ดีเอสไอ แย้งอัยการ สั่งฟ้อง ชัยวัฒน์-พวก อุ้มฆ่าบิลลี่ ชี้ควรชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน

วันที่ 11 ส.ค. พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่กองบริหารคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ นำสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษที่ 13/2562 กรณี การฆาตกรรมนายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ แกนนำชุมชนกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย แก่งกระจาน พร้อมความเห็นของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษในเรื่องดังกล่าว ส่งอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

สืบเนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสืบสวน กรณีการหายตัวไปของนายพอละจี หลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจับกุมในความผิดอาญา กรณีนำน้ำผึ้งป่า ซึ่งเป็นของป่าออกจากเขตอุทยานแห่งชาติฯ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ซึ่งทางการสืบสวนมีพยานหลักฐานน่าเชื่อว่าเกิดจากการกระทำผิดอาญา

เกาะติดข่าว กดติดตามไลน์ ข่าวสด
เพิ่มเพื่อน

พ.ต.ท.กรวัชร์ ยังกล่าวอีกว่า จากนั้นคณะกรรมการคดีพิเศษ มีมติให้กรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษที่ต้องสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 โดยเป็นคดีพิเศษที่ 13/2562 และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีความเห็นควรฟ้อง (1) นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร (2) นายบุญแทน บุษราคัม (3) นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ และ (4) นายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ เป็นผู้ต้องหาที่ (1) – (4) ตามลำดับ ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแก่การที่ตน ได้กระทำความผิดอื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้,

ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายเป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยว ถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกาย นั้นถึงแก่ความตาย, ฐานเป็น เจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามา ให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเอง,

ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และความผิดฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมความเห็นดังกล่าวไปยังอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

พ.ต.ท.กรวัชร์ กล่าวต่อว่า ต่อมาสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 สำนักงานคดีพิเศษ มีหนังสือลงวันที่ 23 มกราคม 2563 แจ้งคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมดตามข้อกล่าวหา โดยออกคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ (1) – (3) เฉพาะความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และออกคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ (4) เฉพาะความผิดฐานสนับสนุนตามข้อกล่าวหาดังกล่าว พร้อมส่งสำนวนการสอบสวนและความเห็นมายังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อพิจารณาว่าจะเห็นด้วยหรือไม่

ทั้งนี้ ตามพ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 34 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ภายหลังที่ได้รับสำนวนการสอบสวนและความเห็นของพนักงานอัยการแล้ว ดีเอสไอ ได้ตรวจพิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน ทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ และโดยเฉพาะพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ประกอบความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน กับความเห็นของพนักงานอัยการที่ประกอบการออกคำสั่งไม่ฟ้องแล้ว

เห็นว่ายังมิอาจเห็นพ้องด้วยกับคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการดังกล่าว อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษจึงให้ส่งความเห็นพร้อมสำนวนการสอบสวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาตามกฎหมายต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับข้อพิจารณาของพนักงานอัยการที่เห็นควรไม่สั่งฟ้องนายชัยวัฒน์และพวกนั้นมี 4 ประเด็น คือ 1. เรื่องการปล่อยตัวนายพอละจี พร้อมกับการว่ากล่าวตักเตือน 2. การพบถังน้ำมันและชิ้นส่วนกระดุกมนุษย์ และผลการตรวจดีเอ็นเอ ซึ่งอัยการเห็นว่าหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ ได้ว่าเป็นกระดุกของนายพอละจี จึงฟังไม่ได้ว่านายพอจะลีถึงแก่ความตายแล้ว 3. เรื่องข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่านายชัยวัฒน์และพวก กระทำความผิดตามข้อกล่าวหา เพราะพนายหลักฐานยังไม่สามาถพิสูจน์ได้ว่านายพอลละจีเสียชีวิตแล้วหรือไม่ และ 4 .กรณีศาลจังหวัดเพชรบุรีมีคำสั่งในคดีที่ น.ส.พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของนายพอละจีร้องต่อศาลเรื่องการควบคุมตัวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาศาลมีคำสั่งยกคำร้อง พนักงานอัยการจึงตีความจากคำพิพาษาว่านายชัยวัฒน์และพวกได้ปล่อยตัวนายพอละจีแล้ว

รายงานข่าวยังระบุว่า ทั้งนี้พนักงานสอบสวนดีเอสไอ ได้พิจารณาในประเด็นที่อัยการมีความเห็นแล้วจึงชี้ว่า สำหรับข้อพิจารณาที่สำคัญประการแรกซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงที่สำคัญในการใช้ดุลยพินิจของพนักงานอัยการ ในการสั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์และพวก คือการที่่พนักงานอัยการเชื่อว่าภายหลังจากที่นายชัยวัฒน์และพวกจับกุมนายพอละจี พร้อมยึดรถจักรยายนต์และของกลางแล้ว ได้มีการปล่อยตัว นายพอละจีและคืนของกลางทั้งหมด ให้นายพอละจี

ซึ่งในประเด็นนี้เมื่อได้ตรวจสอบเหตุผลประกอบดุลยพินิจ ของพนักงานอัยการแล้ว พบว่า พนักงานอัยการ ซึ่งมีหน้าที่ในการชั่งน้ำหนัก พยานหลักฐานทั้งหมด โดยต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานต่างๆ และพฤติการณ์แห่งคดีเป็นสำคัญ แต่ในประเด็นดังกล่าวอัยการกลับให้เหตุผล ในจุดเกาะเกี่ยวคดีในประเด็นนี้เพียงว่า 1. ผู้ต้องหาทั้ง 4 ให้การว่าปล่อยตัวนายพอละจีแล้ว 2. พยาน นักศึกษาเบิกความขัดกัน และ3.ศาลยกคำร้องในคดีควบคุมตัวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน