ผบ.ตร.สั่งลุยสางคดีแหม่มตายที่เกาะเต่าเมื่อเม.ย. ให้กองปราบฯ รับผิดชอบ หลังสื่อออนไลน์ขุดคุ้ยไม่เชื่อผูกคอตายเอง ขณะที่ ตร.เกาะเต่าเผยผู้ตายเดินทางเข้ามาที่เกาะเต่าตั้งแต่ วันที่ 19 เม.ย. มาพักบังกะโลไม้ไผ่ ก่อนจะหลบหนีไปเพราะเป็นต้นเพลิงไฟไหม้วอดไป 4 หลัง เช็กวงจรปิดพบเห็นครั้งสุดท้ายวันที่ 21 เม.ย.ไปซื้อข้าวกล่องกับตั๋วเรือ แต่สุดท้ายกลายเป็นศพผูกคอหลังอ่าวโตนด ส่งตรวจนิติเวช ทั้งซอกเล็ก อวัยวะเพศ ไม่พบสิ่งผิดปกติ หรือร่องรอยการถูกทำร้าย เผยแม่ผู้ตายก็ระบุว่าลูกสาวไปเข้าลัทธิที่อินเดีย แถมเคยวิ่งให้รถไฟชนที่กทม. แต่คนช่วยไว้ได้ ยันเกาะเต่าไม่ใช่แหล่งอาชญากรรม

เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณี น.ส.เอลิส ดัลเลมานจ์ นักท่องเที่ยวชาวเบลเยียม วัย 30 ปี เสียชีวิตบนเกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี โดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อวันที่ 27 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยตำรวจสภ.เกาะเต่า ระบุสาเหตุว่าเป็นการผูกคอตัวเองเสียชีวิต แต่ครอบครัวของน.ส. เอลิส ยังติดใจ ไม่เชื่อเป็นการฆ่าตัวตาย ว่า สั่งการให้ตำรวจกองบังคับการปราบปรามลงพื้นที่ไปคลี่คลายข้อสงสัยแล้ว

พล.ต.ต.นพ.พรชัย สุธีรคุณ ผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ กล่าวว่า ทางแพทย์นิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ส่งรายงานการตรวจศพไปให้พนักงานสอบสวน สภ.เกาะเต่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนกรณีที่มีการนำเสนอข่าวว่าไม่พบชื่อศพ น.ส.เอลิส ดัลเลมานจ์ ในระบบการรับศพของสถาบันนิติเวชนั้น อาจเป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยปกติแล้วการค้นหาชื่อในสารบบ ถ้าหากกรอกชื่อไม่ตรง ก็จะไม่ปรากฏชื่อ หรือชื่อที่ต้องการค้นหากับชื่อที่ระบบในรายงานการส่งศพไม่ตรงกัน ก็จะหาไม่เจอเช่นกัน

ขณะที่เจ้าหน้าที่สถาบันนิติเวช อธิบายว่า โดยปกติการตรวจสอบข้อมูลการรับส่งศพที่ สถาบันนิติเวชฯ นั้น ต้องกรอกชื่อ นามสกุลให้ตรงกับชื่อที่ระบุในรายงานส่งศพ ไม่เช่นนั้นอาจหาไม่เจอ เช่น ในกรณีนี้ ชื่อที่ปรากฏตามข่าวคือ น.ส.เอลิส อัลเลอมานจ์ แต่ชื่อที่มูลนิธินำศพมาส่ง ชื่อ น.ส.เอลิเซ่ โซฟี วินซีน เอ็นมานูเอล ดาเลเมกเน่ ทำให้เมื่อตรวจสอบในตอนแรกไม่พบ ขณะเดียวกันเป็นไปได้ว่าระหว่างที่สื่อตรวจสอบเป็นช่วงการรีเซ็ตระบบค้นหาประจำวัน ทำให้เมื่อกรอกข้อมูลท้องที่ที่ส่งศพก็ไม่พบข้อมูลอีก จึงเกิดการเข้าใจผิด อย่างไรก็ตามในรายงานการส่งศพ น.ส.เอลิส ระบุว่าส่งมาวันที่ 2 พ.ค. แต่นิติเวชได้รับศพในวันที่ 4 พ.ค. เวลา 04.15 น. จึงตรวจหาในระบบไม่พบ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตบนเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี ที่เกรงว่าจะกระทบภาพลักษณ์นักท่องเที่ยว และตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ว่า เรื่องนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังติดตามอยู่ พยายามดูแลเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมาเฟีย แต่เชื่อว่าไม่เกี่ยวกับผู้มีอิทธิพล ซึ่งบนเกาะมีคนหลายพวกและหลายชนชาติ ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ต้องดูแลอย่างเต็มที่ ส่วนคดีดังกล่าวก็เป็นหน้าที่ของตำรวจที่ต้องดูแลต่อไป

ที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี พ.ต.ท.นภา เสนารักษ รองผกก.(สอบสวน) สภ.เกาะเต่า เปิดเผยว่า น.ส.เอลิสเดินทางเข้าเกาะเต่าตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย. เข้าพักที่ทริปเปิ้ลบี บังกะโล ในช่วงบ่าย พอถึงกลางคืนช่วงเวลาประมาณ 21.00 น. เกิดไฟไหม้ที่บังกะโลไม้ไผ่สภาพเก่าเสียหาย 4 หลัง ตรวจสอบต้นเพลิงมาจากห้องของน.ส.เอลิส สาเหตุเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ช่วงเกิดเหตุเพลิงไหม้ผู้ตายก็วิ่งหนีออกจากห้องพัก พร้อมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ก่อนจะหายตัวไป จนกระทั่งวันที่ 27 เม.ย. มีผู้มาพบศพ น.ส.เอลิส แขวนคอเสียชีวิตอยู่บนเนินเขา หลังอ่าวโตนด ม.3 ต.เกาะเต่า เจ้าหน้าที่จึงชันสูตรพลิกศพ และส่งศพไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งตรวจอย่างละเอียด หาดีเอ็นเอที่ซอกเล็บ ตรวจหาร่องรอยทุกส่วนของร่างกายรวมทั้งอวัยวะเพศ แพทย์ผู้ตรวจมีความเห็นไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ สภาพร่างกายไม่มีรอยถูกทำร้าย หรือกระดูกหัก และเสียชีวิตจากขาดอากาศหายใจเพราะผูกคอตาย

เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดหลังพบศพ ทราบว่า ในวันที่ 21 เม.ย. 60 เวลา 08.01 น. ผู้ตายไปซื้อข้าวกล่องกับน้ำเปล่า และซื้อตั๋วเรือ บริษัทเรือเร็วลมพระยา กับโรงแรมโพไซดอน ม.3 ต.เกาะเต่า เพื่อที่จะเดินทางในวันที่ 24 เม.ย. เวลา 14.30 น.

ต่อมาเวลา 09.03 น. ผู้ตายเดินผ่านกล้องวงจรปิดหน้ามนต์ทะเลรีสอร์ต ม.3 ต.เกาะเต่า โดยจุดนี้กล้องวงจรปิดจับภาพสุดท้ายของผู้ตายได้ มีระยะห่างจากจุดที่พบศพเพียง 200 เมตร หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็น หรือกล้องวงจรปิดจับภาพผู้ตายได้อีก และตรวจสอบกับบริษัทเรือเร็วลมพระยา ก็ไม่พบการใช้ตั๋วเดินทางดังกล่าว จนกระทั่งมาพบศพในวันที่ 27 เม.ย.

จากการสอบปากคำนางมิเชล ฟาน เอทเทน มารดาของผู้ตาย ยังกล่าวขอบคุณการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย และก็ไม่ได้ติดใจการเสียชีวิตของบุตรสาว ซึ่งนางมิเชลให้ข้อมูลว่า น.ส.เอลิส บุตรสาว ได้ไปเข้าลัทธิกับกลุ่มเพื่อนที่ประเทศอินเดีย หลังจากนั้นก็มีพฤติกรรมแปลกๆ จนมาทราบว่าครั้งหนึ่งผู้ตายพยายามฆ่าตัวตายด้วยการวิ่งให้รถไฟชนที่กรุงเทพมหานคร แต่มีคนช่วยไว้ได้

พ.ต.ท.นภากล่าวอีกว่า กรณีที่สื่อออนไลน์บางสำนักโจมตีการทำงานของตำรวจ ทำให้เสื่อมเสียภาพลักษณ์ ขอบอกว่าตำรวจ สภ.เกาะเต่า ทุกนายตั้งใจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน และนักท่องเที่ยวทุกคนที่มา เกาะเต่าให้ได้รับความสะดวกสบาย ให้ได้รับความปลอดภัย และขอยืนยันว่าเกาะเต่าไม่ได้เป็นแหล่งอาชญากรรม ไม่ได้เป็นแหล่งมั่วสุม เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าอยู่น่าเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเกาะเต่า

ด้านน.ส.หลงมา ศิริวัฒน์ เจ้าของทริปเปิลบี บังกะโล กล่าวว่าช่วงบ่ายวันที่ 19 เม.ย. ผู้ตายเดินทางมาคนเดียว จากการสังเกตพฤติกรรมก็ปกติเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วไป มาถามห้องพักแบบถูกที่สุด จึงเปิดห้องพักแบบบังกะโลไม้ไผ่ 2 คืน คืนละ 400 บาท กระทั่งเวลา 21.00 น. เกิดเหตุเพลิงไหม้บังกะโลไม้ไผ่ไป 4 หลัง โดยห้องต้นเพลิงเป็นห้องของผู้ตาย แต่ผู้ตายวิ่งหนีออกไปได้พร้อมกับกระเป๋าสะพายใบเล็ก และหาตัวไม่เจออีกเลย ในเบื้องต้นตนเองคิดว่าไม่น่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร เพราะทุกห้องพักจะติดตั้งระบบตัดไฟฟ้าลัดวงจร

รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก.ป. สั่งการให้พ.ต.อ.ภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง ผกก.5 บก.ป. พ.ต.ท.วันพิชิต วัฒนศักดิ์มณฑา พ.ต.ท.อภิสัณฐ์ ไชยรัตน์ พ.ต.ท. ชัยฎิภูมิ อำนวยชัย รองผกก.5 บก.ป. จัดกำลังทีมสืบสวนลงพื้นที่คลี่คลายคดีการเสียชีวิตของน.ส.เอลิส ที่เสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำบนเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี เป็นที่เรียบร้อย ทั้งในส่วนของพยานบุคคล หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ รวมถึงการตรวจสอบกล้องวงจรปิดละแวกใกล้เคียงที่เกิดเหตุ

นอกจากนี้ต้องตรวจสอบประเด็นกระเป๋าเสื้อผ้าของผู้ตายที่ทางครอบครัวของน.ส. เอลิส ตั้งข้อสงสัย หลังพบว่ามีการพบกระเป๋าเสื้อผ้าผู้ตายโดยสารมาบนเรือ หลังการเสียชีวิตของนักท่องเที่ยวสาวรายนี้ ทั้งจากการตรวจสอบบริเวณท่าเรือ ไม่มีผู้ยืนยันว่าพบเห็นกระเป๋าเดินทางของผู้ตายจริงตามที่เป็นข่าว ทั้งนี้ได้เข้าตรวจสอบใบรับฝากของจากบริษัทเรือ ก็ไม่พบหลักฐานการฝากสิ่งของในช่วงเวลาดังกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน