กลายเป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจและจับตามอง สะเทือนไปถึงกระบวนการยุติธรรมที่ถูกจับตาและถูกตั้งคำถามมากมาย หลังจากมีคำสั่งไม่ฟ้อง นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ในคดีชนนายดาบเสียชีวิต พร้อมกันนั้นยังมีหลักฐานน่าสงสัยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพยานที่ยืนยันว่า ไม่ได้ขับรถเร็ว โคเคนที่พบอ้างว่าอยู่ในยาสำหรับทันตกรรม

ล่าสุด ร.ศ.นพ.รัฐพลี ภาคอรรถ รองผู้อำนวยการฯ ฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้เขียนถึงครอบครัวอยู่วิทยาลงในเฟซบุ๊ก ถึงเรื่องราวของคนในตระกูลอยู่วิทยา ไม่สมควรโดนโซเชียลกระหน่ำทั้งตระกูล พร้อมยืนยันว่า มีคนในตระกูลอยู่วิทยา อยู่เบื้องหลังการบริจาคเงินจำนวนมากให้โรงพยาบาลโดยที่ไม่ขอออกชื่อ ออกหน้า มาโดยตลอด

โดยระบุว่า “ผมเป็นเพื่อนของสราวุฒิ อยู่วิทยา ครับ ขอเรียกชื่อเล่นแบบง่ายๆว่า เอ อยากเขียนถึงเพื่อนคนนี้ให้คนอ่านบ้าง ช่วงนี้เอและครอบครัวเจอศึกหนักมาก โดนว่าโดนด่าจากสังคม โดนประนามจากคนที่ไม่รู้จักหนักหนาเหลือเกิน เท่าที่คุยกัน เอก็มีความรู้สึกเหมือนพวกเราทุกคนแหละครับ เพียงแต่ไม่ได้ออกมาโพสต์ความในใจให้ทุกคนอ่านหรือฟังกัน

เอก็รู้เรื่องนี้จากข่าวเหมือนเรา คือรู้ทีหลังเลย ยังตกใจเหมือนเราอีกว่า เมืองไทยทำยังงี้ได้ด้วยเหรอ(วะ) เหมือนเราตรงที่ไม่พอใจที่จะมีการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม กฎหมายและความถูกต้อง แต่จะจัดการก็คงไม่ง่ายนัก

นึกถึงตอนเรียนชั้นประถม ในห้องมีเพื่อนส่งเสียงดังเล่นกันอยู่คนสองคน วันนั้นคุณครูเอาไม้เรียวหวดก้นยกชั้น ผมเองถึงแม้ยังเด็ก แต่ก็ไม่เข้าใจ ว่าเราไม่ได้ทำผิด ทำไมถึงโดนตี ครูบอกว่า อยู่ห้องเดียวกัน ไม่เตือนกัน ไม่ช่วยกันดูแล ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ครูไม่รู้หรอกครับ ว่าเราเตือน เราห้ามเพื่อนแล้ว เราช่วยกันดูแลแล้ว แต่เพื่อนตัวแสบมันไม่ฟังเรา ตอนที่โดนตี เพื่อนหลายคนก็พยายามบอกความจริงกับครูว่าอะไรเป็นอะไร แต่ครูไม่ฟัง ครูตั้งใจมาตีอย่างเดียวเลย

วันนี้สังคมในsocial media ทำตัวเหมือนเป็นครูคนนั้น ไม่แม้แต่พยายามจะฟังหรือพยายามจะเข้าใจ
เวลาที่ผ่านไป เด็กดีในห้องหลายคนก็ไม่เข้าใจว่าจะทนทำดีไปทำไมกัน สุดท้ายก็ต้องมาโดนครูตีเหมือนกับเจ้าเพื่อนตัวแสบ

ผมกับ สราวุฒิ(เอ) อยู่วิทยา เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ม.4 ที่เตรียมอุดม จากนั้นก็แยกย้ายไป ผมมาเรียนหมอที่จุฬาฯ ส่วนเอไปเรียนวิศวะลาดกระบังแล้วดูแลกิจการใหญ่ที่บ้านต่อ ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก ช่วงไข้หวัดใหญ่2009 ระบาดไปทั่วโลก โรงพยาบาลทั้งเล็กใหญ่ในเมืองไทยดูจะไม่ค่อยพร้อมเท่าไรกันเลย ผมเลยโทรหาเอ จำได้ว่าเป็นสองทุ่มของวันศุกร์ เล่าให้ฟังว่ามีความเป็นรีบด่วน แต่ไม่สามารถตั้งเบิกงบจัดซื้อจัดหาสิ่งจำเป็นได้ทันเวลา อยากได้เงินซักห้าแสนไปซื้อข้าวของและจ้างกั้นทำห้องตรวจที่โถงตึกจักรพงษ์

หลังจากฟังอยู่พักใหญ่ เอตอบมาว่า ทำไมโทรมาตอนนี้ค่ำมืด ธนาคารปิดกันหมดแล้ว เอางี้ละกัน วันจันทร์จะเอาเช็คไปให้ พอวันจันทร์เอก็เอาเช็คมามอบให้ที่โรงพยาบาลหนึ่งล้านบาท(จากที่ขอไว้ห้าแสน)พร้อมบอกว่า กลัวโรงพยาบาลไม่พอใช้ ในที่สุดเราก็ได้จัดห้องตรวจคัดกรองแยกโรคพร้อมอุปกรณ์ทั้งหลายพอให้ผ่านวิกฤตคราวนั้นมาได้ด้วยดี

ต่อมาไม่นาน ผอ.รพ.ขณะนั้นกำลังระดมทุนสร้างอาคารภูมิสิริฯซึ่งขาดอยู่อีกมาก เราเลยไปขอการสนับสนุนจาก TCP ตั้งเป้าไว้ว่าถ้าได้ 10-20 ล้านก็มากแล้ว วันรุ่งขึ้นเอก็โทรมาบอกว่า โครงการสร้างตึกภูมิสิริฯนี่ดีมากเลย ชอบมาก แต่บริษัทเพิ่งปิดงบไป ตอนนี้เลยมีให้ไม่มาก ขอให้ไว้ 80 ล้านบาทก่อน ปีต่อๆไปจะให้เพิ่มอีก พร้อมทั้งขอโทษขอโพยเราใหญ่ เราเองก็ดีใจมาก เพราะจะได้เงินบริจาคมาทำตึกรักษาคนไข้ให้ดีๆ ต่อมาเอกับพี่น้องก็ทยอยร่วมกันบริจาคเพิ่มอีกเรื่อยๆ จนเป็นสองร้อยล้านบาทสำหรับอาคารภูมิสิริที่เดียว ตอนนั้นจะขอถ่ายรูปไปทำข่าวทำอะไรก็ไม่ยอม บอกว่าไม่อยากออกหน้า ตั้งใจมาทำบุญจริงๆ

บ่อยครั้งที่ญาติพี่น้องในครอบครัวเอป่วย ทั้งที่สามารถไปรักษาที่ไหนก็ได้ในโลก หรือโรงพยาบาลเอกชนแสนแพงในเมืองไทย เพราะยังไงก็จ่ายได้ แต่เอกับพี่น้องเลือกที่จะเข้ารักษาในโรงพยาบาลรัฐบาลแล้วตอนหลังก็มักจะบริจาคสร้างตึก ปรับปรุงสถานที่ หรือจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ราคาสูงให้เสมอ

เท่าที่ผมพอจะเห็นกับตา ได้ยินกับหูก็เช่น ศูนย์เคมีบำบัด รักษาโรคมะเร็ง ศูนย์ผ่าตัดหัวใจ หอพักนักศึกษาซึ่งแต่ละแห่งมูลค่าหลายสิบล้านทั้งนั้น ตลอดจนครุภัณฑ์ราคาเจ็ดหลัก แปดหลักก็บริจาคกันบ่อยๆ หลายสิ่งหลายอย่างที่ว่านี้ บ่อยครั้งที่พี่น้องอยู่วิทยา ขอไม่ไปร่วมพิธีมอบ หรือขอไม่เข้าร่วมพิธีเปิด เพราะ ไม่อยากเป็นข่าว ไม่ชอบเรื่องออกหน้าออกตา

จนบางครั้งเวลามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น คนก็มักจะไม่รู้ว่าเหล่าพี่น้องอยู่วิทยาทำความดีอะไรไว้เบื้องหลังบ้าง ผมเคยถามเอหลายครั้งว่าทำไมไม่ชอบออกหน้ากัน เอบอกว่าพ่อแม่(คุณเฉลียวและคุณภาวนา)บอกว่าให้ปิดทองหลังพระ ทำความดีไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นรู้ แค่ตัวเองรู้ก็พอ ผมเคยบอกเอว่าสมัยนี้น่าจะต้องออกหน้าบ้าง จะมัวแต่ปิดทองหลังพระไม่ไหวแล้ว เวลาเราเดือดร้อน คนก็ไม่มาสงสารเห็นใจ เพราะไม่ค่อยรู้สิ่งที่เราทำ

พูดไปหลายสิบรอบจนช่วงหลังๆก็มียอมออกหน้าบ้าง จนมาถึงวิ่งกระตุกหัวใจปี2018 และ วิ่งกระตุกหัวใจVirtual run ปี2019 ที่ไปขอให้เอมาช่วยทำงานกัน เอก็มาแบบจัดเต็มคือ ช่วยเงินสนับสนุนเยอะมาก เยอะกว่า major sponsor หลายราย แต่ขอออกหน้านิดเดียวโดยพยายามเกลี่ยผลิตภัณฑ์ไม่ให้เด่นนัก นอกจากเงินแล้ว เอยังส่งทีมคนทำงานจากTCP มาช่วยอีกหลายฝ่าย แม้กระทั่งมาประชุมเองบ่อยมาก ช่วยออกความคิดระดมความเห็นจนในที่สุดเราได้เงินบริจาคร้อยกว่าล้านบาทเยอะพอที่จะสามารถซื้อเครื่อง AED แจกได้ทุกจังหวัดจังหวัดละหลายๆเครื่องกันเลย ผมยังแซวกันอยู่เลยว่า เอเอาเวลาทำเงินรายได้ให้บริษัท มาทำงานการกุศลแบบตัวเองเสียทั้งเวลาเสียทั้งเงิน แต่เอก็หัวเราะบอกว่าแบบนี้แหละชอบ สนุกด้วย ได้บุญด้วย

จนเมื่อธันวา-มกราที่เพิ่งผ่านมา เอกับผมโทรคุยกันบ่อยมากด้วยเรื่อง COVID19 ว่าถ้าเข้าไทยจะทำไงกันดี เรื่องเงินบริจาคช่วยคนไทยไม่ใช่ปัญหาสำหรับเอและ TCP แต่หลายๆอย่างนั้นมีเงินก็ไม่สามารถซื้อได้ เราเลยค่อยๆเริ่มจากทำหน้ากากผ้าแบบมีไส้กรองช่วงแรกทำไปราวแสนชิ้นรวมถึงหน้ากาก N95 และชุดPPE ที่สั่งซื้อจากต่างประเทศเพื่อแจกจ่ายฟรีให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนทั่วประเทศ ตู้อะครีลิคสำหรับตรวจโควิดที่ใช้ตรวจคนไข้และป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ก็ช่วยทั้งผลิตและจัดส่งถึงมือแพทย์พยาบาลผู้ใช้ตามโรงพยาบาลกันเลย

หรือแม้กระทั่งเครื่องมือตรวจRT-PCRรุ่นล่าสุดที่เพิ่งผ่านFDAสหรัฐอเมริกาที่หายากเพราะขาดแคลนกันทั้งโลก เอก็ควักเงินสิบกว่าล้านให้โดยไม่ลังเลพร้อมทั้งช่วยต่อรองอย่างแข็งขันจนได้มาใช้ช่วยคนไทยไปได้มากโขอยู่

ระหว่างที่ช่วยกันทำเรื่องCOVID19 หลายเรื่องที่เกี่ยวกับตำรวจหรือศุลกากรนั้น เอบอกว่าไม่รู้จักใครเลย แล้วถามผมว่าพอจะช่วยได้มั้ย ทั้งเรื่องการหาหน้ากากN95จากต่างประเทศเพื่อมาแจกรพ. การนำเข้าเครื่องตรวจราคาแพงแบบจำเป็นเร่งด่วน หรือแม้กระทั่งการจัดส่งเวชภัณฑ์และครุภัณฑ์หลายอย่างที่ต้องพึ่งตำรวจทางหลวง ผมเลยต้องอาศัยคนไข้บ้าง เพื่อนฝูงพี่น้องที่รู้จักกันบ้าง ค่อยๆช่วยกันจนลุล่วงไปได้ ยังนึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่า เอไม่ค่อยใช้หรือไม่ค่อยมีเส้นสายอิทธิพลเหมือนคนมีเงินทั่วๆไปเลย แปลกดีเหมือนกัน

ที่ผมเล่ามาข้างบนนั้นยืดยาวเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่จริงยังมีอีกเยอะและยาวมากที่เอและพี่น้องได้ปิดทองไว้ข้างหลังพระวันนี้ผมขอโอกาสเป็นผู้ชวนให้ผู้ที่ผ่านมาอ่านเข้าแวะเดินไปชมหลังองค์พระบ้าง
ถ้ามัวแต่รอให้ทองโผล่ไปข้างหน้า คนปิดทองอยู่ข้างหลังอาจจะท้อใจหรือตรอมใจจากไปก่อนกาลได้
ไม่อยากให้คนดีๆเสียกำลังใจไป ห่วงจะไม่มีคนมาปิดทองที่องค์พระกันอีก

แต่สำหรับผมแล้ว ไม่ว่าเอจะรวยไปกว่านี้ หรือจะยากจนไม่เหลืออะไรเลย จะสุขกว่านี้ หรือจะทุกข์กว่านี้ สังคมจะรักหรือจะด่าประนามแค่ไหน ผมยังมั่นใจเสมอว่า คุณธรรมและความดีงามของเอยังคงเหมือนเดิม ผมยังภูมิใจที่ได้บอกคนอื่นเต็มเสียงทุกครั้งว่า “คนนี้ คุณเอ สราวุฒิ อยู่วิทยา เพื่อนผมเองครับ”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน