่อน ตนไม่อยากให้ประชาชนวิตกกังวล

จ่อออกคำสั่งคสช.แก้ปมคตง.

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงผลการประชุมคสช.ว่า คสช. เห็นชอบให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 23 เรื่องการสรรหาคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) และผู้ว่าฯสตง. โดยคตง.จะครบวาระการดำรงตำแหน่ง ในเดือนก.ย.นี้ ทั้ง 5 คน หลังจากที่ 2 คนได้ลาออกไปแล้ว แต่เนื่องด้วยคำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับที่ 23 กำหนดไว้ชัดเจนว่า ในการสรรหาคตง. จะต้องตั้งคณะกรรมการคัดเลือกขึ้นมาให้ได้ภายใน 15 วัน แล้วต้องสรรหาให้ได้ภายใน 180 วัน แต่จนถึงบัดนี้ยังไม่ได้ตัวคณะกรรมการมาคัดเลือกกรรมการสรรหาเลย เป็นนัยว่าตั้งสเป๊กเอาไว้สูง ซึ่งรัฐบาลหรือคสช.ไม่ได้กำหนดสเป๊กนั้นขึ้น แต่เป็นคุณสมบัติที่ถูกกำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงให้ออกคำสั่งใหม่ โดยขยายเวลาคัดเลือกคณะกรรมการเพื่อสรรหาคณะกรรมการคตง.

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า การที่องค์กรอิสระจะต้องส่งตัวแทนมาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสรรหา ต้องไม่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการที่องค์กรนั้นกำลังจะสรรหา แต่คตง.ตีความว่าสามารถส่งตัวแทนของตัวเองได้ จึงต้องเขียนให้ชัดเพื่อไม่ให้ตีความคลาดเคลื่อน ส่วนการกำหนดเวลาให้สรรหาได้ภายใน 180 วัน นับตั้งแต่คำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 23 มีผลบังคับใช้ แต่คตง.ตีความไม่ตรงกับเจตนา โดยไปตีความว่านับตั้งแต่ที่หมดวาระในเดือนก.ย.นี้ ฉะนั้น ในคำสั่ง หัวหน้าคสช.ฉบับใหม่ จะเขียนให้ชัดเจน ซึ่งจะได้ออกคำสั่งหัวหน้าคสช. ในเร็วๆนี้

ตั้งกก.เฉพาะกิจแก้หนี้เกษตรกร

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุมคสช.เห็นชอบออกคำสั่งหัวหน้าคสช. ตามอำนาจมาตรา 44 จัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจหนึ่งคณะ มีเวลาปฏิบัติงาน 6 เดือน เพื่อทำภารกิจเฉพาะหน้า หากยังไม่สำเร็จ ให้เสนอครม.เพื่อขอขยายเวลาทำงาน โดยให้ทำหน้าที่แก้ปัญหาเกษตรกร 15,000 คนที่มีวงเงินหนี้ 3,000 ล้านบาท และจะถูกบังคับคดี และให้ดูแลเกษตรกร 21,500 ราย ที่มีวงเงินหนี้ 7,000 บาท

นอกจากนั้นให้ศึกษาจุดอ่อนของพ.ร.บ. ว่าด้วยการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร ที่ไม่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา และให้เสนอแนวทางแก้ปัญหาต่อครม.เป็นการถาวร เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยพ.ร.บ.ว่าด้วยการฟื้นฟูและพัฒนาเกษตร ซึ่งมีคณะกรรมการ 3 คณะ ประกอบด้วย คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟู คณะกรรมการบริหารกองทุน และคณะกรรมการจัดการหนี้ของเกษตรกร ยังมีปัญหาการดำเนินงาน ทั้งลาออก ถูกประเมินงานไม่ผ่าน และผู้แทนเกษตรกรที่จะมาเป็นองค์ประกอบนำไปสู่การสรรหากรรมการ มีปัญหา ทำให้เกษตรกรที่มีหนี้สิน 15,000 ราย เกิดอุปสรรค จึงต้องมีคณะกรรมการเฉพาะกิจมาแก้ปัญหา

“พิเชฐ”ยันกม.ไซเบอร์ไม่มีล้วงตับ

นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวก่อนประชุมครม.กรณีคณะกรรมาธิการ(กมธ.) ขับเคลื่อน การปฏิรูปประเทศ ด้านสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เสนอให้หัวหน้าคสช. ใช้มาตรา 44 แต่งตั้งคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กปช.) โดยมีนายกฯ เป็นประธาน ระหว่างที่ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษา ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. … ยังพิจารณาไม่เสร็จว่า ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเป็น การดำเนินการตามขั้นตอน เพราะเป็นเรื่องที่ต้องคุ้มครองสังคม การที่จะคุ้มครองต้องกำหนดหลักเกณฑ์ โดยดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม

ส่วนที่กังวลว่าเจ้าหน้าที่จะล้วงข้อมูล ได้นั้น คงไม่เกี่ยว เนื่องจากเป็นการคุ้มครองป้องกันฐานข้อมูลทั้งในภาครัฐและเอกชน และข้อมูลต่างๆ ของประชาชน ยืนยันว่า เราทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ของสังคม ขออย่ากังวล สิ่งที่เราทำไม่เข้าข่ายล้วงข้อมูล แต่ประกาศให้เจ้าของข้อมูลช่วยเหลือตัวเอง

ให้สิทธิชาวบ้านเหมือนเดิม

ที่รัฐสภา พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธานกมธ.ด้านการสื่อสารมวลชน สปท. กล่าวถึงที่ประชุมสปท.รับทราบรายงานผลการศึกษาและข้อสังเกตร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า ขั้นตอนจากนี้ สปท.จะส่งร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวที่กมธ.ได้ปรับปรุงแก้ไขไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา เพราะก่อนหน้านี้ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ได้รับความเห็นชอบจากครม.แล้ว ส่วนข้อท้วงติงเนื้อหาที่หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดสิทธิเสรีภาพการแสดงออกของประชาชนนั้น ไม่ต้องห่วง ประชาชนยังมีสิทธิเสรีภาพการแสดงออก เช่นเดิม

ส่วนกรณีที่จะสั่งปิดเว็บหรือระงับการเผยแพร่ข้อมูล ต้องได้รับการอนุญาตจากศาลก่อน แต่การแสดงความเห็นทางโลกออนไลน์ยังทำได้เช่นเคย แต่ต้องไม่ใช่ข้อความเฮตสปีช สร้างความแตกแยก เกลียดชัง หรือกระทบต่อเสถียรภาพความมั่นคงประเทศ หากไปโพสต์ข้อความเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับกปช.จะพิจารณาว่า เข้าข่ายการทำผิดตามกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งกปช.ต้องเรียกผู้กระทำผิดมาสอบถามข้อมูล และพิจารณาอย่างรอบคอบ ก่อนมีมติออกมา หากเจ้าหน้าที่ดำเนินการเกินกว่าเหตุจะมีความผิดเช่นกัน

ออกกติการับมือถูกโจมตี

พล.อ.อ.คณิตกล่าวว่า ส่วนการให้อำนาจ กปช.เข้าถึงข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ของเอกชนได้นอกเหนือจากหน่วยงานรัฐนั้น เนื่องจากการใช้กฎหมายต้องไม่เลือกปฏิบัติ ต้องใช้บังคับกับทุกคนในมาตรฐานเดียวกัน เพราะการโจมตีทางคอมพิวเตอร์ไม่เลือก ว่าจะเป็นของรัฐบาลหรือเอกชน เหมือนกระแสน้ำ ถ้าน้ำท่วมก็ท่วมหมดไม่เลือกว่าบ้านคนรวยหรือคนจน จึงต้องออกกฎหมายควบคุมบังคับใช้ให้เหมือนกันหมด เราต้อง เตรียมรับมือการโจมตีทางไซเบอร์ เพราะ เชื่อว่ามันมาแน่ ยังไงก็ต้องเจอ จึงจำเป็นต้องออกกติกาคอยควบคุมไว้

ส่วนการปรับปรุงร่างพ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐาน วิชาชีพสื่อมวลชน เพื่อส่งให้ครม.พิจารณานั้น ในวันที่ 16 พ.ค. กมธ.จะประชุมนัดสุดท้าย เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย ก่อนส่งให้ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสปท. เพื่อส่งต่อให้ครม.นำไปดำเนินการต่อไป คาดว่าจะส่งร่างกฎหมายให้ประธานสปท.ได้วันที่ 16 พ.ค. โดยเนื้อหาที่ปรับปรุงแก้ไขมีเพียงประเด็นเดียวคือ การยกเลิกการขึ้นทะเบียนใบประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน โดยเปลี่ยนเป็นการออกใบรับรองวิชาชีพ สื่อมวลชนโดยต้นสังกัดแทน พร้อมยกเลิกบทลงโทษสื่อและต้นสังกัด กรณีไม่ดำเนินการขึ้นทะเบียนวิชาชีพสื่อมวลชน

เพื่อไทยข้องใจขัดรธน.หรือไม่

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีตรมว.เทคโน โลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และแกนนำพรรคเพื่อไทยว่า ตามร่างกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ให้ กปช. มีอำนาจเข้าถึงข้อมูลประชาชนได้ แม้จะระบุต้องได้รับการอนุญาตจากศาลก่อน แต่มีข้อยกเว้นกรณีฉุกเฉิน สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ก่อนแล้วค่อยรายงานต่อศาลในภายหลัง ซึ่งหลายคนตั้งคำถามในเรื่องนี้ ทั้งที่รัฐธรรมนูญให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนการแสดง ออกภายใต้กฎหมายไว้อย่างชัดเจน

“กฎหมายฉบับนี้ดูเหมือนจะขัดแย้งกับบทบัญญัติสูงสุดของประเทศหรือไม่ อำนาจที่ให้ กปช.ไว้จะทำให้รัฐเข้าไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือไม่ ผมอยากให้รัฐทบทวนเรื่องดังกล่าวให้ละเอียดถี่ถ้วน และไม่อยากเห็นกฎหมายที่ออกมาแล้วขัดแย้ง กับรัฐธรรมนูญ ไม่อยากเห็นกฎหมายเข้ามาละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน กฎหมายฉบับนี้ควรออกมาเพื่อคุ้มครองประชาชน ไม่ใช่ออกมาควบคุมประชาชน” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

เมื่อถามว่ามองว่าการกฎหมายดังกล่าวเพื่อตรวจสอบฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยหรือไม่ น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า ในร่างกฎหมายไม่ได้ระบุว่าจะใช้กับคนใดคนหนึ่ง เพราะกฎหมายจะบังคับใช้กับคนไทยทั้งประเทศ แต่การออกกฎหมายที่เปิดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะฝ่ายที่มีอำนาจรัฐเข้าไปควบคุมประชาชน จะถูกตั้งคำถามว่าออกกฎหมายดังกล่าวมีวัตถุประสงค์หรือเจตนาไปควบคุมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นพิเศษหรือไม่

ปชป.แนะฟังความเห็นรอบด้าน

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เข้าใจว่าโลกเปลี่ยนแปลงไป เมื่อจะออกกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. … ต้องคำนึง ระมัดระวังจะกระทบสิทธิเสรีภาพ ของประชาชนเนื่องจากมีภาครัฐเข้าไปเกี่ยวด้วย โดยเฉพาะนายกฯ หรือนักการเมือง ต้องระวังการใช้อำนาจรัฐเข้าไปแทรกแซง ไปละเมิดสิทธิหรือเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ต้องระวังการใช้อำนาจรัฐมิชอบ ไปกลั่นแกล้ง หรือไปไกลถึงขั้นรัฐมาใช้ประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ ระหว่างออกกฎหมาย ควรเปิดโอกาสรับฟังความเห็นรอบด้านจากประชาชน นักวิชาการที่เชี่ยวชาญเรื่องไอทีให้รอบด้าน เพื่อให้การใช้กฎหมายเป็นไปเพื่อประโยชน์ประเทศอย่างแท้จริง รวมถึงป้องกันภัยความมั่นคงไปในตัวด้วย

นายองอาจกล่าวถึงกรณีสปท. เสนอให้นายกฯ ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกกฎหมาย ปฏิรูปประเทศ 36 ฉบับว่า ไม่เห็นด้วยเพราะข้ออ้างว่าหากดำเนินตามขั้นตอนปกติ กฎหมายจะออกมาบังคับใช้ไม่ทันภายในปี 2560 เนื่องจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีภาระงานล้นมือนั้น เป็นข้ออ้าง ที่ฟังไม่ขึ้น การใช้มาตรา 44 ควรเป็นเรื่องที่จำเป็นเร่งด่วนจริงๆ

ค้านใช้ม.44 ดันกฎหมายปฏิรูป

นายองอาจกล่าวว่า การใช้มาตรา 44 เร่งออกกฎหมายอาจทำให้ได้กฎหมายที่ ไม่มีความสมบูรณ์เพียงพอ ไม่ได้ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลายจากสังคม ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่ไม่ได้รับการยอมรับ นอกจากนั้นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ บัญญัติให้มีคณะกรรมการปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า กำหนดแผนและขั้นตอนการปฏิรูปต่างๆ ดังนั้น เรื่องนี้ควรให้เป็นเรื่องของคณะกรรมการปฏิรูปแห่งชาติเข้ามาสานต่อตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติจะดีกว่า

“เข้าใจว่าสปท. คงอยากสร้างผลงานว่ามีผลงานการปฏิรูปเยอะๆ แต่ผลงานเยอะๆ ที่ไม่ถูกที่ถูกเวลาไม่น่าจะเกิดประโยชน์ ยิ่งพยายามใช้มาตรา 44 ทำกฎหมายปฏิรูป ก็พอมองเห็นหนทางข้างหน้าว่าจะปฏิรูปได้จริงหรือไม่ ฉะนั้นควรปล่อยให้กฎหมายปฏิรูปเกิดขึ้นตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญน่าจะเหมาะสมกว่า” นายองอาจกล่าว

“มาร์ค”เสนอตัวนั่งหน.พรรคต่อ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีมีอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์บางคน ระบุจะขอลาออกจากพรรคหากหัวหน้าพรรคไม่ใช่คนเดิมว่า เรื่องนี้ไม่มีอะไร เนื่องจากพรรคมีการเลือกกรรมการบริหารตามวาระอยู่แล้ว และปีนี้ใกล้จะครบวาระแล้ว อีกทั้งพ.ร.บ.พรรค การเมืองคงกำหนดให้เลือกกรรมการบริหารพรรคใหม่ด้วย ซึ่งพรรคมีความเป็นประชา ธิปไตย ที่ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ เสนอตัวแข่งขันเป็นหัวหน้าพรรคอยู่แล้ว

เมื่อถามว่าสมัยหน้าจะยังเป็นหัวหน้าพรรคเหมือนเดิมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนทำงานเต็มที่ในฐานะหัวหน้าพรรค ที่ผ่านมาไม่ได้มีอุปสรรคในการทำงานกับเพื่อนๆ ในพรรค ทิศทางต่างๆ เราก็เห็นพ้องต้องกันว่าจะทำอย่างไร แต่ตนต้องเคารพความเห็นของสมาชิกที่จะเลือก ซึ่งตนพร้อมเสนอตัวเป็นหัวหน้าพรรค และเดินหน้า ต่อไปเพื่อทำให้พรรคเป็นที่พึ่ง และเป็น คำตอบของสังคม ส่วนที่มีข่าวอดีตแกนนำ กปปส. ที่เป็นอดีต ส.ส.พรรค จะเข้ามาควบคุมพรรคนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีบางคนอยากกลับเข้ามาทำงานกับพรรค ซึ่งไม่มีปัญหา ส่วนตัวยังคุยกับพวกเขาปกติดี

กมธ.เล็งแก้ค่าสมาชิกพรรค

ที่รัฐสภา นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ โฆษกคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการ เมือง สนช. แถลงผลการประชุมว่า ขณะนี้มีสมาชิกสนช.ทยอยเสนอคำแปรญัตติเพื่อขอแก้ไขเนื้อหาในร่างพ.ร.บ.เป็นจำนวนมาก หลังจากมีการสัมมนาของสนช.เพื่อสอบถามความเห็นร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวในสัปดาห์นี้ คาดว่าที่ประชุมกมธ.จะเชิญสมาชิกสนช.ที่เสนอคำแปรญัตติมาชี้แจงต่อไป

ประเด็นที่กมธ.หารือและมีแนวโน้มจะแก้ไข คือ จำนวนเงินค่าสมาชิกพรรค โดยมีข้อเสนอ 3 แนวทาง 1.ให้คงไว้ตามเดิมที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เสนอ คือ เก็บ 100 บาทต่อปี 2.เก็บค่าสมาชิกพรรคไม่เกิน 100 บาท และ 3.ไปกำหนดในบทเฉพาะกาลว่าปีแรกหลังประกาศใช้กฎหมายพรรคการเมืองฉบับใหม่ ไม่ต้องเก็บค่าสมาชิกพรรค เพื่อให้แต่ละส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น พรรค ธนาคาร ไปออกแบบจะอำนวยความสะดวกให้สมาชิกพรรคจ่ายค่าบำรุงพรรคอย่างไร แต่เมื่อพ้น 1 ปีไปแล้วจะเก็บค่าสมาชิกพรรคเท่าไร ทางกมธ.จะกำหนดจำนวนเงินอีกครั้ง ทั้งนี้ ตัวแทนของกรธ.ที่เข้ามาเป็นกมธ.ยังคงยืนยันให้เก็บค่าสมาชิกพรรค เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน

แอมเนสตี้นัดรวมตัวผู้กล้า

วันเดียวกัน แอมเนสตี้เปิดโครงการรณรงค์ “กล้า” (BRAVE) เพื่อยุติการคุกคาม นักปกป้องสิทธิมนุษยชนทั่วโลก ปัจจุบันแกนนำชุมชน นักกฎหมาย ผู้สื่อข่าว นักปกป้องสิทธิมนุษยชน เผชิญกับการปราบปราม การคุกคาม ความรุนแรงในระดับที่ ไม่เคยเป็นมาก่อน กว่า 68 ประเทศทั่วโลก นักปกป้องสิทธิฯ ถูกจับกุม ควบคุมตัวโดยพลการมากกว่า 94 ประเทศทั่วโลกโดนทำร้าย ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากร ถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง ต่อการพัฒนาหรือต่อคุณค่าดั้งเดิมของประเทศ มีความพยายามพุ่งโจมตีถึงขั้นทำให้เสียชีวิตมากขึ้น จากข้อมูลขององค์กรภาคประชาสังคม Front Line Defenders ระบุในปี 2559 มีผู้ถูกสังหาร 281 คนทั่วโลก เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่มียอด 156 คน

นางปิยนุช โคตรสาร ผอ.แอมเนสตี้ฯประเทศไทย กล่าวว่า เหล่าผู้กล้าต้องการ ผู้กล้าเพื่อสนับสนุนช่วยกันสร้างโลกที่ดี ซึ่งสำหรับไทย องค์การ PROTECTION international (PI) เผยสถิติในรอบ 20 ปี มีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนถูกสังหาร สูญหาย 59 คน โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ ภาคใต้ ถูกสังหารและบังคับให้สูญหายมากที่สุด ความคืบหน้าทางคดี หากมองย้อน หลังไป 35 ปี พบว่าประเทศไทยมีการบังคับสูญหาย 90 กรณี แต่ 81 กรณียังไม่ได้รับ การแก้ไขจนถึงทุกวันนี้ จะมีกิจกรรมรวมตัว “ผู้กล้า” ในวันที่ 23 พ.ค.นี้ บริเวณสวน ลุมพินี ถึงเวลาต้องร่วมมือกัน สนับสนุนการทำงานที่กล้าหาญของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนทำงานอย่างปลอดภัย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน