คสช.ไม่ให้ราคา “โกตี๋” ปมโยงเหตุบึ้มร.พ.พระมงกุฎฯ เป็นฝีมือทหาร ระบุไม่มีใครเชื่อนักโทษหนีคดี ด้านโฆษกกลาโหม ก็ชี้ปมอ้างฝึกกองกำลังต่อต้านรัฐบาลทหาร ไม่ตรงความต้องการของสังคมที่พัฒนาอยู่ในยุคที่ไม่ใช้ความรุนแรง กอร.รส. ร่วมตำรวจ ทหาร และกทม. อบรม 1,000 อส. คอยดูสิ่งผิดปกติแจ้งเหตุร้ายรอบสนามหลวง สวนดุสิตโพลเผยผลสำรวจชาวไทยส่วนใหญ่เชื่อเหตุระเบิดที่เมืองหลวงหวังสร้างความวุ่นวาย รองมาเป็นจุดประสงค์ทางการเมือง ส่วนกรณีนักการเมืองวิจารณ์ 3 ปี คสช. ส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นสิทธิ์ที่ทำได้

เมื่อวันที่ 27 พ.ค. พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช. กล่าวถึงนายวุฒิพงศ์ หรือ โกตี๋ กชธรรมคุณ แกนนำเสื้อแดง จ.ปทุมธานี กล่าวผ่านรายการ youtube thaisvoice ของนายจอม เพชรประดับ ระบุเหตุการณ์ระเบิดที่ร.พ.พระมงกุฎเกล้า เป็นฝีมือทหารที่ทำกันเองว่า ต้องถามว่าประชาชนฟังคำพูดของคนหนีคดีด้วยหรือ คนประเภทแบบนี้มีเครดิตพอจะพูดให้คนรับฟังได้หรือ เชื่อว่าคนไทยมีความรู้ มีวิจารณญาณคงไม่สนใจคำพูดของคนเหล่านี้ คนที่สร้างเรื่อง สร้างราว มีคดีติดตัวตลอดชีวิต หนีคดีไปต่างประเทศ

เมื่อถามว่าขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมีการประสานกับทางการประเทศลาวติดตามตัวนายวุฒิพงศ์หรือไม่ พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวว่า ยังติดตามตัวอยู่ ขณะนี้ยังประสานขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังยืนยันไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน และยังต้องติดตามตัวต่อไป และเชื่อว่าอยู่อย่างไม่มีความสุข เพราะอยู่ในสถานะมีคดีหลบหนี

ด้านพล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีนายวุฒิพงศ์พูดในรายการเดียวกันว่า กำลังฝึกนักรบพลเรือนเพื่อโค่นรัฐบาลทหารว่า สังคมในขณะนี้เป็นสังคมที่พัฒนาอยู่ในยุคที่ไม่ใช้ความรุนแรง เราไม่รู้ว่าสิ่งที่นายวุฒิพงศ์ทำอยู่ขณะนี้ตรงกับความต้องการของประชาชนหรือไม่ เพราะว่าสังคมปัจจุบันเป็นสังคมที่มีการพูดคุยพูดจากันไม่ใช้ความรุนแรงแล้ว จึงไม่แน่ใจว่าการปลุกระดมของนายวุฒิพงศ์ จะได้รับการตอบรับจากประชาชนหรือไม่ อย่างไรก็ตามนายวุฒิพงศ์ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะสิ่งที่เขาทำขัดต่อกฎหมายและเป็นการบ่อนทำลายประเทศชาติ

เมื่อถามว่าเชื่อหรือไม่ว่านายวุฒิพงศ์ฝึกนักรบพลเรือน พล.ต.คงชีพกล่าวว่า แล้วแต่เขา เพราะเขามีหน้าที่พูดก็พูดไป เเต่คนไทยจะเห็นด้วยหรือเปล่า เชื่อว่าคนไทยด้วยกันไม่มีใครต้องการทำลายประเทศไทย

วันเดียวกันสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,157 คน เรื่องการเมืองไทย ณ วันนี้ เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของประชาชน สืบเนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงนี้กลับมาร้อนระอุอีกครั้ง ทั้งการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลจากนักการเมืองพรรคใหญ่ และเหตุการณ์ระเบิดเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันครบรอบ 3 ปีของรัฐบาลคสช.

ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าเป็นเรื่องปกติทางการเมือง นักการเมืองมีสิทธิวิพากษ์วิจารณ์ได้ ร้อยละ 71.22 ระบุว่าเป็นเพราะการบริหารบ้านเมืองในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ยังมี ผลงานไม่เป็นที่น่าพอใจ ร้อยละ 67.76 มองว่านักการเมืองต้องการกดดันรัฐบาล เพื่อให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว ร้อยละ 56.27 และนักการเมืองเป็นปากเสียงแทนประชาชน อยากเห็นบ้านเมืองเจริญก้าวหน้า ร้อยละ 50.04

สำหรับเหตุผลที่บ้านเมืองมีเหตุการณ์ความวุ่นวาย โดยเฉพาะกรณีระเบิดหลายครั้งในกทม.นั้น พบว่า อันดับ 1 สร้างสถานการณ์ให้บ้านเมืองวุ่นวายไม่สงบ ร้อยละ 81.76 อันดับ 2 มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ร้อยละ 78.22 อันดับ 3 ลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ร้อยละ 73.21 อันดับ 4 เป็นการท้าทายอำนาจรัฐ ร้อยละ 70.70 และอันดับ 5 บ้านเมืองยังมีความขัดแย้งแตกแยก ร้อยละ 69.32

สำหรับสิ่งที่รัฐบาลควรดำเนินการอย่างไรกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเมืองไทย ณ วันนี้ ประชาชน 76.66 เปอร์เซ็นต์ ระบุว่าเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย การข่าวต้องแม่นยำ รวดเร็ว, ร้อยละ 73.03 เร่งติดตามตัวคนร้ายมาลงโทษ และสืบสวนข้อเท็จจริง, ร้อยละ 72 มองว่าควรเปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นรอบด้าน เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการทำงาน, ร้อยละ 63.35 ระบุว่าควรชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รับรู้ และร้อยละ 59.55 มองว่าควรตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พล.ต.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ รองแม่ทัพภาคที่ 1 พร้อมพล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้ว่าฯกทม. และพล.ต.ต.วิชาญญ์วัชร์ บริรักษ์กุล ผู้บังคับการอารักขาควบคุมฝูงชน เเถลงเปิดโครงการอบรมอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยและการแจ้งเหตุ รุ่นที่ 1 และ 2 โดยกอร.รส. บริเวณโดยรอบพระบรมมหา ราชวัง ร่วมกับศูนย์อาสาสมัครมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

พล.ต.สันติพงศ์ กล่าวว่า ประชาชนทุกภาคส่วน รวมทั้งเอกชน ทุกท่าน เดินทางมา ถวายความอาลัยพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมาเราอำนวยความสะดวกประชาชนอย่างต่อเนื่อง จนทำให้มีความเรียบร้อยอย่างดีทุกพื้นที่ เพราะ กอร.รส. ตำรวจ ทหาร กทม. ส่วนราชการต่างๆ เกี่ยวข้องร่วมแรงร่วมใจกันอำนวยความสะดวกให้ประชาชนได้รับความสะดวกและมีความปลอดภัย ทั้งยังมีพี่น้องประชาชนมาเป็นอาสาสมัครด้วย อย่างไรก็ตามในโอกาสต่อไปใกล้จะถึงเดือนต.ค. ทางกอร.รส. ได้ร่วมคิดร่วมทำว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนเกิดความปลอดภัยที่สุดไม่เกิดเหตุร้าย

ดังนั้นในวันนี้จึงได้เปิดหลักสูตรอบรม เพื่อให้พวกเราทุกคนมีโอกาสมาดูแล และช่วยเป็นหูเป็นตา แจ้งเตือนสิ่งผิดปกติให้ เจ้าหน้าที่ และที่สำคัญมีส่วนร่วมถวายงานแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 โดยคาดหวังว่าการอบรมครั้งนี้อาสาสมัครทุกคน จะได้รับความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ มาถ่ายทอดความรู้ต่างๆ นำไปปฏิบัติได้อย่างดี ให้ประชาชนเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ คอยดูสิ่งผิดปกติ แจ้งเตือน ถ้าเห็นอะไรไม่เรียบร้อยรีบแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย ในเมื่อทุกคนมีความรู้ มีความเข้าใจอะไรดีแล้ว อาสาสมัครก็จะสังเกต จดจำ รายงาน แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบซึ่งจะแก้ปัญหารวดเร็ว

พล.ต.สันติพงศ์กล่าวว่า ตอนนี้กล้องวงจรปิดเรามี 13,000 กล้อง เราประสานส่วนต่างๆ ทั้งส่วนที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานเอกชน และประชาชน เพื่อจะนำกล้องเชื่อมต่อกันมาดูได้ทั้งหมด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ และเรื่องอาสาสมัครที่อยู่ที่บ้านหรือโฮมการ์ด อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้รัศมี 2 กิโลเมตรช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ สำหรับช่องทางการแจ้งเหตุ สามารถแจ้งได้ 3 ช่องทาง คือ 1.แจ้งไปที่กอร.รส. โทร.1441 หรือแจ้งไปที่ไลน์ ไอดี call_army 2.แจ้งที่ กทม. โทร.0-2226-6801 หรือไลน์ call_callbkk และ 3.ตำรวจนครบาล โทร.1442 หรือไลน์ call_police

ด้านพล.ต.ท.อำนวย กล่าวว่า ในเรื่องกล้องวงจรปิด มีคณะกรรมการ ทั้งกองทัพภาคที่ 1 นครบาล กทม. ร่วมกันกำหนดจุด ท้องสนามหลวงและพื้นที่ต่อเนื่องรัศมี 2 กิโลเมตร และนำกล้องดีที่สุดในขณะนี้มาใช้ ส่วนจะมีปรับองศา หรือมีกี่ตัวนั้น ขอไม่บอก เพราะเป็นเรื่องความมั่นคง ซึ่งหลังจากนี้จนถึงเดือนต.ค. จะมีประชาชนเดินทางมาสนามหลวงกันมากขึ้น จะขยายจุดคัดกรองออกไปอีกประมาณ 1-2 กิโลเมตร จากสนามหลวง และในขณะนี้ทางกทม.ได้ให้ทางเขตต่างๆ คัดกรองคน ทั้งคนที่อยู่ในพื้นที่ ว่าใครทำอะไร เป็นใคร มาจากไหน รวมทั้งให้ดูด้วยว่าในสถานที่พัก อพาร์ตเมนต์ หรือหอพัก มีใครพักอยู่บ้าง ในช่วงเวลาไหน

สำหรับโครงการอบรมอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยและการแจ้งเหตุ มีจุดประสงค์เพื่อให้สามารถช่วยดูแลตรวจตราผู้ไม่หวังดี เล็ดลอดเข้ามาในพื้นที่ รวมทั้งสามารถตรวจหาสิ่งผิดปกติ วัตถุต้องสงสัยที่คาดว่าเป็นวัตถุระเบิด เเละป้องกันเหตุที่ก่อให้เกิดความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต โดย อาสาสมัครที่เข้าอบรมส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มรถจักรยานยนต์รับจ้าง กระทรวงมหาดไทย กรมการขนส่งทางบก ผู้ประกอบการด้านที่พักอาศัย สถานบันเทิงและห้างร้านต่างๆ จำนวน 1,000 คน อบรมให้อาสาสมัครเรียนรู้การสังเกตลักษณะของวัตถุต้องสงสัย ยานพาหนะ หากพบสิ่งปกติให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที ทั้งนี้รวมไปถึงให้ความรู้ด้านกฎหมายอีกด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน